#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เรื่องราวกล่าวขานถึงเทศกาลอีสเตอร์ของคริสตชน
เป็นเวลานานร่วม
40
วันซึ่งสิ้นสุดกันเมื่อวานนี้นั้น
แท้จริงแล้วเป็น
#ปริศนาธรรม ของศาสนาคริสต์
เกี่ยวกับเรื่องการมาเกิดของพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
เรียกว่า
#การกำเนิดกุมาร ของมนุษย์ทุกคนนั่นเอง
แต่คนนำทางยุคเก่ายกเอามาผูกโยงเข้ากับความจริง
ที่เกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูไว้ด้วยกัน
จนเป็น
“ความเชื่อที่เหลือเชื่อ” ของคนยุคใหม่กันไป
เป็นการนำเอาความจริงระดับ
#อนุตรธรรม
ที่ชาวบ้านทั่วไปเข้าใจและเข้าถึงความจริงนี้ได้ยาก
มาแต่งเติมเสริมสาระโดยแฝงความจริงเอาไว้ในนั้น
พระบิดาจึงทรงมีพระบัญชาให้เราคืนกลับมาอีกครั้ง
เพื่อทำการเฉลยนัยขยายความจริงให้พวกคุณเข้าใจ
ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไรโดยทั่วกันอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งยังมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นประวัติพระเยซู
เพราะไม่รู้ความจริงว่ามันเป็นปริศนาธรรม
เนื่องจากคนนำทางในยุคต้นที่เป็นองค์อัครสาวก
นำเรื่อง
“กำเนิดกุมาร” มาผูกโยงกันไว้กับเรื่องจริง
ที่เกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ขององค์พระเยซูนั้น
เพื่อที่จะซ่อนเร้นความจริงที่เป็นอนุตรธรรมนี้เอาไว้
เพราะเป็นคำตรัสสอนของพระคริสต์ก่อนสิ้นพระชนม์
ที่ยังไม่ถึงเวลาจะต้องเปิดเผยความจริงให้โลกได้รู้
อีกทั้งเรื่องนี้เป็นความรู้ที่พระเยซูต้องทรงเฉลยเอง
เพราะเป็นเรื่องที่อธิบายยากและเข้าใจยากนั่นเอง
เราจะกล่าวความจริงเพื่อเฉลยอนุตรธรรมนี้ให้รู้ว่า
เมื่อพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางแขนแล้วนั้น
พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงละทิ้งกายสังขารไว้
เพื่อเสด็จกลับคืนสู่พระนิเวศน์พระเจ้านอกเอกภพ
คงเหลือแต่เพียงพระศพที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรม
ซึ่งสามัญชนคนทั่วไปจะใช้คำว่าตายจากโลกนี้แล้ว
เพื่อทำการปฏิบัติการ
Set
Zero ของ “จิตวิญญาณ”
ก่อนที่จะย้อนกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่ต่อไป
พระเยซูทรงใช้โอกาสในการประกาศสัจจะด้วยชีวิต
ทรงยอมถูกประหารรับทุกข์ทรมานอยู่บนไม้กางแขน
เพื่อแฝงนัยแห่งคำสอนให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายรู้ว่า
จิตวิญญาณมนุษย์คนที่ต้องตายตามกฎแห่งกรรมนั้น
ถ้าไม่ตายไปตามอายุขัยก็ต้องตายตามแรงแห่งกรรม
โดยกรรมที่ทำให้ตนต้องตายนั้นหากมิใช่ตนเป็นเหตุ
สาเหตุที่ทำให้ตนต้องตายก็เพราะคนอื่นเป็นผู้กระทำ
มันต้องเป็นของมันแบบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ถ้าใครสามารถอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้
จิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะไม่มีหน้าที่ต้องตาย
จะไม่มีอายุขัยจะไม่ต้องมีภพชาติแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ซึ่งจะเป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้
