01 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 1/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

เรื่องราวกล่าวขานถึงเทศกาลอีสเตอร์ของคริสตชน

เป็นเวลานานร่วม 40 วันซึ่งสิ้นสุดกันเมื่อวานนี้นั้น

แท้จริงแล้วเป็น #ปริศนาธรรม ของศาสนาคริสต์

เกี่ยวกับเรื่องการมาเกิดของพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์

เรียกว่า #การกำเนิดกุมาร ของมนุษย์ทุกคนนั่นเอง

แต่คนนำทางยุคเก่ายกเอามาผูกโยงเข้ากับความจริง

ที่เกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูไว้ด้วยกัน

จนเป็น “ความเชื่อที่เหลือเชื่อ” ของคนยุคใหม่กันไป

 

เป็นการนำเอาความจริงระดับ #อนุตรธรรม

ที่ชาวบ้านทั่วไปเข้าใจและเข้าถึงความจริงนี้ได้ยาก

มาแต่งเติมเสริมสาระโดยแฝงความจริงเอาไว้ในนั้น

พระบิดาจึงทรงมีพระบัญชาให้เราคืนกลับมาอีกครั้ง

เพื่อทำการเฉลยนัยขยายความจริงให้พวกคุณเข้าใจ

ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไรโดยทั่วกันอีกเรื่องหนึ่ง

ซึ่งยังมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นประวัติพระเยซู

เพราะไม่รู้ความจริงว่ามันเป็นปริศนาธรรม

 

เนื่องจากคนนำทางในยุคต้นที่เป็นองค์อัครสาวก

นำเรื่อง “กำเนิดกุมาร” มาผูกโยงกันไว้กับเรื่องจริง

ที่เกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ขององค์พระเยซูนั้น

เพื่อที่จะซ่อนเร้นความจริงที่เป็นอนุตรธรรมนี้เอาไว้

เพราะเป็นคำตรัสสอนของพระคริสต์ก่อนสิ้นพระชนม์

ที่ยังไม่ถึงเวลาจะต้องเปิดเผยความจริงให้โลกได้รู้

อีกทั้งเรื่องนี้เป็นความรู้ที่พระเยซูต้องทรงเฉลยเอง

เพราะเป็นเรื่องที่อธิบายยากและเข้าใจยากนั่นเอง

 

เราจะกล่าวความจริงเพื่อเฉลยอนุตรธรรมนี้ให้รู้ว่า

เมื่อพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางแขนแล้วนั้น

พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงละทิ้งกายสังขารไว้

เพื่อเสด็จกลับคืนสู่พระนิเวศน์พระเจ้านอกเอกภพ

คงเหลือแต่เพียงพระศพที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรม

ซึ่งสามัญชนคนทั่วไปจะใช้คำว่าตายจากโลกนี้แล้ว

เพื่อทำการปฏิบัติการ Set Zero ของ “จิตวิญญาณ”

ก่อนที่จะย้อนกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่ต่อไป

 

พระเยซูทรงใช้โอกาสในการประกาศสัจจะด้วยชีวิต

ทรงยอมถูกประหารรับทุกข์ทรมานอยู่บนไม้กางแขน

เพื่อแฝงนัยแห่งคำสอนให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายรู้ว่า

จิตวิญญาณมนุษย์คนที่ต้องตายตามกฎแห่งกรรมนั้น

ถ้าไม่ตายไปตามอายุขัยก็ต้องตายตามแรงแห่งกรรม

โดยกรรมที่ทำให้ตนต้องตายนั้นหากมิใช่ตนเป็นเหตุ

สาเหตุที่ทำให้ตนต้องตายก็เพราะคนอื่นเป็นผู้กระทำ

มันต้องเป็นของมันแบบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น

 

ถ้าใครสามารถอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้

จิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะไม่มีหน้าที่ต้องตาย

จะไม่มีอายุขัยจะไม่ต้องมีภพชาติแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ซึ่งจะเป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้

