02 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 2/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

จิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของพวกคุณทุกคนนั้น

ขันอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระผู้เป็นเจ้า

มาเกิดเป็นคนสองมิติเพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์

 

คำว่า “คน 2 มิติ” หมายถึง

การสั่นสะเทือนจิตหยาบของตนทางด้านบวก

เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนนั้นให้ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ

จนจิตหยาบสามารถที่จะสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่

ที่เท่ากับแรงสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณตนเองได้

ซึ่งจะต้องกระทำผ่าน “จิตสามนึก” ที่รู้สำนึกเท่านั้น

 

คำว่า #จิตสามนึก หมายถึง นึกออก นึกเอา นึกเอง

คำว่า #รู้สำนึก หมายถึงรู้ในบาปบุญคุณโทษรู้ถูกผิด

รู้ดีรู้ชั่ว รู้เหมาะสม รู้ไม่เหมาะสม รู้ควรรู้ไม่ควร

รู้อดทน รู้อดกลั้น รู้ให้อภัย รู้เมตตากรุณา รู้มีมุทิตา

รู้วางจิตเป็นอุเบกขาเพื่อความสงบระงับเอาไว้เสมอ

รู้นึกด้วยจิต รู้คิดด้วยปัญญาของสมองของตนเอง

 

คุณสมบัติด้านบวกทั้งหลายที่เรากล่าวมาเหล่านี้

เป็นภารกิจหลักของคนชอบธรรมที่จักต้องสั่งสมไว้

เพื่อใช้ในการขับเคลื่อน #ธรรมจักร ภายในตนเอง

เมื่อคนใกล้ตัวที่อยู่รอบข้างยื่นเงื่อนไขบททดสอบให้

เพื่อทดสอบจิตสามนึกของคุณทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

ซึ่งคุณต้องพร้อมที่จะตอบสนองทางด้านบวกเสมอ

ไม่ว่าใครจะยื่นเงื่อนไขแบบใดไม่ว่าใครจะมาดีมาร้าย

คุณต้องรักเขาให้ได้ให้อภัยเขาให้เป็นเท่านั้น

 

การตอบสนองพวกเขาทางด้านบวก

คุณอาจทำได้โดยไม่ต่อสู้ไม่ตอบโต้ไม่ต่อต้าน

อันหมายถึงการทำตน “วางเฉย” สงบจิตสำรวมกาย

หรืออาจปฏิบัติตนแบบเขาชั่วมาแต่คุณทำดีตอบก็ได้

โดยไม่เป็นเงื่อนไขด้านลบให้เขา #หมุนกรรมจักร

แต่การทำดีตอบสนองเพื่อที่จะเป็นเงื่อนไขด้านบวก

ช่วยให้เขาสามารถ #หมุนธรรมจักร ร่วมกับคุณได้

 

พวกคุณจะต้องรู้ว่า

หน้าที่หลักในการหมุนธรรมจักรรายวันกับทุกคนนั้น

มันก็คือการ “คนตนเองให้เป็นมนุษย์” โดยแท้

แปลว่าคุณจะผละหนีสังคมเข้าป่าไปปลีกวิเวกไม่ได้

เพราะจะไม่มีใครช่วยเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้กับใคร

จะไม่มีใครเป็นเงื่อนไขลบให้ใครสงบเป็นอุเบกขาได้

โดยจิตหยาบที่สั่นสะเทือนเป็นทั้งสองแบบที่ว่านี้นั้น

มีความถี่ของการสั่นสะเทือนเป็นด้านบวกเหมือนกัน

เมื่อขับเคลื่อนขันธ์ห้าก็จะผลิตพลังงานจิตด้านบวก

เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กตามแบบที่โลกนี้ต้องการได้

 

ถ้าการหมุนธรรมจักรร่วมกันจะเกิดขึ้นได้

นอกจากพวกคุณจะหนีสังคมไปปลีกวิเวกไม่ได้แล้ว

คุณจะแกล้งทำเป็นหูตามืดบอดหรือเป็นใบ้ก็ไม่ได้

เพราะหน้าต่างของจิตหยาบทั้งห้าบานจะถูกปิดตาย

มันจะทำให้คุณไม่อาจรู้เห็นอะไรข้างนอกได้เลย

อย่าลืมว่าคนรอบข้างของคุณอาจเป็นลูกผัวตัวเมีย

ผู้ร่วมเขียนบทละครเป็นชะตาชีวิตมาแสดงร่วมกัน

พวกเขาหลายคนอาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณ

ผู้ร่วมสร้างชะตากรรมหรือเกี่ยวกรรมกันมาจากอดีต

ที่ต้องเรียนรู้เพื่อแก้ไขจิตสามนึกกันใหม่ให้ถูกต้อง

หรือเพื่อการชดใช้หนี้เวรหนี้กรรมกันก็อาจเป็นได้

 

