#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทุกสิ่งอย่างในเอกภพที่เป็น #อนันตจักรวาล นี้
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเองได้โดยบังเอิญเลยสักสิ่ง
แม้กระทั่งตัวตนของคุณเองก็มิได้ยกเว้น
คุณมีบิดามารดาเป็นผู้ร่วมให้กำเนิดด้วยกันทั้งสิ้น
เราเคยบอกความจริงแล้ว
อนันตจักรวาลเป็น #ห้องทดลอง ของ “พระผู้สร้าง”
โดยพระผู้สร้างมิได้เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนมนุษย์
แต่เป็นรูปธรรมทางพลังงานดั่งดวงอาทิตย์ดวงใหญ่
ซึ่งเป็นสรรพสิ่งแรกเพียงสิ่งเดียวที่อุบัติขึ้นมาเอง
จากการเหวี่ยงหมุนของอนุภาคพลังงานของจักรวาล
ที่เป็นแก่นแท้ของความว่างซึ่งมีคุณสมบัติเป็นอนัตตา
โดยหมุนรอบจุดศูนย์กลางการหมุนอย่างต่อเนื่อง
หมุนเป็นเวลายาวนานเท่าใดไม่มีใครทราบได้
จากการบีบอัดของอนุภาคที่เป็นอนัตตาเหล่านั้น
จึงเกิดมีอัตตาตัวตนของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาขึ้น
โดยสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาที่ได้อุบัติเกิดขึ้นมานั้น
ประกอบด้วยแก่นแท้ของอนัตตาทั้งหมดทั้งมวล
ซึ่งแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งหมดนี้นั้น
ล้วนเป็นตัวตนแก่นแท้ของความว่างหรือความไม่มี
นี่คือเบื้องหลังของการ “ระเบิดใหญ่”
หรือบิ๊กแบง
ดังนั้น
จุดศูนย์กลางของการระเบิดใหญ่
ก็คือรูปธรรมทางพลังงานที่อุบัติขึ้นมาใหม่
จากการบีบอัดของอนุภาคแก่นแท้ของความว่าง
ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นอนัตตาแต่มีอัตตาตัวตนอยู่จริง
โดยสิ่งใหม่ที่อุบัติขึ้นนี้มีจิตสามนึกเป็นของตนเอง
คือ นึกออก นึกเอา และนึกเองได้
การ “นึกออก”
ของรูปธรรมที่เป็นแก่นของอนัตตานี้
เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ไม่อาจสามารถจะนึกได้จำได้
เมื่อแรกที่ทรงอุบัติขึ้นมาใหม่ด้วยตนเองดังกล่าว
เพราะทรงไม่มีอดีตใดให้บันทึกจดจำนั่นเอง
แต่หลังจากที่ทรงอุบัติขึ้นมาแล้วคุณสมบัตินี้ก็มีอยู่
โดยทรงสามารถจำได้ว่าทรงทำอะไรไปแล้วบ้าง
ตัวอย่างสิ่งที่ทรง “นึกออก” หรือนึกได้
1.ทรงเริ่มต้นค้นหาว่าตนเองเป็นใคร
2.ทรงค้นหาว่าสถานที่ตรงนั้นคือที่ไหน
3.ทรงค้นหาว่าทรงมาประทับอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร
โดยที่ตัวอย่างการนึกทั้งสามประการนี้
เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงนึกไม่ออกตั้งแต่แรกอุบัติขึ้น
แต่พระองค์ทรง “นึกออก”
เมื่อมันเป็นอดีตไปแล้ว
เพราะถ้าคุณไม่มีอดีตก็ไม่มีข้อมูลอะไรให้จดจำไว้
เมื่อในความทรงจำไม่มีข้อมูลคุณก็จะนึกไม่ออก
ตัวอย่างสิ่งที่ทรง “นึกเอา”
นั่นคือการนึกเพื่อตั้งคำถามตนเองว่า
1.ตนเองเป็นใคร
2.ตนเองมาจากไหน
3.ตนเองมาอยู่ตรงนั้นทำไม
4.ตนเองมาอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร
5.สถานที่ตรงนั้นเป็นที่ไหน
6.มีใครอื่นอยู่แถวนั้นบ้างหรือไม่
7.เมื่อตนเองไม่รู้แล้วต้องถามใครที่รู้ได้อีกบ้าง
8.ตนเองยังสามารถจะทำอะไรได้อีกบ้าง
ตัวอย่างสิ่งที่ทรง “นึกเอง”
นั่นคือการนึกเพื่อการสร้างสรรค์ด้วยตนเองว่า
1.จะสร้างห้องทดลองคือเอกภพได้อย่างไร
