09 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 9/04/2024

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

เรื่องสำคัญสูงสุดที่พวกคุณทุกคนต้องรู้

นอกจากเรื่องของการกินอยู่หลับนอนพักผ่อนรายวัน

ก็คือเรื่องของ #การหมุนธรรมจักร นี่แหละ

ถ้าคุณไม่รู้คุณก็จะเป็นคน “เสียชาติเกิด” ทันที

เพราะคุณทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกไม่ได้

ตามที่จิตวิญญาณของคุณขันอาสาพระบิดามาทำ

คุณจะกลายเป็นคนหนักโลกหนักแผ่นดินเท่านั้น

เนื่องจากใช้ขันธ์ห้าสั่นสะเทือนด้วยรักเพื่อให้มิได้

จึงไม่อาจสามารถผลิตพลังงานจิตด้านบวก

ให้โลกนำไปใช้จุดระเบิดอะตอมของแกนแม่เหล็ก

ที่ติดตั้งอยู่ภายในใจกลางโลกให้เกิดการบิดตัวได้

 

นอกจากนั้นจิตวิญญาณของคุณจะกลับบ้านไม่ได้

เมื่อทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกจนสิ้นยุคแล้ว

เพราะพระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้พวกคุณ

ต้องใช้จิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณผู้มาเกิด

โดยแบ่งภาคจิตวิญญาณออกมาเป็น “จิตหยาบ”

เริ่มจากวันแรกที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาด้วยมิติที่ศูนย์

ซึ่งเป็นพลังงาน “หยดหนึ่ง” ยังไม่มีรูปทรงเรขาคณิต

พลังงานหยดหนึ่งนี้ก็คือกลุ่มพลังงาน 189 กลุ่ม

ที่มีอัตตาตัวตนอยู่จริงแต่ยังมีคุณสมบัติเป็น #อนัตตา

เนื่องจากคลื่นพลังงานกลุ่มนี้ยังไม่สมดุลในตนเอง

 

จิตหยาบจากมิติที่ศูนย์หรือ 0D ดังกล่าวนี้

มันจะค่อยๆเจริญเติบโตขึ้นมาในครรภ์ของมารดา

โดยจะเจริญเติบโตคู่ขนานกันไปกับกายสังขารให้เห็น

ตามวันเวลาโลกที่ค่อยๆผันผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์

จากสัปดาห์เป็นเดือนและจากเดือนเป็นปีต่อไปเรื่อย ๆ

จนกระทั่งถึงวันสิ้นอายุขัยคือวันตายนั่นแหละ

 

หน้าที่ของพวกคุณก็คือจะต้องยกระดับจิตหยาบ

ให้มีมิติสูงขึ้นถึง “มิติที่หก” เท่ากับจิตวิญญาณให้ได้

วิธียกระดับก็คือการสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวก

ตอบสนองสิ่งเร้าด้านบวกด้านลบรอบๆตัวคุณเท่านั้น

ในแบบที่เราเคยย้ำตลอดมาว่า

 

#รักคนที่ทำตนไม่น่ารักให้ได้

#ให้อภัยแก่คนที่ทำตนไม่น่าอภัยให้เป็น

#ไม่เห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัวและพวกตัว

#ไม่ตกเป็นทาสของการยั่วยุเย้ายวน

 

ด้วยการรักษาจิตให้สงบระงับให้ได้ตลอดเวลา

หรือการมีสภาวะจิตที่เป็น “อุเบกขา” นั่นเอง

เพราะคุณสมบัติของจิตหยาบขณะเป็นอุเบกขานั้น

จะมีคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนเป็นบวกสูงสุด

เช่นเดียวกันกับขณะที่คุณเกิดอาการ “รักเพื่อให้”

คือเมตตา กรุณา มุทิตาและสูงสุดคืออุเบกขา

 

