29 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะองค์จิตจักรวาลทรงกำหนดสร้างให้โลก

ทำหน้าที่ค้ำจุนความสมดุลของ “เอกภพ”

โดยเอกภพเป็น “ห้องทดลอง” ใหญ่ของพระองค์

โลกจะเสียสมดุลไม่ได้ในทุกมิติและพิกัดดำรงอยู่

 

จิตวิญญาณของพวกคุณและสัตว์ประจำโลก

จึงขันอาสาพระองค์ข้ามมิติเข้ามาเกิด

เพื่อทำหน้าที่ใช้จิตกับเครื่องยนต์แห่งกรรมของตน

ร่วมกันผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กออกมา

มอบให้กับ “แกนแม่เหล็กโลก” เพื่อทำให้โลกหมุน

โดยโลกจะต้องหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยอัตราความเร็ว 24 ชั่วโมง ต่อรอบให้คงที่ตลอด

ระบบโลกจึงจะเกิดความสมดุลในทุกมิติอยู่ได้

 

จิตวิญญาณของสัตว์ประจำโลก

เป็นรูปธรรมผู้ขันอาสากลุ่มแรกที่เข้ามาทำหน้าที่

ร่วมกับป่าไม้ใหญ่ใบดกที่มีแต่พลังงานเป็นแก่นแท้

ไม่มีจิตวิญญาณเข้ามาเกิดเหมือนสัตว์ทั้งหลาย

รูปธรรมมนุษย์โลกเท่านั้นที่จิตวิญญาณมาเกิดแล้ว

ได้ถือพันธะสัญญา 6 ที่ให้สัจจะไว้กับพระองค์

ติดตัวมาเกิดในเอกภพทำหน้าที่อยู่ในระบบโลกด้วย

โดยที่สัตว์ประจำโลกทั้งหลายไม่ได้ถือติดตัวมา

เฉกเช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตในระบบดาวดวงอื่นๆ

 

นัยสำคัญของพันธะสัญญา 6 ก็คือ

จะต้องเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก

ทั้งพวกคุณสัตว์ประจำโลกและป่าไม้ใหญ่ใบดก

จะต้องทำหน้าที่ของตนประจำอยู่บนโลก

จะละทิ้งโลกเอาไว้โดดเดี่ยวเดียวดายไม่ได้

ไม่ว่าจะละทิ้งไปแค่ชั่วคราวหรือว่ายาวนานก็ตาม

เพราะว่า #เพื่อนแท้ต้องไม่ทิ้งเพื่อน นั่นเอง

 

การไม่ทิ้งเพื่อนหมายถึงการ “ไม่ทิ้งโลก”

ก็คือการที่พวกคุณแต่ละคนต้องไม่ตายจากโลก

ต้องดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ตลอด 6 หมื่นปีให้จงได้

เพราะหกหมื่นปีก็คือเวลาที่โลกสิ้นยุคพลังงานเก่า

นี่คือที่มาของคำสอนว่าต้องไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนกัน

เนื่องจากพระองค์ได้ทรงนับจำนวนรูปธรรมเอาไว้

ในการเข้ามาทำหน้าที่ “เพื่อนร่วมงาน” กับโลก

หากมีการฆ่ากันตายไปหนึ่งคนตัดโค่นไปหนึ่งต้น

จำนวนรูปธรรมเพื่อนร่วมงานของโลกก็จะลดลง

ซึ่งมันจะมีผลต่อพลังงานที่โลกต้องการลดลงด้วย

 

#คุณจึงฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ไม่ได้

#พวกคุณจึงหมุนกรรมจักรแทนธรรมจักรไม่ได้ด้วย

#เพราะจะยังผลให้ดาวโลกไม่มีแรงที่จะเหวี่ยงหมุน

#จะเกิดอาการหมุนไปแกว่งส่ายไปมากขึ้นเรื่อยๆ

#ภัยพิบัติรุนแรงต่างๆก็จะเกิดขึ้นดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

 

พวกคุณจึงต้องรู้ว่า

ภัยร้ายจากการที่โลกเสียสมดุลดังกล่าวนี้

จะมีอยู่ 2 รูปแบบด้วยกัน คือ

 

1.#ภัยธรรมชาติ

เป็นภัยที่เกิดจากโลกเสียสมดุลโดยตรง

ซึ่งการเสียสมดุลนั้นจะเกิดจากน้ำมือพวกคุณเอง

เป็นผู้ก่อขึ้นโดยตรงเลยมิใช่ใครอื่น

เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูมิอากาศวิปริต ฝนแล้ง

ลมพัดแรง พายุฝน ฟ้าผ่า ลูกเห็บตก หิมะตก เป็นต้น

 

2.#ภัยพิบัติ

เป็นภัยที่เกิดจากแผนปฏิบัติการชำระโลก ครั้งที่ 4

เพื่อปรับสมดุลของโลกเตรียมเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่

พร้อมกับการยกระดับอำนาจของดาวโลกให้มากขึ้น

เป้าหมายคือยกระดับโลกให้สูงจากเดิมเป็นสองเท่า

คือจากสมการสามมิติ 3-3-3 ไปเป็น 6-6-6 นั่นเอง

 

อ่านว่า “สามสามสาม” เปลี่ยนไปเป็น “หกหกหก”

มิใช่ “สามร้อยสามสิบสาม” เป็น “หกร้อยหกสิบหก”

