#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
วิธีของมอดมารซึ่งเป็นวิธีการที่สามคือ #การจูงใจ
ให้มนุษย์เป็นดั่งนกแร้งที่ชอบรุมทึ้งสิ่งเน่าเหม็น
เมื่อมีสัตว์ตายเน่าอยู่ที่ไหนจะมีนกแร้งรุมทึ้งอยู่ที่นั่น
3.ฝากให้ทึ่ง
หมายถึงการแสดงมายาบางสิ่งให้เห็นเป็นเบื้องหน้า
แต่เร้นความเป็นมาปิดบังเหตุแห่งการเกิดไว้เบื้องหลัง
ทำให้มนุษย์สับสนสงสัยอยากรู้ที่มาที่ไปให้เข้าใจ
ก็คิดเองไม่ออกบอกเองไม่ได้ว่าถูกผิดเป็นอะไรอย่างไร
ส่วนใหญ่จะเห็นแต่ผลของเหตุไม่รู้เหตุที่ทำให้เกิดผล
จนมองว่าเรื่องนั้นมันมหัศจรรย์หรือน่าทึ่งจนน่าเชื่อถือ
หนักยิ่งกว่านั้นบางเรื่องแม้จะเหลือเชื่อแต่มนุษย์ก็เชื่อ
จนพระพุทธเจ้าต้องออกมากล่าวเตือนสติให้รู้คิดกันว่า
#ทุกสิ่งเกิดจากเหตุถ้าเหตุดับทุกสิ่งนั้นก็ดับตามไปด้วย
แปลว่ามนุษย์ต้องเป็นคนมีเหตุผลและใช้เหตุผลให้เป็น
มิเช่นนั้นจะงมงายเพราะความโง่ง่ายใช้สติปัญญาไม่เป็น
ตัวอย่างเช่น
หลอกลวงว่าการนั่งปฏิบัติธรรมด้วยวิธีกรรมฐานสมาธิ
ด้วยการปลีกวิเวกเพื่อปฏิบัติธรรมตามลำพังคนเดียว
อันหมายถึงปฏิบัติสมถะกรรมฐานเพื่อฝึกให้จิตมีพลังสูง
ร่วมกับการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานเพื่อฝึกจิตให้รู้นึกรู้คิด
รู้นึกหมายถึงการฉลาดใช้จิตสามนึกที่ตนมีอยู่
เพื่อนึกออกนึกเอาและนึกเองที่เป็นด้านบวกหรือด้านดี
ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้คำว่า #การดำริชอบ
การรู้คิดหมายถึงการฉลาดใช้ปัญญาของสมองสองซีก
โดยคิดวิเคราะห์ด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้ายนำขวา
แต่มันจะต้องเริ่มจากการดำริชอบหรือนึกด้านบวกก่อน
กับการนำสิ่งวิเคราะห์ได้มาสังเคราะห์ด้วยสมองซีกขวา
ซึ่งเป็นความฉลาดของสมองที่เรียกว่า #ปัญญาญาณ
เพื่อการนำเอาสัจธรรมนั้นมาใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป
มนุษย์ถูกหลอกให้เชื่อว่าการปฏิบัติกรรมฐาน
ถ้าทำกันเป็นอาชีพหรือปฏิบัติเป็นประจำแล้ว
จะทำให้ตนบรรลุมรรคผล “นิพพาน” ได้อย่างแน่นอน
คนชอบธรรมที่ปรารถนาจะนิพพานจึงพากันเชื่อตาม
เพราะตรงใจตามที่ตนปรารถนาหรือถูกจริตนั่นแหละ
โดยที่ยังไม่รู้ว่านั่นมันเป็นแค่ความเชื่อไม่ใช่ความจริง
เพราะความเชื่อมาจากกิเลสแต่ความจริงได้จากเหตุผล
มนุษย์เชื่อเรื่องนิพพานว่ามันเป็นไปได้จริง
เพราะเข้าใจความหมายของ “นิพพาน” กันว่า
#เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณของตนจะไม่กลับมาเกิดอีก
โดยไม่คิดต่อว่าจิตวิญญาณหายไปอยู่ที่แห่งหนไหน
แรกมาเกิดอยู่บนโลกจนเติบโตเป็นต้นตาลเห็นอยู่หลัดๆ