ในชีวิตคุณที่ผันผ่านมา

ที่พากันล้มเหลวในการเป็นมนุษย์ก็คือ

พวกคุณไม่รู้ว่า “ความรักเพื่อให้” ทุกรูปแบบ

อย่างเช่นการรักคนที่ทำตนไม่น่ารักให้ได้

แม้ว่าใครจะทำตนไม่น่ารักกับคุณก็ตาม

โดยเราเคยกล่าวต่อพวกคุณว่า

จักต้องทำตนเป็นเงื่อนไขด้านบวกของคนอื่นให้ได้

#ถ้าเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้เขาคนนั้นไม่ได้

#ก็จงอย่าทำตนเป็นเงื่อนไขใดๆให้เขาเลยจะดีกว่า

 

จากประโยคสำคัญทั้งสองนี้

คนที่มันคิดแบบจิตมนุษย์ซึ่งจิตปัญญายังต่ำเตี้ยอยู่

มักจะกล่าวสบประมาทว่าคำสอนแบบที่เรากล่าวไว้

เป็นคำสอนที่มี “ตรรกะวิปริต” ผิดหลักของเหตุผล

ทั้ง ๆที่แท้จริงแล้วผู้วิปริตไม่ใช่ครูอย่างเราหรอก

คำสอนของเราเป็นพระโอวาทที่สื่อมาจากพระเจ้า

เรารับสื่อมาด้วยสมองส่วนกลางเป็นช่องทางพิเศษ

ที่มนุษย์โลกทั้งหลายเข้าถึงมันไม่ได้และไม่มีให้ใช้

โอกาสที่เราจะสื่อมาผิดพลาดเพราะมารเข้าแทรกนั้น

จึงปิดประตูโอกาสที่จะผิดพลาดไว้ได้พันเปอร์เซ็นต์

 

ในการหมุนธรรมจักรด้วยรักเพื่อให้นี้

มีหลักการสำคัญที่คุณทุกคนจะต้องรู้กันให้ทั่วก็คือ

 

ต้องไม่ทิ้งครอบครัวของตัวเองโดยเด็ดขาด

เพราะสมาชิกทุกคนในครอบครัวแม้แต่คนรับใช้

จิตวิญญาณของพวกเขาทุกคนร่วมกับตัวคุณเองนั้น

ต่างได้เขียนบทละครและถือบททดสอบจิตสามนึก

มาหยิบยื่นให้กันและกันเพื่อเป็นเงื่อนไขแบบต่างๆ

ในการทดสอบจิตสามนึกแห่งรักเพื่อให้กันอยู่

 

ไม่ว่าบทละครกับบททดสอบบางบท

พวกคุณถือมาจากภพชาติแรกที่ได้โอกาสมาเกิด

หรือว่าถือมาจากอดีตชาติเพราะมีบางคนสอบตก

ต้องพากันมาแก้ไขใหม่ในชาติปัจจุบัน

เป้าหมายคือต้องรักให้ได้ต้องให้ให้เป็นนี่แหละ

 

คุณต้องระลึกเอาไว้เสมอว่าตั้งแต่เริ่มแรกนั้น

ครอบครัวคุณถูกถักทอไว้ด้วยความรักของทุกคน

เพราะคุณรักกันเท่านั้นจึงเกิดเป็นครอบครัวขึ้นมาได้

ผัวรักเมียเมียรักผัวพ่อรักแม่แม่รักพ่อพ่อแม่รักลูก

รวมทั้งลูกทุกคนก็รักพ่อแม่ของตนโดยทั้งผูกทั้งพัน

มันจึงเกิดเป็นครอบครัวที่มั่นคงและอบอุ่นได้

เมื่อต้องเผชิญกับบททดสอบที่แม้จะยากสักเพียงใด

พวกคุณจะทำให้สายใยแห่งรักนั้น “ขาดง่าย” ไม่ได้

เพราะมันเป็นคนละเรื่องกันนั่นเองไงคุณ

 