โดยพวกคุณจะตายก็ต่อเมื่อสิ้นยุคพลังงานเก่า
ตายเพราะหมดภารกิจที่จิตวิญญาณคุณอาสามา
ตามพันธะสัญญา
6 ข้อที่คุณให้สัจจะต่อพระบิดาไว้
เมื่อสิ้นยุคพลังงานเก่าคือครบ
60,000
ปีโลกแล้ว
คุณให้สัญญาต่อพระองค์ไว้ว่าจะหลุดพ้นกลับบ้าน
คือตายแล้วจิตวิญญาณจะนิพพานไปจากโลกทันที
เพราะว่าโลกนี้มิใช่บ้านของพวกคุณ
เรื่องราวที่เราเล่ามาดังกล่าวนี้
มันเป็นความลับที่อยู่เบื้องหลังมิติโลก
ไม่ต่างจากการสิ้นพระชนม์ขององค์พระเยซูนี่แหละ
ที่ใช้คำว่าพระศพที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในคูหา
จะฟื้นคืนพระชนมชีพขึ้นมาอีกครั้งนั้นจึงหมายถึง
พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ที่จะกลับมาจุติ
ที่มนุษย์ไม่เห็นความจริงเบื้องหลังมิติโลกนั้นได้ว่า
จะทรงเสด็จกลับมาจุติในครรภ์พระมารดาท่านใด
จะเกิดการปฏิสนธิที่ในครรภ์นั้นที่ไหนเมื่อไหร่
จะมีประสูติกาลออกมาลืมตาดูโลกได้เมื่อไหร่
ทั้งหมดเหล่านี้มิใช่สาระสำคัญอะไรที่พวกคุณต้องรู้
เพราะแค่รู้ว่าจะเสด็จกลับมาต่างก็เฝ้ามองฟ้าแล้ว
มองว่าพระองค์จะทรงนั่งจานบินมาจากดาวอื่นบ้าง
มองว่าพระองค์จะทรงแสดงฤทธิ์อภิญญาปาฏิหาริย์
ด้วยการดั้นเมฆเหาะมาเหนือเมฆาฟ้าสวรรค์กันบ้าง
ทั้งๆที่เราเคยย้ำเสมอว่าไม่มีอำนาจของ
“เด็กเส้น”
พระองค์ทรงมาจุติเป็นมนุษย์แม้จะเป็นพระบุตรเอก
ก็จะปฏิบัติตนแบบมนุษย์เหมือนเช่นคนอื่นๆเสมอ
ความในตำนานเรื่องเทศกาลอีสเตอร์ระบุว่า
หลังจากสิ้นพระชนม์แล้ว
3 วันพระองค์จะฟื้นคืนนั้น
นัยความหมายตรงนี้ก็คือจิตวิญญาณมนุษย์ทุกคน
ที่เข้าไปปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาคนใดก็ตาม
จะใช้ระยะเวลาในการปฏิสนธิให้เกิดเป็นตัวอ่อนนั้น
ภายในไม่เกิน
40
วันก็จะเกิดเป็นอัตตาตัวตนขึ้นแล้ว
แปลว่าสตรีคนนั้นได้เกิดการ
“ตั้งครรภ์แล้ว”
นี่จึงเป็นที่มาของการฉลองเทศกาลอีสเตอร์
40
วัน
ที่ประดาช่างเท็คนิกของพระเจ้าต่างแซ่ซร้องยินดี
เมื่อพบว่ากุมารน้อยสามารถ
#ปฏิสนธิ สำเร็จแล้ว
หลังจากที่
“จิตหยาบ” ของผู้มาเกิด
ซึ่งถูกแบ่งภาคออกมาจากพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
เป็นกลุ่มพลังงาน
189
กลุ่มที่ยังไม่สมดุลในตนเอง
เพราะเป็นรูปธรรมที่ยังไม่มีรูปทรงที่ชัดเจนใดๆ
จึงทรงจัดว่าเป็นรูปธรรมที่มีมิติเท่ากับ
“ศูนย์”
จิตหยาบนี้จะเปรียบเสมือนไข่ที่ต้องถูกแม่ไก่ฟูมฟัก
โดยใช้ความรักที่อบอุ่นกระตุ้นให้สั่นสะเทือนต่อเนื่อง
ไข่ไก่พระเจ้าทรงออกแบบให้แม่ไก่ตัวเดียว
ทำหน้าที่กกไข่เพื่อให้ไข่นั้นฟักออกมาเป็นลูกเจี้ยบ
แต่ในมนุษย์นั้นต้องใช้ความรักจากพ่อแม่ญาติพี่น้อง
อย่างน้อยสามคนเพื่อกระตุ้นจิตหยาบของผู้มาเกิด
ด้วยพลังงานที่ได้จากสมการพลังงานทางช้างเผือก
ซึ่งเขียนเป็นสูตรว่า
Σβx ═ 3X²(β₁+β₂+β₃+…+βx)
โดยอ่านสูตรนี้ได้ว่า
#ซัมเบต้าเอ็กซ์เท่ากับสามเอ็กซ์ยกกำลังสอง
#คูณด้วยผลรวมทางพลังงานของคนทั้งเอ็กซ์คน
พลังงานร่วมที่ได้จากสมการนี้จะมีหน่วยเป็น
Mhz.