การปลีกวิเวกอยู่คนเดียว

การปิดหูปิดตาปิดปากแสร้งทำเป็นเหมือนคนพิการ

มันจึงมิใช่วิธีการปฏิบัติธรรมของคนชอบธรรม

แต่เป็นวิธีปฏิบัติธรรมของคนชอบ “ทำ” เท่านั้น

ขณะที่คนชอบ “ทำ” นั้นอยากจะไปสวรรค์คนเดียว

แต่คนชอบ “ธรรม” จะเป็นผู้ที่ทำเพื่อจิตวิญญาณ

จะเป็นผู้ที่ทำเพื่อใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลก

จะเป็นผู้ที่หมุนธรรมจักรเพื่อช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุน

คนชอบธรรมจะไม่เป็นผู้ใช้กิเลสขับเคลื่อนขันธ์ห้า

กระทำทุกสิ่งเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกับพวกตัวเท่านั้น

 

พวกคุณจะต้องรู้ว่า

กิเลสทั้งกองในจิตปัจจุบันของคุณนี่แหละ

ที่ทำลายความเป็นอมตะของชีวิตคุณจนสูญสิ้น

เพราะพระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้พวกคุณ

มีจิตวิญญาณแก่นแท้ซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องตายเลย

ทุกคนจะมีอายุยืน 6 หมื่นปีกันได้เท่าเทียมกัน

เพราะพวกคุณมีหน้าที่เป็น #เพื่อนร่วมงานกับโลก

จะมีใครสักคนตายไปจากโลกโดยละทิ้งหน้าที่มิได้

ไม่ว่าจะตายชั่วคราวหรือหายไปอยู่สวรรค์มายาถาวร

คุณจะทำให้โลกนี้มีปัญหาเพราะเสียสมดุลไปทันที

 

โดยโลกจะหมุนช้าลงจนแกว่งส่ายเพราะไร้พลังบิด

ไม่ต่างจากรถยนต์ที่มี 4 สูบแล้วบางสูบมันเกิดชำรุด

รถคันนั้นก็จะขับเคลื่อนช้าลงเพราะมีแรงวิ่งน้อยลง

คุณต้องนำรถคันนั้นเข้าอู่เพื่อซ่อมให้กลับมาดีดังเดิม

 

มนุษย์โลก 7 พันกว่าล้านคน

ไม่ต่างจากลูกสูบของเครื่องยนต์ขนาดใหญ่นั่นแหละ

ถ้ามีคนเหลวไหลไม่เอาถ่านไม่เอาไหนมากขึ้นเรื่อยๆ

เท่ากับว่าเครื่องยนต์นั้นเริ่มขัดข้องทำงานไม่ครบสูบ

พวกคุณชาวโลกจะพบว่าโลกมีอาการเริ่มแกว่งส่าย

เพราะโลกขาดพลังงานความรักจากจิตรู้สำนึกของคุณ

เนื่องจากพวกคุณถูกมารหลอกให้เสพติดกิเลส

จึงใช้กิเลสกับจิตไร้สำนึกขับเคลื่อนกรรมจักรทั้งวัน

จิตหยาบจึงไม่ก้าวหน้าเข้าถึงมิติที่ 5 ไม่ได้จนวันตาย

ภัยพิบัติโลกที่เกิดจากการเสียสมดุลก็แรงขึ้นทุกวัน

 

เราจึงจะขอกล่าวความจริงให้คุณรู้ด้วยว่า

การที่คุณตายแล้วอยากไปอยู่บนสวรรค์มายานั้น

คุณกำลังถูกหลอกให้หลงทางกลับบ้านแดนสุญตา

ถูกหลอกให้เชื่อว่าแดนสวรรค์มายาคือแดนนิพพาน

ทั้งๆที่ความจริงนั้นสวรรค์มายาพระเจ้ามิได้สร้างไว้

สวรรค์มายามีคำว่ามายาต่อท้ายแสดงว่าไม่มีอยู่จริง

 