ครอบครัวคุณก็ไม่ต่างจากตัวบ้าน

ฝาพังหลังคารั่วชำรุดตรงจุดไหนก็ต้องแก้ไขที่จุดนั้น

ไม่ทำเรื่องเล็กน้อยให้กลายเป็นเรื่องใหญ่

แทนที่จะซ่อมแซมแก้ไขแต่ดันไปรื้อบ้านทั้งหลังทิ้ง

ซึ่งเป็นเรื่องที่มักง่ายและสิ้นคิดอย่างยิ่ง

เพราะเรื่องฝาพังหลังคารั่วเป็นปัญหาของครอบครัว

มิใช่ปัญหาส่วนตัวของใครบางคนแต่อย่างใด

เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาในครอบครัวไม่ว่าใครเป็นต้นเหตุ

ทุกคนต้องไม่เอาแต่โทษหลังคาหรือฝาบ้านนั้น

ทุกคนจะต้องร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขผจญภัยไปด้วยกัน

โดยไม่คิดอ่านจะทำลายบ้านนั้นหรือรื้อบ้านทิ้งไป

หรือปลีกตัวออกไปจากบ้านทิ้งปัญหานั้นไว้ข้างหลัง

 

จงจำไว้ว่าพวกคุณทุกคนเป็นคนสองมิติ

คำว่า #ครอบครัว จึงประกอบด้วยมิติแห่งเนื้อหนัง

อันเป็นโครงสร้างทางกายภาพที่เป็น “มิติแรก”

กับ “มิติที่สอง” เป็นครอบครัวในมิติแห่งจิตใจ

ซึ่งจิตหยาบกับจิตวิญญาณแต่ละคนรับผิดชอบด้วย

ในความหมายที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้นก็คือ

คำว่าครอบครัวในมิติที่สองนี่แหละที่พวกคุณนั้น

ร่วมกันถักทอด้วยสายใยแห่งรักร่วมกันสร้างมันขึ้นมา

เมื่อครอบครัวในมิติโลกทางกายภาพมันมีปัญหา

พวกคุณแต่ละคนก็อย่าให้ครอบครัวในมิติแก่นแท้

มันพังทลายแตกสลายไปง่ายๆนั่นเอง

 

คุณพิจารณาดูใยแมงมุมสิ

แมงมุมตัวหนึ่งกับลูกๆของมันที่วิ่งวนอยู่บนสายใยนั้น

มันสามารถยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้งตนเองอย่างเป็นสุขได้

เพราะไม่มีใครกัดแทะหรือทำลายเส้นใยให้ขาดเลย

ถ้าเส้นใดขาดชำรุดตัวแม่ตัวพ่อเจ้าของใยแมงมุมนั้น

จะรีบทำการซ่อมแซมจุดที่ชำรุดนั้นให้ใช้การได้เสมอ

ไม่มีตัวไหนละทิ้งรังไปง่ายๆไม่มีตัวไหนทะเลาะกัน

ทุกตัวยังอยู่ครบและใยแมงมุมทั้งรังก็ยังอยู่ครบถ้วน

ครอบครัวแมงมุมพอเป็นตัวอย่างของพวกคุณได้ไหม

 

ครอบครัวเป็นเรื่องของคุณในมิติโลก

ครอบครัวเป็นเรื่องของจิตวิญญาณในมิติของแก่นแท้

ถ้าคุณเข้าใจกันดีอยู่ว่า #จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว

แสดงว่าคุณต้องยึดเอามิติของแก่นแท้เป็นหลัก

นั่นแสดงว่าคุณต้องถือความรักในจิตเป็นสำคัญ

ไม่ว่าคุณไม่ว่าฉันจะเป็นอย่างไรมันคือบททดสอบ

แต่ความรักในจิตใจของฉันมันจะเหนียวดั่งใยแมงมุม

ซึ่งมันจะยืดหยุ่นได้และไม่ขาดจากกันง่ายๆ

ถ้าขาดตรงไหนก็จะซ่อมมันที่ตรงนั้น

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

9/04/2567