#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ในมิติโลกทางกายภาพที่เป็นมิติแห่งเนื้อหนัง
เรื่องของ #สตางค์ หรือ “สะตัง”
นั้นเป็นเรื่องใหญ่
เพราะเงินทองที่ต้องใช้ในการดำเนินชีวิตมันหายาก
หลายคนต้องใช้ชีวิตแบบ
“ปากกัดตีนถีบ” กันเลย
ซึ่งบางคนเงินทองก็หาค่อนข้างยากจนไม่มีจะกิน
บางบ้านแทบจะกอดคอกันกัดกินก้อนเกลือก็มีอยู่
ขณะที่บางคนเงินทองกลับหาง่ายแบบทำมาค้าขึ้น
จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดเสียทุกสิ่งอย่าง
จนทำให้คนรอบข้างต่างรู้สึกอิจฉาตาร้อนตามๆกัน
สิ่งต่างๆที่ปรากฏให้เห็นดังกล่าวมานั้น
ล้วนเป็นเรื่องชะตากรรมของจิตวิญญาณแต่ละคน
ที่ถือติดตัวกันมาแสดงเพื่อเรียนรู้กันในภพชาตินี้
ทั้งเรียนรู้กับคนในครอบครัวที่เป็นคนใกล้ตัว
และเรียนรู้ร่วมกันกับคนรอบข้างใครก็ได้ไม่เจาะจง
ซึ่งบทเรียนจากบททดสอบต่างๆที่หยิบยื่นให้กันนั้น
ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
“ความรักเพื่อให้” ทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่น
“บททดสอบ”
ที่จะทำให้คุณเกิดการเรียนรู้ว่า
#จะรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักได้อย่างไร?
#จะให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าอภัยได้อย่างไร?
#จะทำตัวอย่างไรจึงไม่ก้าวล่วงเขาให้เสียสมดุล?
ในขณะเดียวกัน
ตัวคุณเองก็จะต้องเรียนรู้ให้ได้ด้วยว่า
คุณจะเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่นได้อย่างไร
นั่นคือ
#จะทำตัวเองให้น่ารักสำหรับผู้อื่นได้อย่างไร?
#จะทำตนให้คนอื่นให้อภัยคุณง่ายๆได้อย่างไร?
#จะทำตนแบบใดที่จะไม่ก้าวล่วงผู้อื่นให้เสียสมดุล?
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นของคนชอบธรรม
ซึ่งสำคัญมากกว่า #การท่องธรรมจำศีล เสียอีกนะ
เพราะมันเดิมพันกันด้วย #กฎแห่งกรรม ไงล่ะ
นั่นคือการมีอายุขัยการมีภพชาติกับการมีสังสารวัฏ
หากปฏิบัติตนผิดพลาดพลั้งเผลอไปจากสิ่งนั้นๆ
ดังนั้น
คุณจึงต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้ #รู้สติ เอาไว้
โดยคุณจะต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่า
#อนาคตข้างหน้าคุณจะต้องเผชิญกับอะไร?
ตัวอย่างเช่นคุณจะต้องรู้สติให้ได้ว่า
1.ขณะนี้คุณกำลังขัดแย้งกันอยู่
2.เมื่อครู่คุณสองคนมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน
3.ถ้ายังขืนขัดแย้งกันไม่ยุติบ้านแตกแน่นอน
การรู้สติทั้งสามประการดังกล่าวมานี้
หมายถึง
การรู้ปัจจุบันรู้อดีตที่ผ่านมาและรู้อนาคต
ขณะที่ตัวคุณกำลังอยู่ในปัจจุบันขณะ
อย่างนี้จึงเรียกว่า #รู้ตัวทั่วพร้อม นั่นเอง
ซึ่งมันต่างจากการที่คุณเพียรฝึกการย่างก้าว
ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ยกหนอ
ย่างหนอ...
ด้วยการเอาจิตไปจับไว้ที่ฝ่าเท้าที่ก้าวย่างอยู่นั้น
อันเป็นการฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้นเอง
มันแค่ช่วยให้คุณเป็นคนมีฌานคือจิตมีพลังได้
เพราะจิตนิ่งสงบอยู่กับปัจจุบันขณะได้ชั่วคราว
เพราะจิตคุณปิดรับการสัมผัสจากอายตนะทั้งสี่
เหลือแต่กายสัมผัสคือ “ฝ่าเท้า”
ที่ก้าวย่างเท่านั้น
แต่ในชีวิตจริงท่ามกลางคนหมู่มาก
คุณมิได้ปลีกวิเวกอยู่คนเดียวแต่อย่างใด
ตาหูจมูกปากของคุณมันมิได้ปิด
มันยังสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้ารอบตัวคุณอยู่ทุกช่องทาง
คุณจะห้ามคนรอบข้างมิให้สร้างสิ่งเร้าจิตหยาบคุณ
เพื่อมิให้คุณรับรู้แล้วนำไปสู่การรับเอาไม่ได้เลย
นอกจากจะฝึกแบบจิตจักรวาลคือการรู้สติเท่านั้น
เพราะคุณจะห้ามคนรอบข้างหรือคนใกล้ตัวทุกคน
มิให้พวกเขาสร้างเงื่อนไขของสิ่งเร้าใดๆนั้นไม่ได้
ห้ามไม่ให้เขาพูดห้ามไม่ให้เขาทำที่คุณไม่ชอบมิได้
นอกจากคุณจะต้อง #ทำที่ตัวเองเท่านั้น
การทำที่ตัวเองในที่นี้ก็คือ #รู้สติตลอดเวลา
ในแบบที่เราเรียกว่า
“รู้ตัวทั่วพร้อม” ที่แท้จริงนั่นเอง
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
13/04/2567