แดนนิพพานที่แท้จริงก็คือบ้านเกิดของจิตวิญญาณ

ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ข้างนอกเอกภพที่พวกคุณจากมา

คำว่านิพพานที่แท้จริงนั้นก็คือ #กลับบ้านเกิด ได้

แต่ถ้าใครต้องการจะกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตน

ขณะมีชีวิตอยู่ต้องดับการเกิดดับของกองกิเลสก่อน

คำว่า “กองกิเลส” ก็คือตัณหาราคะและอารมณ์ขยะ

การดับการเกิดดับของกิเลสนี้เรียกว่านิพพานเช่นกัน

จงอย่าสับสนหลงทางตามที่พวกผีโสโครกมันหลอก

 

สิ่งที่พวกคุณจะต้องรู้กันไว้ก็คือ

ถ้าคุณไม่ยอมหมุนธรรมจักรโดยหมุนแต่กรรมจักร

เพราะว่าคุณยังนิพพานกิเลสในจิตหยาบกันไม่ได้

จิตหยาบของคุณจะยกระดับจากการมี 4 มิติไม่ได้

โลกก็จะเสียสมดุลจนหมุนรอบตัวเองช้าลงเรื่อยๆ

ภัยพิบัติก็จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นด้วย

 

นอกจากนั้นคุณยังต้องรู้อีกด้วยว่า

เป้าหมายของผู้ที่จะหลุดพ้นออกไปจากเอกภพนี้ได้

จิตหยาบจะต้องมีครบ 6 มิติคือหกเหลี่ยมมุมเท่านั้น

จิตวิญญาณกับจิตหยาบจึงจะหลุดพ้นกลับบ้านได้

เพราะทั้งสองจิตเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว

 

ถ้าวันๆคุณไม่เรียนรู้ที่จะหมุนธรรมจักรกันให้เป็น

ได้แต่นั่งหัวเราะขบขันเราที่มาพร่ำกล่าวชักชวนคุณ

ให้มาร่วมกันหมุนธรรมจักรอยู่ทุกบ่อยๆแบบนี้

เนื่องจากไม่มีศาสดาพระองค์ไหนเคยกล่าวสอนไว้

แถมไม่เคยมีจอมยุทธเจ้าลัทธิตนใดเคยสอนมาก่อน

จึงละเลยทำวางเฉยไม่ใส่ใจความรู้ใหม่ที่เรากล่าวนี้

ก็นับว่าน่าเสียดายที่คุณจะเป็นคนหนึ่งในจำนวนคน

ที่ทำตนหนักแผ่นดินเพราะว่าช่วยให้โลกหมุนไม่ได้

 

นอกจากความรักเพื่อให้คือ อดทน อดกลั้น ให้อภัย

เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาและสภาวะจิตสงบระงับ

ถ้าคุณใช้ขับเคลื่อนขันธ์ห้าด้วยจิตสามนึกแล้ว

สภาวะจิตคุณขณะทำบุญก็เป็นด้านบวกเหมือนกัน

มันสามารถผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวกออกมาได้

ซึ่งโลกจะสามารถนำเอาใช้ประโยชน์ได้ในทุกอณู

แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นพลังงานจิตที่สะอาดจริง

 

#พลังงานจิตที่สะอาด ซึ่งได้จากการหมุนธรรมจักร

เมื่อคุณได้ทำบุญสุนทานในชีวิตประจำวันกันนั้น

จะต้องกระทำอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

เช่น ไม่ทำบุญสุนทานโดยการเลือกที่รักมักที่ชัง

นั่นคือคุณต้องไม่ทำบุญสุนทานอย่างมีเงื่อนไข

ที่สำคัญสูงสุดคือไม่ทำโดยต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน

ไม่ทำโดยปรารถนาจะได้รับสิ่งใดตอบแทน

เพียงมีความสุขใจที่ได้ทำบุญสร้างกุศลนั้นก็พอแล้ว

 

ในการทำบุญสุนทานลักษณะเช่นว่านี้

เครื่องยนต์แห่งกรรม 2 มิติของพวกคุณทุกคน

จะผลิตสร้างคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก

ในแบบที่โลกต้องการออกมาได้อย่างต่อเนื่อง

แต่ถ้าคุณไปใส่รหัสไว้ในสภาวะจิตขณะทำบุญนั้น

ด้วยการตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ว่า

 