พอเติบโตเป็นต้นตาลสูงใหญ่ที่มีใบดกครึ้มกันแล้ว
ยอดตาลต้นนั้นก็กลับ “ด้วน” คือ หายไปเสียเฉยๆ
ยอดตาลต้นนั้นมันหายไปดื้อๆหายไปไหนไม่มีใครรู้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติจากธรรมชาติคือเป็นจริงไม่ได้เลย
พวกคุณจำพระโอวาทตอนหนึ่งได้หรือไม่ว่า
#กฎแห่งกรรมผู้ใดเริ่มต้นผู้นั้นจะเป็นผู้สิ้นสุด
#กฎแห่งกรรมใครทำอะไรจะต้องได้รับผลกรรมนั้น
#ใครขว้างบอลใส่กำแพงมันจะสะท้อนกลับหาคนนั้น
#จิตวิญญาณมนุษย์เป็นผู้ข้ามมิติมาจากแดนสุญตา
#ถ้าจะหายไปจากโลกก็ต้องคืนกลับบ้านสู่แดนสุญตา
#จะไปลอยค้างเป็นเทพเทวดาอยู่บนสวรรค์มายาไม่ได้
#เพราะจิตวิญญาณขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น
#ด้านของจิตวิญญาณทุกสิ่งอย่างจะเป็นสัจจะทั้งหมด
#ผู้ใดจะบิดพลิ้วผิดสัจจะหรือบิดเบือนความจริงไม่ได้
เมื่อมนุษย์ยังไม่เข้าใจว่า
ปฏิบัติกรรมฐานกันเพื่ออะไรและปฏิบัติกันทำไม
มันเป็นรูปแบบของการปฏิบัติธรรม
ที่คนชอบธรรมทุกคนจะต้องถือปฏิบัติกันแน่หรือ
ปฏิบัติแล้วช่วยให้จิตวิญญาณหายสาบสูญได้
โดยไม่ต้องย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่บนโลกอีก
มันเป็นความหมายของคำว่านิพพานที่ถูกต้องจริงหรือ
เพราะมีคำอ้างว่ามันเป็น “ปัจจัตตัง”
มนุษย์จึงต้องรอพิสูจน์ว่านิพพานคืออย่างไรด้วยตนเอง
ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองว่ากรรมฐานช่วยให้ไม่เกิดอีก
โดยที่จิตวิญญาณเมื่อตายแล้วหายไปอยู่ตรงไหน
ซึ่งคำสอนแบบนี้เป็นวิธี #ฝากให้ทึ่ง แบบหนึ่งแหละ
พวกมารที่เป็นผีโสโครกรู้ดีว่า
สวรรค์มายาเป็นดั่งบ่อเลี้ยงปลาหรือตู้ปลาขนาดใหญ่
ที่หลอกให้คนชอบธรรมซึ่งจิตหยาบยังมีกิเลสติดอยู่
ใช้จิตใต้สามนึกของจิตวิญญาณเนรมิตวิมานทิพย์ขึ้นมา
ตามภาพเขียนที่เห็นอยู่บนผนังหรือกำแพง
ในสถานที่ซึ่งคนชอบธรรมชอบแวะเวียนไปเป็นประจำ
เพราะเห็นแล้วอยากไปเสวยกิเลสเสพสุขอยู่บนนั้น
โดยไม่รู้ว่าอำนาจจิตของตนเนรมิตสวรรค์มายาขึ้นมาเอง
ตามพิมพ์เขียวที่เป็นต้นแบบให้เห็นกันอยู่ทุกวัดนั้นได้
จิตวิญญาณที่เสพติดกิเลสและเชื่อว่าสวรรค์มายามีจริง
เมื่อตายแล้วก็จะหลุดลอยออกไปจากระบบโลก
ขึ้นไปติดค้างอยู่บนอวกาศเหมือนก้อนเมฆที่ลอยอยู่นั่น
โดยจิตวิญญาณจะเนรมิตสวรรค์ที่ตนจำได้หมายรู้นั้นให้
จิตวิญญาณของคนชอบธรรมที่เคร่งครัดมากกว่าใคร
เมื่อตายแล้วก็จะลอยขึ้นไปค้างอยู่ในชั้นที่สูงกว่าเพื่อน
เพราะน้ำหนักจิตวิญญาณที่มีผลกรรมน้อยจึงเบากว่า
ส่วนจิตวิญญาณคนชอบธรรมที่ไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าไหร่
