04 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 4/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ห้องทดลองของพระเจ้าหรือพระผู้สร้าง

ที่นักวิทยาศาสตร์โลกเรียกขานกันว่า #เอกภพ นั้น

ไม่ได้สร้างขึ้นให้ปรากฏเป็นอัตตาตัวตนรูปลักษณ์

ด้วยมวลที่ตาของพวกคุณจะเห็นเป็นแบบดวงดาวได้

แต่เอกภพนั้นทรงสร้างขึ้นด้วยมวลของพลังงาน

ซึ่งต้องทรงมีพระปรีชาญาณอันสูงส่งมาก

จึงทรงจับเอามวลพลังงานที่ตาเปล่าคุณไม่เห็น

มาปั้นแต่งให้เป็นรูปทรง “หนำเลี้ยบ” หรือลูกรักบี้ได้

 

ดังนั้น

ภายในรูปทรงรักบี้หรือลูกหนำเลี้ยบที่มีขนาดใหญ่

จึงเต็มไปด้วยอนุภาคของพลังงานมากมายนับไม่ถ้วน

ซึ่งพวกคุณอาจเรียกว่า “สนามพลังงาน” กันก็ได้

 

เมื่อแรกสร้างห้องทดลองที่เรียกว่า “เอกภพ” นี้นั้น

พระองค์จะทรงสร้างสนามพลังงานขึ้นก่อนสิ่งอื่น

จึงค่อยทำให้สนามพลังงานดังกล่าวนั้น

เกิดเป็นรูปธรรมคือมีตัวตนรูปลักษณ์ปรากฏขึ้น

โดยได้ทรงกำหนดสร้างธารสายน้ำนม (Milky Way)

ให้ทำหน้าที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวระนาบ

ซึ่งทุกวันนี้เรียกกันว่า #กาแล็กซี่ธารสายน้ำนม

 

เพราะทรงมีพระประสงค์จะให้สนามพลังงานนั้น

เกิดการฟุ้งกระจายขึ้นมาเป็นรูปธรรมแบบทรงรักบี้

จึงต้องทรงกำหนดให้ธารสายน้ำนมดังกล่าวนี้

มีการกวาดเกลี่ยไปในแนวระนาบแบบใบพัดปีกหมุน

ซึ่งต้องทรงกำหนดให้มันเหวี่ยงหมุนต่อเนื่องด้วย

ทั้งต้องทรงกำหนดให้มีจุดศูนย์กลางการเหวี่ยงหมุน

รวมทั้งวิธีการที่จะทำให้กาแล็กซี่นี้เหวี่ยงหมุนเช่นกัน

 

พระองค์จึงทรงกำหนดสร้างระบบสุริยะขึ้นไว้

บนเส้นผ่านศูนย์กลางที่เป็นกาแล็กซี่ธารสายน้ำนมนี้

รวมทั้งสิ้น 2 ระบบสุริยะด้วยกันโดยตั้งอยู่คนละด้าน

ปลายปีกด้านหนึ่งเป็นระบบสุริยะจักรวาลที่มีโลกอยู่

ซึ่งมีดาวเคราะห์ของระบบทั้งสิ้นรวม 9 ดวงด้วยกัน

ส่วนปลายปีกอีกด้านก็จะเป็นสุริยะจักรวาลอีกระบบ

ซึ่งมีดาวเคราะห์ของระบบทั้งสิ้นรวม 5 ดวงด้วยกัน

โดยดวงอาทิตย์ระบบนี้จะใหญ่กว่าของโลกสามเท่า

 

เพราะพระบิดาทรงกำหนดให้ดาวโลก

ทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของการเหวี่ยงหมุน

ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเอกภพที่ทรงสร้างขึ้นนี้

จึงทรงกำหนดให้ดาวโลกเป็นผู้นำพาดาวอีก 8 ดวง

รวมทั้งดวงจันทร์ที่เป็นดาวเพื่อนของทั้งแปดดวงนั้น

โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบ

 

ขณะเดียวกันพระองค์ยังทรงกำหนดให้

ระบบสุริยะจักรวาลอีกระบบบนปลายปีกด้านตรงข้าม

มีการโคจรวนรอบดวงอาทิตย์ของระบบด้วยเช่นกัน

 

เพื่อให้เส้นผ่านศูนย์กลางหรือกาแล็กซี่ธารสายน้ำนม

สามารถเหวี่ยงหมุนกวาดไปโดยรอบให้ต่อเนื่องได้

พระองค์จึงทรงกำหนดให้ดาวพลูโตซึ่งอยู่วงนอกสุด

เป็น #เศษส่วนของเมอริเดี้ยน ของสองระบบสุริยะ

โดยทรงกำหนดให้มีวงโคจรเป็นรูป “อินฟินิตี้”

