12 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 12/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

จงอย่าใช้กิเลสเป็นตัวขับเคลื่อนจิตสามนึก

ไม่ว่าจะเป็นนึกออก นึกเอาและนึกเองก็ตาม

เครื่องมือที่กิเลสใช้ขับเคลื่อนสั่นสะเทือนจิตสามนึก

คือ “ความอยากกับไม่อยาก” ที่เป็น #ตัณหา นั่นล่ะ

มันจะเกิดขึ้นว่องไวมากหากคุณไม่ระวังยั้งสติไว้ให้ดี

โอกาสที่คุณจะเผลอสติตกเป็นทาสกิเลสนั้นง่ายมาก

 

การที่คุณจะระวังจิตตนเองไม่ให้สติตกหรือสติหลุด

เพื่อควบคุมจิตสามนึกของคุณเอาไว้ให้ได้นั้น

มันจะต้องใช้วิธีการ “ตัดไฟเสียแต่ต้นลม” เท่านั้น

โดยต้องปิดกั้นกิเลสคือความรู้สึกมิให้มันเกิดขึ้นมาได้

ทันทีที่ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสสัมผัสกับสิ่งใดก็ตาม

แล้วส่งสัญญาณการสัมผัสนั้นเข้าไปให้จิตหยาบรับรู้

เมื่อจิตหยาบรับรู้สิ่งนั้นแล้วจงอย่ารับเอามาปรุงแต่ง

 

ถ้าปล่อยให้จิตปรุงแต่งสิ่งเร้าที่รับรู้นั้นแล้ว

จิตของคุณก็จะเกิดอาการสั่นสะเทือนเป็น #ความรู้สึก

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือชอบไม่ชอบและลังเลไม่แน่ใจ

เมื่อเกิดความรู้สึกแล้วมันก็จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น

แต่จะเป็นอยากไม่อยากและไม่แน่ว่าอยากไม่อยากอีก

นี่คือขั้นตอนของการเกิดกิเลสอันเป็นที่มาของตัณหา

โดยที่การรับรู้สิ่งเดียวกันพวกคุณแต่ละคนนั้น

จะสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกที่ต่างกันหรือเหมือนกันก็มี

ตามที่คนโบราณว่าไว้ว่า #ลางเนื้อชอบลางยา นั่นล่ะ

 

ถ้าเกิดความรู้สึกชอบจิตก็จะเกิดความอยาก

ถ้าเกิดความรู้สึกไม่ชอบจิตก็จะเกิดความไม่อยาก

ถ้าเกิดความรู้สึกลังเลจิตก็จะเกิดอยากดีไม่อยากดี

 

ถ้าเห็นแล้วชอบจิตก็จะอยากได้

เมื่ออยากได้จิตก็จะนึกต่อทันทีว่าฉันจะได้มันอย่างไร

ถ้าเห็นแล้วไม่ชอบจิตก็จะไม่อยากได้

เมื่อไม่อยากได้จิตก็จะนึกต่อทันทีว่าฉันจะทำยังไง

ถ้าเห็นแล้วลังเลไม่แน่ใจว่าชอบหรือไม่ชอบ

เมื่อเกิดความลังเลว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี

จิตจะนึกต่อทันทีว่าฉันคงต้องรอรั้งยังไม่ตัดสินใจ

กระบวนการสั่นสะเทือนของจิตสามนึก

มันจะเป็นของมันแบบที่ว่านี้เสมอ

 

ดังนั้น

การตัดไฟเสียแต่ต้นลม

เพื่อป้องกันไม่ให้จิตหยาบถูกกิเลสตัณหาครอบงำ

จึงต้องจัดการไม่ให้จิตเกิดกิเลสขึ้นมาให้ได้

ตรงขั้น “เวทนาขันธ์” ซึ่งเป็นขั้นตอนการปรุงแต่ง

ด้วยการ “รับรู้แล้วไม่รับเอา” โดยเด็ดขาด

 

เห็นผู้ชายหล่อๆรวยๆก็ห้ามใจไว้อย่าไปชอบ

ถ้าคุณเกิดความรู้สึกชอบเข้าให้คุณก็จะ “ใจแตก”

คำว่าใจแตกหมายถึง “จิตตก” ควบคุมไม่อยู่

จนอาจวางตัวไม่เหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

เช่น อยากได้เขามาเป็นของคุณก็เลยให้ท่าเขา

ยิ่งถ้าคุณมีเจ้าของอยู่แล้วมันก็อาจเลยเถิดเช่นกัน

การทำผิดกฎหมายหรือผิดกฎแห่งกรรมของมนุษย์

ล้วนเกิดจากการตกเป็นทาสของกิเลสมารทั้งสิ้น

โลภะโทสะและโมหะก็มีกิเลสเป็นสารตั้งต้นเช่นกัน

 

จงจำเอาไว้เสมอว่า

เมื่อคุณสัมผัสรู้ดูเห็นใครสิ่งใดหรือเรื่องใดก็ตาม

คุณไม่มีหน้าที่และไม่มีสิทธิ์ที่จะชอบหรือไม่ชอบมัน

ไม่ว่าคุณจะชอบไม่ชอบใครคนนั้นสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้น

คุณก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรเหล่านั้นได้เลย

ใครคนไหนนิสัยสันดานไม่ดีที่คุณไม่ชอบใจไม่พอใจ

ความไม่ชอบใจของคุณก็ทำให้เขาสันดานดีไม่ได้

ใครคนไหนทำตัวไม่น่ารักซึ่งคุณไม่ชอบขี้หน้าเขา

มันก็ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตนเองมาเป็นน่ารักไม่ได้

 

ถ้าคุณยังทำตัวแบบเดิมอยู่

ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่พยายามเปลี่ยนคนอื่น

ทั้งชาตินี้คุณก็จะทำผิดบาปไปจนตลอดชีวิต

จากการที่คุณพยายามใช้อำนาจเหนือนำผู้อื่น

ไม่ต่างจากการ “ก้าวล่วง” ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวนั่นแหละ

ซึ่งวันนี้เราก็ได้ให้สติด้วยการเตือนคุณแล้วว่า

ต่อไปจงอย่าเที่ยวก้าวล่วงใครหรือผู้ใดอีก

ใครจะดีจะชั่วจะขี้เหร่จะน่ารักก็ช่างหัวเขาเถิด

ขอให้เราดูแลตัวเองให้เป็นคนน่ารักเป็นคนดีก็พอ

 

คุณต้องการเปลี่ยนแปลงคนอื่น

ด้วยการกระทำที่ตัวเขานั้นไม่มีทางสำเร็จหรอก

นอกจากคุณต้องเปลี่ยนแปลงที่ตนเองก่อน

แล้วเขาก็จะเปลี่ยนแปลงตนเองตามคุณไปด้วย

เช่น ถ้าคุณยิ้มให้เขาก่อนเขาก็จะยิ้มรับกลับมา

ถ้าคุณทำดีกับเขาก่อนเขาก็จะทำดีกับคุณเช่นกัน

 

ลองปฏิบัติตนแบบนี้กับทุกคนดูสิ

คุณจะพบว่าคุณจะไม่มีชอบใครหรือไม่ชอบใคร

คุณจะไม่มีการเสียความรู้สึกใดๆกับใครเลย

เพราะทุกคนเขาจะดีกับคุณน่ารักกับคุณเสมอ

หากคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่น

มิใช่บังคับให้คนอื่นเปลี่ยนแต่ตัวเองไม่เปลี่ยน

 

กราบบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

12/04/2567