ซึ่ง 666 เป็นเลขรหัสของ “ซาตาน” มิใช่ของพระเจ้า

ซึ่งผีโสโครกพยายามจะบิดเบือนให้พวกคุณสับสน

ด้วยวิธีการบิดเบือนพระวจนะที่ตนถนัดทำมาตลอด

จึงบิด “หก-หก-หก” เป็น “หกร้อยหกสิบหก” แทน

พวกคุณที่เป็นมนุษย์จึงไม่รู้เท่าทันพวกมารได้ว่า

แท้จริงแล้ว “666” นั้นมันเป็นหมายเลขของซาตาน

 

แบบเดียวกันกับการบิดเบือนข้อสัจธรรม

ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ด้วยอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

อันเป็นระดับปัญญาขั้นสูงสุดจากสมองส่วนกลาง

ที่มนุษย์โลกโดยทั่วไปไม่มีให้ใช้หรือเข้าถึงมันไม่ได้

นั่นคือ #ธรรมจักรกัปปวัตรสูตร ที่เป็นปฐมเทศนา

หลังราตรีที่ตรัสรู้ซึ่งทรงเทศน์โปรดแก่ปัญจวัคคีย์ไว้

โดยบิดเบือนไปว่าทรงหมายถึง #อริยสัจสี่ แทน

ทั้งๆที่มันเป็นคนละเรื่องคนละอย่างกันเลยคุณ

 

อริยสัจสี่เป็นวิธีจัดการกับทุกปัญหาที่พาให้ทุกข์

ซึ่งคนนำทางตาบอดถูกหลอกมาอีกทีหนึ่งว่า

เกิดเป็นมนุษย์โลกนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งปวง

ต้องหาทางทำให้ตนเองตายโดยไม่กลับมาเกิดอีก

คือนิพพานเพื่อตนเองจะได้พ้นไปจากทุกข์ให้จงได้

ซึ่งพระพุทธเจ้ากล่าวว่านิพพานแบบตาลยอดด้วน

 

วิธีที่ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกพวกมารก็หลอกว่า

ให้เพียรนั่งกรรมฐานสมาธิเพื่อดับ “อัตตา” ให้สิ้น

โดยหลอกต่อไปอีกว่า “อัตตาก็คือขันธ์ห้า”

ทั้งๆที่ทำไปก็เสียเวลาเปล่าเพราะขันธ์ห้าดับเองได้

ในทันทีที่จิตวิญญาณละทิ้งกายสังขารออกไปแล้ว

การนั่งกรรมฐานเพื่อการนี้จึงทำให้เสียเวลาเปล่า

เราจึงเคยกล่าวให้รู้ว่ากรรมฐานช่วยให้นิพพานไม่ได้

 

กรรมฐานอาจช่วยให้ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกก็ได้

ถ้าตายแล้ว “หลุดลอย” ไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายา

เพราะจิตวิญญาณมีน้ำหนักเบากว่าชาวโลกคนอื่นๆ

เนื่องจากวันๆนั่งปฏิบัติกรรมฐานสมาธิอย่างเดียว

ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวก่อกรรมทำเวรกับผู้ใดใครอื่นมากมาย

จึงถูกโลกดึงดูดเหนี่ยวรั้งลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกมิได้

จนต้องลอยค้างเติ่งอยู่บนสวรรค์มายานั้นไปตลอด

เหมือนว่าวที่สายป่านขาดแล้วลอยไปค้างบนฟ้า

เหมือนดาวเทียมที่ถูกปล่อยให้ลอยขึ้นไปอยู่บนนั้น

เพราะหลุดออกไปจากแรงดึงดูดของโลกได้นั่นเอง

โดยดาวเทียมจะลอยได้ในระดับสูงมากน้อยกว่ากัน

ก็อยู่ที่แรงดันของจรวดที่ขับเคลื่อนว่ามากหรือน้อย

ถ้าแรงขับดันมากกว่าก็จะหลุดลอยขึ้นไปได้สูงกว่า

 

จิตวิญญาณของพวกคุณนี่ก็เช่นเดียวกัน

ถ้ามีบุรพกรรมแม่เหล็กติดตัวอยู่ไม่มากเกินไป

นั่นคือมีมวลรวมคิดเป็นน้ำหนักไม่เกิน 50 มิลลิกรัม

โลกจะออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งได้ไม่มากนัก

ตายแล้วก็จะลอยขึ้นไปได้สูงเหมือนดาวเทียมเลย

สวรรค์มายาจึงมีหลายชั้นก็เพราะเหตุที่ว่านี้แหละ

 

รูปธรรมที่ลอยได้สูงกว่า

จะเป็นจิตวิญญาณที่มีผลกรรมติดตัวอยู่น้อยกว่า

จะเป็นจิตวิญญาณที่พลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์

หรือที่พวกคุณเรียกกันว่า “บารมี” มากกว่านั่นเอง

 

แน่นอนว่า

สวรรค์มายา” เป็นภพภูมิที่พระเจ้ามิได้สร้าง

แต่เป็นภพภูมิที่พวกคุณถูกหลอกให้เนรมิตขึ้นเอง

โดยพวกผีโสโครกได้หลอกผ่านคนนำทางตาบอด

ทำเป็นคำสอนที่แอบสอดแทรกเอาไว้กับพระวจนะ

จนแทบจะแยกแยะให้ออกไม่ได้ง่ายดายเท่าใดนัก

พระองค์จึงทรงให้เราเตือนสติพวกคุณเป็นระยะๆว่า

#ในจริงมีเท็จ #ในเท็จมีจริง ก็เพราะเหตุนี้

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

29/04/2567