คือ เป็นรูปเลข 8 ในท่านอนตะแคงในแนวราบนั่นเอง

 

ลักษณะการโคจรของดาวพลูโตก็คือ

จะโคจรรอบดวงอาทิตย์ของระบบนี้จนครบรอบแล้ว

ก็จะย้ายไปโคจรรอบดวงอาทิตย์ของอีกระบบหนึ่ง

เมื่อโคจรครบรอบแล้วก็จะวกกลับมาโคจรในระบบเดิม

ทิศทางโคจรของดาวพลูโตจะเป็นรูปเลขแปดฝรั่งนี่เอง

 

เมื่อดาวพลูโตย้ายพิกัดกลับไปกลับมาทั้งสองระบบ

มันจะทำให้น้ำหนักมวลของระบบสุริยะทั้งสองผันแปร

เมื่อดาวพลูโตโคจรไปอยู่ในระบบสุริยะด้านตรงกันข้าม

เพื่อไปเติมเต็มความสมดุลด้วยการเป็นดาวดวงที่ 5

จะยังผลให้น้ำหนักมวลของระบบสุริยะด้านนั้นเพิ่มขึ้น

ทำให้กาแล็กซี่ธารสายน้ำนมที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง

ทางปลายปีกด้านนั้นมีน้ำหนักมวลเพิ่มมากขึ้น

ขณะน้ำหนักมวลปลายปีกอีกด้านหนึ่งซึ่งพลูโตจากไป

ก็จะเกิดการลดลงไปจากเดิมแบบเดียวกับกระดานหก

นี่คือที่มาของการเหวี่ยงหมุนของเส้นผ่านศูนย์กลาง

หรือกาแล็กซี่ธารสายน้ำนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั่นเอง

 

แสดงให้เห็นว่า

ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ที่พวกคุณขันอาสาพากันมาเกิด

ซึ่งเป็นดาวพี่ใหญ่ในการนำพาดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวง

โคจรวนไปรอบดวงอาทิตย์ในฐานะของจุดศูนย์กลาง

ของห้องทดลองคือเอกภพที่ทรงกำหนดสร้างขึ้น

กับ #ดาวพลูโต ที่เป็นดาวเคราะห์ในวงโคจรนอกสุด

ของทั้งสองระบบสุริยะซึ่งเป็นเศษส่วนของเมอริเดี้ยน

จึงเป็นดาวสำคัญที่สุดในเอกภพหรืออนันตจักรวาลนี้

ที่คุณจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เด็ดขาด

 

#ความรับผิดชอบต่อดาวเคราะห์โลกของคุณก็คือ

คุณจะต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกให้ได้

นั่นคือไม่ทำร้ายโลกโดยไม่ทำให้ระบบโลกเสียสมดุล

ไม่ว่าจะเป็นมิติทางกายภาพเช่นตัดโค่นไม้ทำลายป่า

ทำให้สัตว์น้อยใหญ่ไม่มีอาหารกินไม่มีที่อยู่อาศัย

ถมทะเลแม่น้ำคูคลองให้ตื้นเขินทำให้น้ำเปลี่ยนทิศ

ระเบิดภูเขาทิ้งไปแล้วย้ายภูเขาเอามาสร้างเมืองใหม่

ขุดเจาะน้ำมันและขุดดูดเอาสินแร่ที่ต้องการนำไปใช้

ซึ่งเป็นการทำลายสมดุลโลกในมิติทางกายภาพทั้งสิ้น

 

รวมทั้งการเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกในมิติพลังงาน

พวกคุณก็จะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันทุกคนด้วย

จะละเลยเมินเฉยหรือทำตนเหลวไหลไม่ได้เช่นกัน

นั่นคือ #ต้องร่วมกันใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ด้วยการ

 

#ไม่หนีสังคมเพื่อไปปลีกวิเวกคนเดียว

#ไม่แกล้งทำเป็นอายตนะภายนอกพิการ

#ไม่เสพติดกิเลสและไม่ใช้กิเลสดำเนินชีวิต

#ไม่ต่อสู้ไม่ตอบโต้ไม่ต่อต้านไม่ก้าวล่วงกันและกัน

#ไม่ปฏิเสธที่จะหมุนธรรมจักรร่วมกันให้ได้

 