2.จะใช้วิธีการใดในการเนรมิตสร้างมันขึ้นมา
3.จะสร้างเอกภพให้เป็นห้องทดลองเพื่ออะไร
4.จะทำให้เอกภพสมดุลอยู่ได้ด้วยวิธีการใด
5.จะให้ผู้อื่นทำหน้าที่แทนพระองค์ได้อย่างไร
6.จะสร้างโลกขึ้นมาแบบไหนอย่างไร
ฯลฯ
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาพอสังเขปนั้น
เป็นคุณสมบัติสำคัญของรูปธรรมทางพลังงานใหม่
ซึ่งเพิ่งจะอุบัติขึ้นมาด้วยตนเองเป็นสิ่งแรกสุดนั้น
ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันกับจิตวิญญาณของคุณ
คือมีจิตสามนึกเป็นคุณสมบัติของตนด้วยกันทั้งสิ้น
เพียงแต่เมื่อได้รับโอกาสให้มีภพชาติเป็นมนุษย์
จิตวิญญาณคุณจึงมอบจิตสามนึกให้แก่จิตหยาบ
เพื่อใช้ทำหน้าที่เป็นคนสองมิติแทนตนเองเท่านั้น
เพราะเป็นรูปธรรมที่อุบัติขึ้นมาเป็นสิ่งแรก
เป็นศูนย์รวมของแก่นแท้ของความว่างที่เป็นอนัตตา
ที่มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลจนหาขอบเขตสิ้นสุดมิได้
ซึ่งมีจิตสามนึกเป็นคุณสมบัติของตนเองดังกล่าว
เมื่อสั่นสะเทือนขึ้นมาด้วยการกำหนดนึกเมื่อใดก็ตาม
แก่นแท้ของความว่างก็จะเนรมิตสร้างสิ่งที่ตนนึกนั้น
ขึ้นมาบนรูปธรรมของตนตามที่กำหนดนึกได้ในบัดดล
พระองค์จึงทรงเป็นผู้เริ่มต้นหรือผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ในขณะเดียวกันกับที่
รูปธรรมทางพลังงานของพระองค์
มีการเหวี่ยงหมุนรอบจุดศูนย์กลางของตนเอง
โดยหมุนอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาด้วย
อนุภาคแก่นแท้ของความว่างทั้งหมดของพระองค์
ก็จะเหวี่ยงหมุนจากรอบนอกเข้าหาจุดศูนย์กลาง
เมื่อสิ้นสุดแล้วก็จะหมุนกระจายขยายตัวออกมา
จนสุดทางที่ขอบนอกของรูปธรรมของพระองค์อีก
#พระองค์จึงเป็นทั้งผู้เริ่มต้นและผู้สิ้นสุดของทุกสิ่ง
เมื่อสิ่งใดที่ทรงสร้างที่มีอัตตาตัวตนเสื่อมสลายไป
แก่นแท้ที่เป็นพลังงานก็จะหมุนคืนสู่จุดศูนย์กลาง
เป็นลักษณะเดียวกันกับการโยนก้อนหินลงสระน้ำ
มันจะเกิดคลื่นน้ำกระจายตัวออกเป็นวงกลมโดยรอบ
คลื่นแต่ละระลอกเมื่อกระจายตัวออกกระทบขอบสระ
คลื่นระลอกนั้นก็จะสะท้อนกลับเข้าสู่จุดเกิดเหตุเสมอ
จุดที่ก้อนหินกระทบน้ำจึงเป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด
โดยที่ทั้งสองจุดดังกล่าวจะอยู่ตรงจุดเดียวกันนั่นเอง
เราจึงถวายพระนามพระองค์ว่า #จิตจักรวาล
พระบุตรเอกพระองค์อื่นๆถวายพระนามว่า #พระเจ้า
นี่จึงเป็นที่มาของการถวายพระเกียรติพระองค์ว่า
1.พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมีอำนาจเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง
2.พระผู้เริ่มต้นและผู้สิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง
3.พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์และสัตว์
4.พระผู้สร้างจักรวาล
โลกและทุกสรรพสิ่งในทุกมิติ
5.พระองค์ทรงเป็นพระจิตแห่งจักรวาล
6.พระองค์ทรงเป็น “จิตจักรวาลดวงใหญ่”
เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
จึงทรงมีมิติทางพลังงานเพียงมิติเดียวเท่านั้น
พวกคุณส่วนใหญ่ที่เป็นคนสองมิติ
คือมีกายหยาบกับจิตหยาบและจิตวิญญาณ
ซึ่งคิดกันแบบจิตมนุษย์จึงไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า