โดยพวกคุณจะตายก็ต่อเมื่อสิ้นยุคพลังงานเก่า

ตายเพราะหมดภารกิจที่จิตวิญญาณคุณอาสามา

ตามพันธะสัญญา 6 ข้อที่คุณให้สัจจะต่อพระบิดาไว้

เมื่อสิ้นยุคพลังงานเก่าคือครบ 60,000 ปีโลกแล้ว

คุณให้สัญญาต่อพระองค์ไว้ว่าจะหลุดพ้นกลับบ้าน

คือตายแล้วจิตวิญญาณจะนิพพานไปจากโลกทันที

เพราะว่าโลกนี้มิใช่บ้านของพวกคุณ

 

เรื่องราวที่เราเล่ามาดังกล่าวนี้

มันเป็นความลับที่อยู่เบื้องหลังมิติโลก

ไม่ต่างจากการสิ้นพระชนม์ขององค์พระเยซูนี่แหละ

ที่ใช้คำว่าพระศพที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในคูหา

จะฟื้นคืนพระชนมชีพขึ้นมาอีกครั้งนั้นจึงหมายถึง

พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ที่จะกลับมาจุติ

ที่มนุษย์ไม่เห็นความจริงเบื้องหลังมิติโลกนั้นได้ว่า

 

จะทรงเสด็จกลับมาจุติในครรภ์พระมารดาท่านใด

จะเกิดการปฏิสนธิที่ในครรภ์นั้นที่ไหนเมื่อไหร่

จะมีประสูติกาลออกมาลืมตาดูโลกได้เมื่อไหร่

ทั้งหมดเหล่านี้มิใช่สาระสำคัญอะไรที่พวกคุณต้องรู้

เพราะแค่รู้ว่าจะเสด็จกลับมาต่างก็เฝ้ามองฟ้าแล้ว

มองว่าพระองค์จะทรงนั่งจานบินมาจากดาวอื่นบ้าง

มองว่าพระองค์จะทรงแสดงฤทธิ์อภิญญาปาฏิหาริย์

ด้วยการดั้นเมฆเหาะมาเหนือเมฆาฟ้าสวรรค์กันบ้าง

ทั้งๆที่เราเคยย้ำเสมอว่าไม่มีอำนาจของ “เด็กเส้น”

พระองค์ทรงมาจุติเป็นมนุษย์แม้จะเป็นพระบุตรเอก

ก็จะปฏิบัติตนแบบมนุษย์เหมือนเช่นคนอื่นๆเสมอ

 

ความในตำนานเรื่องเทศกาลอีสเตอร์ระบุว่า

หลังจากสิ้นพระชนม์แล้ว 3 วันพระองค์จะฟื้นคืนนั้น

นัยความหมายตรงนี้ก็คือจิตวิญญาณมนุษย์ทุกคน

ที่เข้าไปปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาคนใดก็ตาม

จะใช้ระยะเวลาในการปฏิสนธิให้เกิดเป็นตัวอ่อนนั้น

ภายในไม่เกิน 40 วันก็จะเกิดเป็นอัตตาตัวตนขึ้นแล้ว

แปลว่าสตรีคนนั้นได้เกิดการ “ตั้งครรภ์แล้ว”

นี่จึงเป็นที่มาของการฉลองเทศกาลอีสเตอร์ 40 วัน

ที่ประดาช่างเท็คนิกของพระเจ้าต่างแซ่ซร้องยินดี

เมื่อพบว่ากุมารน้อยสามารถ #ปฏิสนธิ สำเร็จแล้ว

 

หลังจากที่ “จิตหยาบ” ของผู้มาเกิด

ซึ่งถูกแบ่งภาคออกมาจากพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์

เป็นกลุ่มพลังงาน 189 กลุ่มที่ยังไม่สมดุลในตนเอง

เพราะเป็นรูปธรรมที่ยังไม่มีรูปทรงที่ชัดเจนใดๆ

จึงทรงจัดว่าเป็นรูปธรรมที่มีมิติเท่ากับ “ศูนย์”

จิตหยาบนี้จะเปรียบเสมือนไข่ที่ต้องถูกแม่ไก่ฟูมฟัก

โดยใช้ความรักที่อบอุ่นกระตุ้นให้สั่นสะเทือนต่อเนื่อง

 

