10 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 10/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ประโยคที่ว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก”

ซึ่งเป็นพระวจนะของพระพุทธองค์ที่กล่าวกันมานั้น

คำว่า #เมตตา ทรงหมายถึง ความรักนี่แหละ

โดยทรงมีคำว่า #ธรรม ต่อท้ายคำว่าเมตตาไว้ด้วย

เนื่องจากความรักของมนุษย์นั้นมีด้วยกัน 2 แบบ

 

แบบแรกเป็นความรักแบบ #ธรรมดา

ในลักษณะต่อไปนี้ก็คือ

 

1.เป็นความรักเพื่อที่จะเอาหรือความใคร่

2.เป็นความรักเพราะหวังสิ่งแลกเปลี่ยน

3.เป็นความรักที่มีเงื่อนไขในการที่จะรัก

 

ทั้งสามแบบดังกล่าวนี้มิใช่ความรักที่บริสุทธิ์

เพราะเป็นความรักในลักษณะของการให้

แต่ยังแฝงเอาไว้ด้วย #กิเลสมาร อย่างแนบเนียน

ซึ่ง “คนนำทางตาบอด” กรรมกรแสงของมาร

แอบสอนคนชอบธรรมให้เสพติดกิเลสแบบไม่รู้สติ

ในขณะทำบุญสร้างกุศลที่คนดีมีธรรมเขาทำกัน

 

วิธีการสอนให้ทำบุญด้วยกิเลสก็คือ

กระตุ้นให้จิตหยาบเกิดความอยาก (Needs)

ด้วยวิธีการ “จูงใจ” หรือ Motivation

โดยที่ความอยากที่ถูกนำมาใช้มี 2 ชนิดก็คือ

 

1.ความอยากด้านบวก คืออยากได้ อยากเอา

ด้วยการหยิบเอาสวรรค์มายามาหลอกล่อ

เพื่อจูงใจให้ตายแล้วอยากไปอยู่บนสวรรค์มายา

อยากไปเป็นเทพเทวดาเสพสุขอิ่มทิพย์อยู่บนนั้น

โดยหยิบฉวยนำเอาสวรรค์มายาที่มันไม่มีอยู่จริง

นำเอาความเป็นเทพเทวดาที่มีบางสิ่งเหนือมนุษย์

มาเป็นเครื่องจูงใจกระตุ้นให้พวกคุณเกิดความอยาก

 

2.ความอยากด้านลบ คือไม่อยากได้ ไม่อยากเอา

ด้วยการสอนความรู้ที่ไม่ถูกต้องให้หลงเชื่อตาม

 

นั่นคือสอนให้พวกคุณกลัวตกนรก

ทั้งๆที่นรกเป็นสถานพยาบาลรักษาจิตวิญญาณ

ที่เกิดอาการป่วยด้วยโรคหลงมิติไปตามจิตหยาบ

ที่หลงมายาเพราะคิดว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นแก่นแท้

ตอนที่มีชีวิตเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นๆ

จิตวิญญาณเมื่อก่อนตายจิตหยาบจะถ่ายทอด

คุณสมบัติกรรมที่ทำผิดเพี้ยนเปลี่ยนไปเอาไว้ให้

จึงต้องมีนรกเอาไว้ให้ท่านยมบาลจัดการชำระให้

 

นอกจากนั้น

เป็นเพราะจิตหยาบคิดว่าตัวเองเป็นตัวตนที่แท้จริง

ทั้งๆที่ตัวตนแท้จริงผู้มาเกิดเป็นรูปธรรมมนุษย์นั้น

คือจิตวิญญาณที่เป็นกล่องพลังงานซึ่งเร้นอยู่ข้างใน

โดยจิตหยาบเองหรือจิตมนุษย์ที่เป็นจิตปัจจุบันนั้น

เป็นกลุ่มพลังงานที่ถูกแบ่งภาคออกมาต่างหาก

เพื่อให้ทำหน้าที่แทนขณะมีชีวิตเป็นมนุษย์เท่านั้น

เมื่อตายไปในภพชาติหนึ่งจิตหยาบก็จะสลายตัวไป

พอเกิดใหม่จิตวิญญาณก็จะแบ่งภาคออกมาใหม่

เพื่อให้มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนตนเองกันใหม่เสมอ

 