เมื่อตายแล้วก็จะลอยขึ้นไปค้างอยู่ในชั้นที่ต่ำกว่าผู้อื่น
เพราะจิตวิญญาณหนักกว่าเนื่องจากมีผลกรรมมากกว่า
ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงมีคำอธิบายให้พวกคุณตาสว่างกันได้ว่า
#ทำไมก้อนเมฆจึงมีหลายชั้นให้คุณเห็นอยู่บนฟ้า
#ทำไมสวรรค์มายาจึงมีหลายชั้นได้เช่นเดียวกัน
ที่เรากล่าวมาจึงเป็นคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดแล้ว
โดยที่ความเป็นเหตุเป็นผลที่พระเจ้าให้เรากล่าวนี้
พวกคนนำทางตาบอดกรรมกรรุ่นเก่าของผีโสโครก
ไม่เคยนึกคิดสงสัยใคร่รู้จึงไม่เคยมีใครคิดหาคำตอบกัน
มนุษย์เอะอะอะไรก็อ้างความเป็นปัจจัตตังเอาไว้ก่อน
เพราะหมดคำสอนสิ้นองค์ความรู้หรือเพราะความไม่รู้
ก็เลยรีบหยิบยกคำนี้มาอ้างกันเอาไว้ก่อนเข้าทำนอง
#สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นสิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ
การเรียนรู้ด้วยการพิสูจน์เองที่เป็นประสบการณ์นั้น
บางเรื่องคุณเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นก็ได้
ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงทดลองพิสูจน์มันด้วยตนเองหรอก
อยากรู้ว่านิพพานเป็นอย่างไรก็ต้องนิพพานเองให้ได้
คำว่านิพพานนั้นจึงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้เลย
เพราะคนตายหายจากโลกลอยไปติดบนสวรรค์มายา
ไม่สามารถกลับลงมาเล่าความจริงให้พวกคุณฟังได้
ที่สำคัญคือสวรรค์มายาสองตาคุณไม่อาจมองเห็นได้
เพราะมันอยู่ในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณ
ที่จิตวิญญาณของพวกคุณเนรมิตมันขึ้นมาเองโดยแท้
แต่มันเป็นสิ่งลี้ลับสำหรับมนุษย์เช่นคุณ
#ถ้าอยากรู้ว่าการตายเป็นอย่างไรก็ต้องลองตายก่อน
#อยากรู้ว่าอร่อยดีมีประโยชน์หรือไม่ก็ต้องลองกินดู
#ถ้าอยากรู้ว่ามีผัวดีหรือไม่ก็ต้องลองมีผัวเองเสียก่อน
คุณเห็นหรือยังว่าจากตัวอย่างทั้งสามนี้
ถ้าเอาคำว่าปัจจัตตังมาอ้างให้พิสูจน์ทดลองกันเอาเอง
เพราะคนสอนไม่มีความรู้คนที่รู้ก็เข้าถึงความจริงนั้นมิได้
คุณที่เป็นคนเสี่ยงอาจไม่คุ้มค่าเท่าใดนัก
ถ้ารอให้ตายเองก่อนแล้วจึงได้รู้มันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
ถ้าชิมแล้วเผ็ดขมเปรี้ยวที่ตนไม่ชอบตนก็เสียปากไปแล้ว
ถ้าชิมแล้วเกิดโทษเพราะเป็นพิษก็ต้องตายก่อนจึงรู้ได้
ถ้าจะลองมีผัวก่อนกว่าจะรู้อะไรก็ต้องเสียตัวกันไปแล้ว
มันเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ลงทุนมากไปหน่อยละมั้ง?
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
29/10/2566