ความหมายของสูตรสมการพลังงานนี้ก็คือ
#พลังงานร่วมแห่งรักของคนเอ็กซ์คน
#มีค่าเป็น 3 เท่าของคนเอ็กซ์คนยกกำลังสอง
#แล้วคูณด้วยผลรวมของความรักจากคนแรก
#บวกกับความรักของคนที่สองบวกไปเรื่อยๆ
พลังงานที่เกิดขึ้นจากสมการนี้
จะช่วยกระตุ้นให้จิตหยาบของจิตวิญญาณผู้มาใหม่
ยกระดับด้วยแรงสั่นสะเทือนทางด้านบวก
เพื่อค่อยๆสร้างสมดุลในตนเองจากการมีมิติที่ศูนย์
ให้สั่นสะเทือนแรงขึ้นเรื่อยๆด้วยอำนาจของความรัก
จิตหยาบจะค่อยๆฟักขึ้นมาจนมีอัตตาตัวตนเกิดขึ้น
โดยจะไปสิ้นสุดความสมดุลในมิติที่
3 หรือมีสามมิติ
คือจิตหยาบนั้นจะมีรูปธรรมเป็น
3 เหลี่ยมมุม
ตัวชี้วัดก็คือตัวตนของทารกน้อยในมิติแห่งเนื้อหนัง
ที่มีความกว้าง
x ยาว x หนา ครบสามมิตินั่นแหละ
เมื่อจิตวิญญาณของผู้มาเกิด
มีจิตหยาบสมดุลเป็นสามเหลี่ยมมุมหรือมี
3 มิติแล้ว
ขณะที่กายหยาบก็เป็นตัวตนทารกที่สมดุลแล้วเช่นกัน
ทารกนั้นโดยจิตวิญญาณของผู้มาเกิดก็พร้อมคลอด
ในตำนานเทศกาลอีสเตอร์จึงหยิบเอาตรง
3 มิตินี้
มาสร้างเป็นนัยว่าหลังพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วสามวัน
พระศพของพระองค์ก็จะทรงฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
อันที่จริงแล้วจิตหยาบของผู้มาเกิดใหม่
เมื่อถูกทักทอด้วยความรักบริสุทธิ์ของพ่อแม่
จนเกิดเป็นกล่องพลังงานรูปธรรม
3 เหลี่ยมมุมแล้ว
มารดาก็จะคลอดออกมาให้ลืมตาดูโลกต่างหาก
เหมือนการฟื้นคืนชีพของจิตวิญญาณยังไงยังงั้น
เพราะเป็นเรื่องของจิตหยาบในมิติทางพลังงาน
ที่ค่อนข้างอธิบายยากเข้าใจยากดังกล่าว
จึงยังผลให้คนนำทางตาบอดพาให้สามเหลี่ยมมุม
กลายเป็น
3 วันไปดื้อๆก็เพราะเหตุที่กล่าวมานี้
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
1/04/2567