เพราะจิตหยาบไม่เคยรู้ว่า

แท้จริงแล้วตนเองมิใช่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์แต่อย่างใด

อาการหลงมิติแบบที่เรียกว่า “นี่คือตัวกูของกู”

นั่นคือตัวมีงของมึงโน่นคือตัวมันของมันหรือทำนองนี้

จึงกลายเป็นคุณสมบัติที่วิปริตผิดเพี้ยนกันมาตลอด

 

ดังนั้น

ความอยากกับความไม่อยากนี่เอง

ล้วนเกิดจากการหลงมิติมายาของสรรพสิ่งรอบตัว

ด้วยเข้าใจว่าพวกมันเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงทั้งสิ้น

หลงแม้กระทั่งอัตตาที่เป็นตัวกูของกูดังกล่าวแล้วนั้น

สิ่งเหล่านี้ก็คือ #ตัณหา อันเป็นผลมาจาก #กิเลส

เพราะจิตที่เกิดกิเลสขึ้นเมื่อใดมันจะสร้างตัณหาขึ้นมา

เพื่อสร้างอัตตาตัวตนของสิ่งนั้นขึ้นมาในจิตของตน

จะได้สามารถ “ยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้ง” สิ่งนั้นเอาไว้ได้

 

ความอยากกับไม่อยากคือตัว “ตัณหา” นี่แหละ

ที่จะทำให้จิตหยาบนั้นสามารถยึดเหนี่ยวเกี่ยวติด

สิ่งที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นมันอยู่ด้วยจิตของตนเอาไว้ได้

แปลว่า “ตัวตน” ที่ถูกจิตมันยึดเหนี่ยวเกี่ยวติดได้นั้น

มันคือตัวตนซึ่งเป็นเงาของสิ่งนั้นในจิตของคุณเอง

ไม่ใช่ตัวตนของสรรพสิ่งที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นมันอยู่

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

การทำบุญสุนทานในการสร้างกุศลแต่ละครั้ง

เป็นการทำเพราะจิตหยาบอยากจะไปสวรรค์มายา

หรือว่าทำเพราะจิตหยาบไม่อยากจะไปลงนรกนั้น

เป็นการกระทำเพราะถูก “จูงใจให้ทำ”

มิใช่เป็นการกระทำด้วย “จิตสามนึก” ของตนเอง

จะเรียกว่าคุณสั่นสะเทือนด้วยจิตสามนึกไม่ได้

 

เมื่อคุณมิได้สั่นสะเทือนจิตสามนึกตนเอง

ขันธ์ห้า” ของจิตสามนึกมันก็สมบูรณ์ไม่ได้

เพราะมันถูกขับเคลื่อนด้วยกิเลสตัณหานั่นเอง

 

แบบที่สองเป็นความรักแบบ #ธรรมชาติ

ในลักษณะต่อไปนี้ก็คือ

 

1.รักที่จะให้ด้วยจิตสามนึกของตนเอง

2.ให้โดยไม่คิดหวังสิ่งใดตอบแทน

3.ให้อย่างไม่มีเงื่อนไขหรือไม่มีข้อแม้อะไร

 

การให้ที่เป็นแบบ “เมตตาธรรม” นี่แหละ

เป็นอาการของจิตที่คุณจะต้องเข้าถึงมันให้ได้

โดยคุณจะต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึก

ด้วยการนึกออกนึกเอาและนึกเองรวมทั้งสามนึกนี้

ตามธรรมชาติของตัวคุณเองเท่านั้น

 

คำว่า “ธรรมชาติ” แปลว่า

จิตหยาบคุณจะต้องไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจอื่น

คำว่า “อำนาจอื่น” หมายถึงถูกบังคับจับให้ทำ

ทั้งๆที่ตัวคุณนั้นไม่อยากทำไม่อยากได้ไม่อยากเอา

 

คำว่า “อำนาจอื่น” หมายถึงถูกจูงใจให้คล้อยตาม

ด้วยการกระตุ้นให้อยากทำอยากได้อยากเอา

ทั้งๆที่ตัวคุณนั้นไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับมันมาก่อน

 

การกระทำหรือไม่ทำสิ่งใดด้วยจิตสามนึกตนเอง

มันคือการ “เป็นมนุษย์ไม่เป็น” ที่พวกคุณไม่รู้ตัวว่า

มันไม่สามารถช่วยค้ำจุนโลกให้สงบสมดุลได้เลย

คุณเห็นหรือไม่ว่าเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยศาสนา

เมืองที่มีประชาชนอุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมะมากหน้า

