15 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 15/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าเรื่องสตางค์หรือเงินทองเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตคุณ

ซี่งเป็นปัจจัยแรกของสี่ปัจจัยในมิติแห่งเนื้อหนังแล้ว

เรื่อง #มหาสติ ก็เป็นสิ่งสำคัญของจิตวิญญาณคุณ

ซึ่ง “จิตหยาบ” จะละทิ้งคุณสมบัติในข้อนี้ไปไม่ได้

เนื่องจากจะสร้างความเสียหายให้แก่จิตวิญญาณคุณ

อย่างมากมายและร้ายแรงเกินการคาดคิดเลยทีเดียว

 

ตัวอย่างเช่น

จะทำให้เกิดการมีภพชาติเพราะมีอายุขัยเกิดขึ้น

เพราะจิตวิญญาณเกิดการเสื่อมจากความเป็นอมตะ

จนต้องมีความเสื่อมสลายของกายสังขาร

ด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วยและการแก่ชราแล้วก็ตาย

ทำให้จิตวิญญาณคุณต้องมีสังสารวัฏ

เพราะต้องตกเป็นทาสของ “กฎแห่งกรรม” ไป

ทำให้จิตวิญญาณต้องมีและต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวร

หรือการมีคู่เวรคู่กรรมในการจับคู่กันมาเกิดใหม่

เพื่อร่วมด้วยช่วยกันทั้งแก้ไขหรือแก้แค้นไม่รู้จบสิ้น

จนไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

ด้วยการร่วมกันหมุนธรรมจักรด้วยความรักเพื่อให้ได้

ทำให้เสียทีที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

 

สำหรับเรื่อง “มหาสติ” ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด

สำหรับจิตวิญญาณในมิติทางพลังงานของแก่นแท้

เราได้กล่าวไว้ในสไลด์พระโอวาทสวัสดีรายวัน

พร้อมดอกไม้สวยๆผ่านมาแล้ว 2 วัน ด้วย 2 สติ

คือ “การรู้สติ” กับ “การมีสติ” นั่นแหละ

ถ้าใครนึกไม่ออกหรือจำไม่ได้ก็ย้อนหลังไปอ่านเอา

 

วันนี้เราจะกล่าวถึงมหาสติตัวที่สามตัวสุดท้าย

นั่นคือ “การใช้สติ” ในการดำเนินชีวิตประจำวันให้รู้

เพื่อประกันความผิดพลาดมิให้เป็นทาสกฎแห่งกรรม

เหมือนในอดีตกาลที่ผ่านมาแล้วนานหลายปีนั่นล่ะ

 

สิ่งที่พวกคุณได้รู้กันไปแล้ว 2 สติก็คือ

 

1.การ #รู้สติ นั้นมีอยู่ 3 รู้ คือ

รู้ว่าขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่

รู้ว่าเมื่อครู่เพิ่งทำอะไรมา

รู้ว่าข้างหน้าจะต้องทำอะไรบ้าง

 

2.การ #มีสติ นั้นมีอยู่ 3 ต้อง คือ

ต้องรู้รับรู้แล้วรู้รับเอา

ต้องรู้รับรู้แล้วรู้ไม่รับเอา

ต้องรู้ไม่รับรู้แล้วรู้ไม่รับเอา

 

บทนี้จะเป็นสติตัวที่สามของ “มหาสติ” คือ

 

3.การ #การใช้สติ เพื่อเข้าถึง “จิตตปัญญา”

ที่เป็นกระบวนการสั่นสะเทือนจิตสามนึก

ให้เกิดเป็น “ขันธ์ 5” ด้วย #ความรักและความคิด

โดยความรักที่เกิดจากจิตหยาบเองนั่นแหละ

ส่วนความคิดนั้นได้จากความฉลาดของสมอง

 

แต่เนื่องจากสมองมีสองซีก

ความฉลาดของสมองจึงมีอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน

ส่วนแรกคือก้านสมองที่เป็น #จิตสัญชาตญาณ

ซึ่งขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณของคุณเอง

 

ส่วนที่สองคือสมองซีกซ้ายที่เป็น #สติปัญญา

ซึ่งจะขับเคลื่อนกระบวนการคิดด้วย #จิตหยาบ

ในขณะที่คุณกำลังมีสติแบบรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่แล้ว