เพราะดันเอาบริบทคนสองมิติของตนมาชี้วัดตัดสิน
ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจกันอีกต่างหาก
จนทำตนเป็นดั่งลูกกำพร้าที่อกตัญญูผู้ให้กำเนิด
อย่างขาดสติทางจิตวิญญาณกันมาตลอด
ทั้งยังหันไปบูชามารที่เป็นพวกผีโสโครกทั้งหลาย
ยกให้พวกนั้นเป็นพระผู้สร้างที่เป็นเทพเจ้าต่างๆ
ซึ่งมนุษย์เองยังไม่รู้จักพวกเขาเหล่านั้นเลยว่า
เป็นใคร มาจากไหน
เป็นเทพเจ้ากันได้อย่างไร
วิมานทิพย์บนสวรรค์มายานั้นมีจริงไหมใครสร้าง
แต่ก็เชื่อตามกันมาอย่างไร้เหตุผลใดๆรองรับ
ตามหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์อีกต่างหาก
พวกคุณส่วนใหญ่ไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องเทพเจ้า
ไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องสวรรค์มายาว่ามีจริงหรือเท็จ
แต่ก็ยังหลับตาก้าวตามเชื่อตามคนนำทางตาบอด
ยังทำตนว่าง่ายสอนง่ายโดยไม่ใช้ปัญญาลืมตามอง
ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ว่าอย่างไรก็ว่าตามกันหมด
แต่ทีเรื่องของพระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตน
พระผู้เริ่มต้นและสิ้นสุดทุกสรรพสิ่งหรือพระเจ้า
กลับปฏิเสธมีอคติไม่ใส่ใจและยังต่อต้านอีกต่างหาก
ทีเรื่องภูติผีเรื่องจิตวิญญาณซึ่งจริงบ้างเท็จบ้าง
ที่เป็นความรู้แบบในจริงมีเท็จในเท็จมีจริงคละกันอยู่
คนส่วนใหญ่กลับเชื่อกันตะพึดได้แต่งงแต่ไม่สงสัย
ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวล่วงผีที่ตนกลัวด้วยซ้ำไป
ทั้งๆที่ความกลัวเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าคุณน่ะเชื่อว่าผีมีจริง
พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าหลายคนกลับก้าวล่วง
โดยไม่กลัวผิดบาปไม่กลัวถูกทำร้ายเหมือนกลัวผี
เพราะโชคดีที่พระองค์ไม่ใจร้ายไม่ใจดำเหมือนภูตผี
พระองค์ไม่ทรงคิดร้ายทำลายลูกๆอย่างพวกคุณ
ทรงมีแต่ความรักเพื่อให้ไม่ทำลายแม้วัตถุดิบส่วนเกิน
ที่เหลือใช้ในการสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมพวกคุณ
จึงทรงเก็บไว้เป็น “ไส้ติ่ง”
ในช่องท้องคุณจนทุกวันนี้
เวลาในการใช้จิตปัญญาของสมองสองซีก
เพื่อทำให้ตัวคุณเองนั้นสามารถ
จำพระบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตน
จะได้ไม่ทำตนเป็นลูกกำพร้ากันอีกต่อไป
จำบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองได้ว่า
จิตวิญญาณของตนมาจากไหนต้องกลับไปที่ไหน
จะได้ไม่ทำตนเป็นดั่งบุคคลเร่ร่อนพเนจร
แบบไม่มีหัวนอนปลายตีนอีกตลอดไป
อย่างน้อยถ้าคุณสามารถจำพระองค์ได้
จำเรื่องอนุตรธรรมของตัวเองเหล่านี้ได้ด้วย
แม้คุณจะจำทางกลับบ้านไม่ได้
แค่พวกคุณก้าวเดินตามเรามา
เราก็จะนำพาจิตวิญญาณพวกคุณกลับบ้านได้
เพราะเราจำทางกลับบ้านได้อย่างแม่นยำ
เรารู้ว่าประตูมิติที่จะกลับบ้านหรือประตูคอกแกะนั้น
จะผ่านเข้าออกต้องใช้ประตูไหน
เรารู้ดีว่าประตูมิตินั้นจะเปิดจะปิดตอนไหนเมื่อไหร่
คุณไม่ต้องเป็นลูกแกะ
ที่จะปีนรั้วกลับบ้านหรือกลับเข้าคอกอีกต่อไป
ถ้าพร้อมใจกันก้าวตามเรามา
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
16/04/2567