ก็ยังมีศึกสงครามแบ่งเผ่าพันธุ์แบ่งศาสนาแบ่งลัทธิ

ยังทะเลาะเบาะแว้งกันจนบ้านแตกสาแหรกขาด

จนประเทศชาติมีความง่อนแง่นขาดความมั่นคง

จนครอบครัวขาดความอบอุ่นและร้าวฉานกันมากมาย

เพราะส่วนใหญ่แล้วทำบุญไม่เป็นกับรักไม่เป็นทั้งสิ้น

 

พวกคุณจะต้องรู้ว่า

หน้าที่ในการสร้างสมดุลให้กับโลกนั้น

คำว่า “โลก” หมายถึง ครอบครัวของตัวคุณเอง

ครอบครัวของคนข้างบ้านรวมกันเป็นสังคมใหญ่

กลายเป็นประเทศชาติและนานาประเทศก็คือโลก

มิได้หมายถึงการเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียวกลมเกลียว

เพียงแต่มิติโลกทางด้านกายภาพที่ตาเห็นเท่านั้น

แต่ในมิติของจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้

พวกคุณจะต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้ได้ด้วย

 

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในมิติของแก่นแท้

ที่สองตาเปล่าของพวกคุณไม่อาจมองเห็นได้ก็คือ

ถ้าคุณ “รักกันได้ ให้อภัยกันเป็น ไม่เห็นแก่ตัว”

ถ้าคุณ “ทำบุญสุนทานด้วยจิตสามนึกของตนเอง”

และ “ทำบุญโดยไม่อธิษฐานขอสิ่งตอบแทน”

การสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกในแบบที่ว่านี้

มันจะทำให้เครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกคุณ

หมุนธรรมจักรผลิตพลังงานจิตด้านบวกให้โลกได้

 

ถ้าคุณหมุนธรรมจักรในตนเองคนเดียว

พลังงานจิตที่ได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองคนเดียว

นั่นคือจะช่วยยกระดับจิตหยาบให้มีมิติที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

แต่ถ้าคุณหมุนธรรมจักรร่วมกันกับคนรอบข้างได้ด้วย

พลังงานด้านบวกจากขันธ์ห้าตั้งแต่สามคนขึ้นไปนั้น

จะเกิดประโยชน์ต่อคนอื่นในพื้นที่ 33.33 ตร.กม.ด้วย

อีกทั้งยังจะเป็นพลังงานที่กระตุ้นให้แกนแม่เหล็กโลก

เกิดการระเบิดระดับอะตอมตรงกับพิกัดนั้นได้อีกด้วย

ซึ่งมันจะช่วยให้แกนโลกบิดตัวทำให้โลกหมุนได้

ถ้าพวกคุณช่วยให้โลกหมุนต่อเนื่องได้โลกก็สมดุล

นี่จึงเป็นที่มาของประโยคว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก”

 

แต่มีเงื่อนไขว่า

การหมุนธรรมจักรร่วมกันและการทำบุญนั้น

จิตคุณต้องไม่มีกิเลสมารแอบแฝงอยู่โดยเด็ดขาด

พลังงานจิตที่ผลิตได้จึงจะเป็นพลังงานสะอาด

ในแบบที่อะตอมของธาตุออกซิเจนในแกนโลกนั้น

จะสามารถทำปฏิกิริยาแบบนิวเคลียร์จนระเบิดได้

พวกคุณที่อยู่บนพื้นผิวโลกจะมีก๊าซออกซิเจนหายใจ

ในปริมาณมากเพียงพอต่อการดำรงชีวิตอยู่ได้

 

เมื่อพวกคุณที่เป็นมนุษย์

ใช้ความรักหมุนธรรมจักรด้วยรักบริสุทธิ์ได้แล้ว

คุณกับโลกก็จะเหวี่ยงหมุนเต้นรำด้วยกันตลอดไป

นี่คือที่มาของคำว่า #เราคือโลก #โลกคือเรา

ที่หลายพันปีมาแล้วไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้มาก่อน

มีแต่ศิษย์ #จิตจักรวาล คือพวกคุณเท่านั้นที่รู้

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

10/04/2567