แต่ถ้าจิตหยาบคุณกำลังเสียสมดุลอยู่หรือจิตตก

จิตหยาบที่กำลังเสียสมดุลมันก็จะขับเคลื่อนการคิด

ด้วยสมองซีกซ้ายได้เหมือนกันแต่เป็นย่านความถี่ต่ำ

โดยมันจะทำการคิดด้วยอารมณ์รู้สึกที่ไม่สมดุลนั้น

อันเป็นกระบวนการคิดด้วยจิตหยาบที่กำลังไร้สติอยู่

 

จึงขอเรียกว่าเป็นกระบวนการคิดด้วย #สตึปัญญา

ซึ่งเป็นการคิดที่ไร้มิติไม่มีศิลปะและไม่เป็นธรรมชาติ

ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการคิดด้วยโลภโกรธหลงทั้งสิ้น

 

ดังนั้น

กระบวนการคิดในชีวิตประจำวัน

ของผู้คนที่ขาดสติอยู่จึงถูกขับเคลื่อนด้วยกิเลส

ในลักษณะที่เรากล่าวมานี้กันทั้งนั้น

วันทั้งวันจึงมีแต่การคิดผิดๆถูกๆ

มีแต่การนึกชั่วคิดชั่วสลับกับนึกดีคิดดีกันไป

มีทั้งการนึกให้เพื่อคิดให้กับนึกเอาเพื่อคิดเอา

โดยส่วนใหญ่จะนึกเอาเพื่อคิดเอากันมากกว่า

เพราะกิเลสตัณหามันพาทำพานำนั่นเอง

 

คุณจะเป็นผู้ใช้สติได้ดีก็ต่อเมื่อ

คุณฝึกตนเองให้เป็นผู้รู้สติและมีสติให้ได้ก่อน

เพราะมันไม่ต่างกับการขึ้นบันได 2 ขั้นแรก

ก่อนจะขึ้นไปถึงขั้นสุดท้ายคือบันไดขั้นที่สาม

นั่นคือ “การใช้สติ” ก้าวขึ้นไปทีละขั้นนั่นแหละ

คุณจะเริ่มจากขั้นแรกแล้วกระโดดไปขั้นที่สามไม่ได้

คุณจะพลัดตกกระไดกลิ้งไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน

 

การ “ใช้สติ” หมายถึง

 

1.การใช้ความรักเพื่อให้ของจิตหยาบ

ทำการสั่นสะเทือนกระบวนการคิดของสมอง

โดยใช้จิตหยาบเป็นผู้กำหนดสั่งสมองให้คิด

ที่เรียกว่า “กำหนดนึก” ซึ่งมีอยู่ 3 นึกด้วยกันคือ

นึกออกหรือนึกได้ นึกเอา และนึกเอง

 

โดยที่การนึกดังกล่าวนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ

นั่นคือแบบแรกที่เป็น #นึกบวกกับนึกด้านบวก

แบบที่สองคือแบบที่เป็น #นึกลบกับนึกด้านลบ

แบบที่สามคือแบบที่เป็น #นึกด้วยจิตสงบระงับ

 

การนึกด้วยจิตที่สงบระงับนั้น

ขณะที่กำลังนึกอยู่จิตหยาบจะสั่นสะเทือนด้านบวก

เป็นคลื่นความถี่สูงสุดจนเหมือนไม่สั่นสะเทือน

การเหมือนไม่สั่นสะเทือนก็คือ “จิตสงบ” นั่นแหละ

แปลว่าสภาวะจิตกำลังสมดุลสูงสุดอยู่ในขณะนั้น

มันจะทำให้คุณเข้าถึงความรู้และความคิดที่ถูกต้อง

เข้าถึงความรู้และความจริงที่ถูกตรงได้ดีกว่าอีกด้วย

คำว่าถูกตรงหมายถึงไม่ลำเอียงไปทางใดทางหนึ่ง

เพราะกิเลสมารไม่นำพาให้เขวหรือชักใบให้เรือเสีย

ไม่ว่าเสียเวลา เสียท่า หรือเสียเส้นทางก็ตาม

 

2.เลือกเรื่องที่คุณจะนึกให้ตรงกับสิ่งที่จะคิด

เมื่อนึกได้แล้วก็ต้องนำมาคิดด้วยสมองกันต่อไปอีก

เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องตามที่คุณต้องการ

ซึ่งเป็นการนึกตั้งคำถามตนเองเพื่อใช้สมองคิดต่อ

ไม่ใช่การนึกถึงสิ่งที่ตนอยากรู้แล้วเที่ยวถามคนอื่น

ด้วยการวานให้คนอื่นช่วยคิดหาคำตอบให้คุณแทน

เพราะมันจะทำให้คุณกลายเป็น #คนเจ้าปัญหา

แทนที่จะเป็น #คนเจ้าปัญญา ไปได้ในที่สุด

 