ตลอดเวลานับพันปีที่ผ่านมา

พวกคุณชาวโลกส่วนใหญ่ละเลย 5 อย่างนี้ตลอดมา

มันคือการไม่แสดงความรับผิดชอบกันนั่นแหละคุณ

 

ส่วน #ความรับผิดชอบต่อดาวพลูโต

ก็คืออย่าผลักไสดาวพลูโตว่า

เขาไม่ใช่หนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริยะของคุณ

เพียงแค่มองเห็นว่าวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ของเขา

มีความไม่สม่ำเสมอเหมือนกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ

จึงสรุปด้วยความโง่ง่ายจากการคิดแบบจิตมนุษย์

เพราะไม่รู้ความจริงว่าวงโคจรของดาวพลูโตดวงนี้

พระผู้สร้างกำหนดให้มันแตกต่างไปจากดาวดวงอื่น

นั่นคือมีวงโคจรเป็นรูปรอยสัญลักษณ์แบบอินฟินิตี้

โดยคำว่า Infinity แปลว่า ไม่รู้สิ้นสุด ไม่มีการยุติ

 

ดาวพลูโตดวงนี้

จะทำหน้าที่เป็นดาวเคราะห์ในวงโคจรรอบนอกสุด

ของทั้งสองระบบสุริยะเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวหน่วงรั้ง

ทำให้กาแล็กซี่ธารสายน้ำนมหมุนไปรอบแกนกลาง

ในทิศทางที่เป็นแนวระนาบได้อย่างต่อเนื่อง

เพื่อพัดกวาดอนุภาคพลังงานให้ฟุ้งกระจายนั่นเอง

 

จากนั้นพระองค์ก็ทรงกำหนดสร้าง

กาแล็กซี่ที่ใหญ่น้อยกว่าขึ้นไว้บริเวณใกล้ศูนย์กลาง

ทั้งด้านบนและล่างของธารสายน้ำนมขึ้นอีก 5 ระบบ

แสดงว่าบริเวณจุดศูนย์กลางของเอกภพที่สร้างขึ้น

จะมีจำนวนกาแล็กซี่รวมทั้งสิ้นเป็น 6 ระบบแล้ว

ซึ่งกาแล็กซี่ทั้งห้าจะมีระบบสุริยะอยู่ 1 ระบบเท่ากัน

โดยมี 1 กาแล็กซี่ 1 ระบบสุริยะไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่

อีก 6 ระบบสุริยะจะมีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ทั้งสิ้น

 

กาแล็กซี่ที่ระบบสุริยะมีสิ่งชีวิตดำรงอยู่ทั้ง 6 ระบบ

จะเป็นกาแล็กซี่ที่มีพิกัดอยู่ใกล้ศูนย์กลางของเอกภพ

เนื่องจากมีการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ช้ามากกว่ากาแล็กซี่ที่ตั้งอยู่บริเวณขอบของเอกภพ

ซึ่งมีความเหมาะสมต่อการเกิดขึ้นและการดำรงอยู่

ของสิ่งมีชีวิตลักษณะมนุษย์และลักษณะอื่นมากกว่า

 

เพื่อให้ห้องทดลองของพระองค์

เป็นรูปทรงเรขาคณิตแบบ “รักบี้” หรือ ลูกหนำเลี้ยบ

ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีความสมดุลมากที่สุด

จึงทรงกำหนดสร้างกาแล็กซี่เล็กๆน้อยๆขึ้นมาอีก

รวมทั้งสิ้น 12,500 ล้านกาแล็กซี่เลยทีเดียว

โดยการทำงานของกาแล็กซี่เล็กๆน้อยๆเหล่านี้

คือช่วยพัดให้อนุภาคพลังงานภายในห้องทดลอง

สามารถฟุ้งกระจายไปทั่วห้องที่ทรงสร้างขึ้นมานี้

จนเกิดเป็นรูปทรงคล้ายรักบี้ขนาดใหญ่ได้ดังกล่าว

 

ดังนั้น

พวกคุณจงอย่าเข้าใจผิดคิดว่า

เอกภพ” ซึ่งเป็นห้องทดลองของพระเจ้าดังกล่าวนี้

มีลักษณะเป็นวัตถุมวลแข็งที่มีข้างในกลวงเด็ดขาด

แต่มันถูกพระองค์ทรงสร้างขึ้นด้วยอนุภาคพลังงาน

ที่มีขนาดเล็กจนสองตาเปล่าของคุณมองไม่เห็น

ซึ่งเลิศล้ำยิ่งกว่าการปั้นน้ำให้เป็นน้ำแข็งเสียอีกแน่ะ

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

4/04/2567