1.คุณทำบุญสุนทานนั้นเพื่อตนเองหรือเพื่อใคร

2.คุณทำบุญนั้นเพื่อต้องการสิ่งใดตอบแทนบ้าง

3.คุณทำบุญนั้นเพื่อจะรับผลตอบแทนเมื่อไหร่

 

รหัสกรรมทั้ง 3 ประการดังกล่าวนี้

มันจะเปลี่ยนสภาพของพลังงานกรรมที่โลกต้องการ

ไปเป็น #ผลกรรมทางพลังงาน ส่วนตัวไปทันที

ซึ่งโลกจะนำไปใช้ค้ำจุนความสมดุลของระบบไม่ได้

แม้การหมุนธรรมจักรของคุณมันจะเป็นกรรมดีก็ตาม

แต่ถ้าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นพลังงานที่ไม่สะอาด

การทำบุญสุนทานในแบบที่คุณทำกันอยู่มันก็ไร้ค่า

 

ต่อไปเมื่อคุณจะทำบุญสุนทานเมื่อไหร่

เพื่อใช้ขันธ์ห้าหมุนธรรมจักรให้ได้พลังงานสะอาด

 

1.จงอย่าทำโดยมีเงื่อนไข

เพื่อให้จิตว่างจากกิเลสในการทำบุญนั้น

 

2.จงอย่าทำโดยร้องขอสิ่งตอบแทน

เพื่อให้จิตว่างจากกิเลสและอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้

 

3.จงอย่าทำโดยอุทิศให้ตนเองหรือให้ใคร

ไม่ว่าจะอุทิศให้พ่อแม่ลูกหลานญาติพี่น้องที่ล่วงลับ

เพราะคุณเป็นผู้ทำบุญคุณย่อมได้รับผลบุญนั้นอยู่แล้ว

คุณยังจะต้องร้องขอผลบุญนั้นกันอีกทำไม

 

พ่อแม่ลูกหลานของคุณที่มีชะตากรรมร่วมกันอยู่

ต่างมีความคล้ายคลึงกันด้านบุคลิกของจิตวิญญาณ

คือเมอร์คขะบาห์มีแรงสั่นสะเทือนสูงสุดได้พอๆกัน

ใครสั่นสะเทือนจิตสามนึกบวกหรือลบก็จะรับรู้กันได้

โดยมิพักต้องร้องขอหรือกำหนดจิตอุทิศแบ่งปันให้

ซึ่งพระเจ้าทรงออกแบบกระบวนการนี้เอาไว้ให้

เพื่อป้องกันมิให้คุณละทิ้งกันเพื่อไปสวรรค์คนเดียว

 

ดังนั้น

การอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร

แม้จะเป็นพฤติกรรมการทำบุญด้วยจิตเมตตา

การอุทิศส่วนบุญนั้นให้กับผัวเมียลูกญาติพี่น้อง

การทำบุญแล้วเจาะจงว่าคุณทำให้ใครเพื่อใครก็ตาม

คือการเปลี่ยนพลังงานสะอาดให้กลายเป็นสกปรก

เปลี่ยนพลังงานกรรมบริสุทธิ์ให้เป็นผลกรรมส่วนตน

ที่ใครคนอื่นจะเข้าไปหยิบใช้เข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้

 

เลิกทำบุญโดยร้องขอสิ่งตอบแทน

เพราะคุณทำบุญคุณได้บุญนั้นอยู่แล้ว

 

จงทำบุญโดยไม่ต้องอุทิศให้พ่อแม่อีก

เพราะลูกอย่างคุณทำพ่อแม่ท่านก็ได้รับอยู่แล้ว

แม้ตอนที่คุณทำบุญคุณไม่ได้นึกถึงท่านก็ตาม

 

จงทำบุญโดยไม่ต้องอุทิศให้ใครโดยไม่จำเป็น

เพราะการเจาะจงผู้ที่จะได้รับผลบุญนั้น

มันคือการใส่รหัสการเป็นเจ้าของพลังงานกรรมไว้

พลังงานกรรมด้านบวกที่เป็นสากลที่คุณสร้างขึ้น

มันจะเปลี่ยนเป็นผลกรรมที่มีเจ้าของเป็นตัวตน

ไม่เป็นพลังงานด้านบวกที่เป็นสากลอีกต่อไป

โลกจึงจะสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้

 

#เลิกงมงายด้วยความไม่รู้กันได้แล้ว

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

2/04/2567