ไข่ไก่พระเจ้าทรงออกแบบให้แม่ไก่ตัวเดียว

ทำหน้าที่กกไข่เพื่อให้ไข่นั้นฟักออกมาเป็นลูกเจี้ยบ

แต่ในมนุษย์นั้นต้องใช้ความรักจากพ่อแม่ญาติพี่น้อง

อย่างน้อยสามคนเพื่อกระตุ้นจิตหยาบของผู้มาเกิด

ด้วยพลังงานที่ได้จากสมการพลังงานทางช้างเผือก

ซึ่งเขียนเป็นสูตรว่า Σβx ═ 3X²(β₁+β₂+β₃+…+βx)

โดยอ่านสูตรนี้ได้ว่า

 

#ซัมเบต้าเอ็กซ์เท่ากับสามเอ็กซ์ยกกำลังสอง

#คูณด้วยผลรวมทางพลังงานของคนทั้งเอ็กซ์คน

พลังงานร่วมที่ได้จากสมการนี้จะมีหน่วยเป็น Mhz.

 

ความหมายของสูตรสมการพลังงานนี้ก็คือ

 

#พลังงานร่วมแห่งรักของคนเอ็กซ์คน

#มีค่าเป็น 3 เท่าของคนเอ็กซ์คนยกกำลังสอง

#แล้วคูณด้วยผลรวมของความรักจากคนแรก

#บวกกับความรักของคนที่สองบวกไปเรื่อยๆ

#จนถึงความรักของคนที่เอ็กซ์

 

พลังงานที่เกิดขึ้นจากสมการนี้

จะช่วยกระตุ้นให้จิตหยาบของจิตวิญญาณผู้มาใหม่

ยกระดับด้วยแรงสั่นสะเทือนทางด้านบวก

เพื่อค่อยๆสร้างสมดุลในตนเองจากการมีมิติที่ศูนย์

ให้สั่นสะเทือนแรงขึ้นเรื่อยๆด้วยอำนาจของความรัก

จิตหยาบจะค่อยๆฟักขึ้นมาจนมีอัตตาตัวตนเกิดขึ้น

โดยจะไปสิ้นสุดความสมดุลในมิติที่ 3 หรือมีสามมิติ

คือจิตหยาบนั้นจะมีรูปธรรมเป็น 3 เหลี่ยมมุม

ตัวชี้วัดก็คือตัวตนของทารกน้อยในมิติแห่งเนื้อหนัง

ที่มีความกว้าง x ยาว x หนา ครบสามมิตินั่นแหละ

 

เมื่อจิตวิญญาณของผู้มาเกิด

มีจิตหยาบสมดุลเป็นสามเหลี่ยมมุมหรือมี 3 มิติแล้ว

ขณะที่กายหยาบก็เป็นตัวตนทารกที่สมดุลแล้วเช่นกัน

ทารกนั้นโดยจิตวิญญาณของผู้มาเกิดก็พร้อมคลอด

ในตำนานเทศกาลอีสเตอร์จึงหยิบเอาตรง 3 มิตินี้

มาสร้างเป็นนัยว่าหลังพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วสามวัน

พระศพของพระองค์ก็จะทรงฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่

 

อันที่จริงแล้วจิตหยาบของผู้มาเกิดใหม่

เมื่อถูกทักทอด้วยความรักบริสุทธิ์ของพ่อแม่

จนเกิดเป็นกล่องพลังงานรูปธรรม 3 เหลี่ยมมุมแล้ว

มารดาก็จะคลอดออกมาให้ลืมตาดูโลกต่างหาก

เหมือนการฟื้นคืนชีพของจิตวิญญาณยังไงยังงั้น

เพราะเป็นเรื่องของจิตหยาบในมิติทางพลังงาน

ที่ค่อนข้างอธิบายยากเข้าใจยากดังกล่าว

จึงยังผลให้คนนำทางตาบอดพาให้สามเหลี่ยมมุม

กลายเป็น 3 วันไปดื้อๆก็เพราะเหตุที่กล่าวมานี้

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

1/04/2567