3.ถ้าคิดด้วยสมองซีกซ้ายเพื่อให้ได้ความรู้

คุณต้องคิดทีละเรื่องเท่านั้น

เพราะว่าจิตของคุณนั้นมันนึกคิดได้ทีละเรื่อง

จะให้นึกคิดพร้อมกันทีละหลายเรื่องไม่ได้ผลแน่

 

จงอย่าคิดบวกเพราะมันอาจจะทำให้คุณหลงเชื่อ

หรือลำเอียงเข้าข้างคนนั้นสิ่งนั้นเรื่องนั้นไปได้ง่ายๆ

ประเภทเห็นกงจักรแล้วคิดว่าเป็นดอกบัวนั่นล่ะ

หรือจงอย่าคิดลบเพราะมันอาจจะทำให้คุณ

ปฏิเสธสิ่งดีๆเรื่องดีๆคนดีๆนั้นไปอย่างไร้สติได้ง่ายๆ

ประเภทเห็นดอกบัวแล้วคิดว่าเป็นกงจักรนั่นแหละ

 

จงฉลาดที่จะนึกด้านบวกแล้วคิดด้านบวกเสมอ

โดยคิดพิจารณาอย่างมีหลักการและมีเหตุผล

โดยคิดพิจารณาให้รอบครอบคือละเอียดถี่ถ้วน

ต้องมองให้รอบด้านทั้งด้านฉันด้านเขาและด้านผู้อื่น

จะนึกคิดหยาบๆลวกๆและมองด้านใดด้านเดียวมิได้

 

ทั้งสามสติที่เรากล่าวมาแล้วนี้คือ “มหาสติ”

ซึ่งเป็น #ธรรมชาติสมาธิ ที่ชาวบ้านผู้เป็นฆราวาส

รวมทั้งนักพรตนักบวชก็สามารถนำไปปฏิบัติได้

โดยไม่ต้องปิดอายตนะเข้าป่าเข้าถ้ำคุณก็ทำได้

อยู่คนเดียวในห้องพระในห้องนอนคุณก็ทำได้

อยู่ในครอบครัวในทีมงานในสังคมในชุมชนก็ทำได้

คุณจะสามารถเข้าถึงการใช้จิตกับปัญญาได้เสมอ

 

ไม่ว่าคุณจะใช้สมองซีกซ้ายเพื่อคิดวิเคราะห์

หาความรู้หรือหาคำตอบว่าอะไรเป็นอะไร

หรือคุณต้องการจะใช้สมองซีกขวาเพื่อสังเคราะห์

ทำความเข้าใจองค์ความรู้นั้นด้วยการคิดเป็นภาพ

คุณก็สามารถเลือกกดปุ่มใช้สมองได้ตามต้องการ

เพียงแค่คุณจะต้องไปศึกษาหาวิธีกดปุ่มเพิ่มเติมว่า

วิธีกดปุ่มนั้นคุณจะต้องทำกันอย่างไรก่อนเท่านั้น

 

นี่จึงเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า

วิธีการปฏิบัติธรรมของคนชอบธรรมนั้น

ไม่ใช่แค่ถือศีลกินเจสวดมนต์บ่นธรรมนั่งกรรมฐาน

กินอาหารมื้อเดียวทิ้งครอบครัวหรือสังคมปลีกวิเวก

อยู่กับครอบครัวอยู่กับสังคมไม่แกล้งทำเป็นมืดบอด

ใช้ชีวิตไปตามปกติแบบฆราวาสก็ปฏิบัติทำได้

เพียงแต่คุณจะต้อง

 

1.รักให้ได้ ไม่ก้าวล่วงใคร อภัยให้เป็น ไม่เห็นแก่ตัว

2.นึกด้วยจิต คิดด้วยสมอง ตรึกตรองก่อนพูดหรือทำ

3.ใช้จิตสามนึกของจิตหยาบในการดำเนินชีวิต

4.ไม่อวดอุตริมนุษยธรรมไม่ทำตนเป็นผู้วิเศษ

5.ปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

15/04/2567