13 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 13/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ในมิติโลกทางกายภาพที่เป็นมิติแห่งเนื้อหนัง

เรื่องของ #สตางค์ หรือ “สะตัง” นั้นเป็นเรื่องใหญ่

เพราะเงินทองที่ต้องใช้ในการดำเนินชีวิตมันหายาก

หลายคนต้องใช้ชีวิตแบบ “ปากกัดตีนถีบ” กันเลย

ซึ่งบางคนเงินทองก็หาค่อนข้างยากจนไม่มีจะกิน

บางบ้านแทบจะกอดคอกันกัดกินก้อนเกลือก็มีอยู่

ขณะที่บางคนเงินทองกลับหาง่ายแบบทำมาค้าขึ้น

จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดเสียทุกสิ่งอย่าง

จนทำให้คนรอบข้างต่างรู้สึกอิจฉาตาร้อนตามๆกัน

 

สิ่งต่างๆที่ปรากฏให้เห็นดังกล่าวมานั้น

ล้วนเป็นเรื่องชะตากรรมของจิตวิญญาณแต่ละคน

ที่ถือติดตัวกันมาแสดงเพื่อเรียนรู้กันในภพชาตินี้

ทั้งเรียนรู้กับคนในครอบครัวที่เป็นคนใกล้ตัว

และเรียนรู้ร่วมกันกับคนรอบข้างใครก็ได้ไม่เจาะจง

ซึ่งบทเรียนจากบททดสอบต่างๆที่หยิบยื่นให้กันนั้น

ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ความรักเพื่อให้” ทั้งสิ้น

 

ตัวอย่างเช่น

บททดสอบ” ที่จะทำให้คุณเกิดการเรียนรู้ว่า

 

#จะรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักได้อย่างไร?

#จะให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าอภัยได้อย่างไร?

#จะทำตัวอย่างไรจึงไม่ก้าวล่วงเขาให้เสียสมดุล?

 

ในขณะเดียวกัน

ตัวคุณเองก็จะต้องเรียนรู้ให้ได้ด้วยว่า

คุณจะเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่นได้อย่างไร

นั่นคือ

 

#จะทำตัวเองให้น่ารักสำหรับผู้อื่นได้อย่างไร?

#จะทำตนให้คนอื่นให้อภัยคุณง่ายๆได้อย่างไร?

#จะทำตนแบบใดที่จะไม่ก้าวล่วงผู้อื่นให้เสียสมดุล?

 

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นของคนชอบธรรม

ซึ่งสำคัญมากกว่า #การท่องธรรมจำศีล เสียอีกนะ

เพราะมันเดิมพันกันด้วย #กฎแห่งกรรม ไงล่ะ

นั่นคือการมีอายุขัยการมีภพชาติกับการมีสังสารวัฏ

หากปฏิบัติตนผิดพลาดพลั้งเผลอไปจากสิ่งนั้นๆ

 

ดังนั้น

คุณจึงต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้ #รู้สติ เอาไว้

โดยคุณจะต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่า

 

#ขณะนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่?

#เมื่อครู่คุณเพิ่งทำอะไรมา?

#อนาคตข้างหน้าคุณจะต้องเผชิญกับอะไร?

 

ตัวอย่างเช่นคุณจะต้องรู้สติให้ได้ว่า

1.ขณะนี้คุณกำลังขัดแย้งกันอยู่

2.เมื่อครู่คุณสองคนมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน

3.ถ้ายังขืนขัดแย้งกันไม่ยุติบ้านแตกแน่นอน

 

การรู้สติทั้งสามประการดังกล่าวมานี้

หมายถึง การรู้ปัจจุบันรู้อดีตที่ผ่านมาและรู้อนาคต

ขณะที่ตัวคุณกำลังอยู่ในปัจจุบันขณะ

อย่างนี้จึงเรียกว่า #รู้ตัวทั่วพร้อม นั่นเอง

 

ซึ่งมันต่างจากการที่คุณเพียรฝึกการย่างก้าว

ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ยกหนอ ย่างหนอ...

ด้วยการเอาจิตไปจับไว้ที่ฝ่าเท้าที่ก้าวย่างอยู่นั้น

อันเป็นการฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบันขณะเท่านั้นเอง

มันแค่ช่วยให้คุณเป็นคนมีฌานคือจิตมีพลังได้

เพราะจิตนิ่งสงบอยู่กับปัจจุบันขณะได้ชั่วคราว

เพราะจิตคุณปิดรับการสัมผัสจากอายตนะทั้งสี่

เหลือแต่กายสัมผัสคือ “ฝ่าเท้า” ที่ก้าวย่างเท่านั้น

 

แต่ในชีวิตจริงท่ามกลางคนหมู่มาก

คุณมิได้ปลีกวิเวกอยู่คนเดียวแต่อย่างใด

ตาหูจมูกปากของคุณมันมิได้ปิด

มันยังสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้ารอบตัวคุณอยู่ทุกช่องทาง

คุณจะห้ามคนรอบข้างมิให้สร้างสิ่งเร้าจิตหยาบคุณ

เพื่อมิให้คุณรับรู้แล้วนำไปสู่การรับเอาไม่ได้เลย

นอกจากจะฝึกแบบจิตจักรวาลคือการรู้สติเท่านั้น

เพราะคุณจะห้ามคนรอบข้างหรือคนใกล้ตัวทุกคน

มิให้พวกเขาสร้างเงื่อนไขของสิ่งเร้าใดๆนั้นไม่ได้

ห้ามไม่ให้เขาพูดห้ามไม่ให้เขาทำที่คุณไม่ชอบมิได้

นอกจากคุณจะต้อง #ทำที่ตัวเองเท่านั้น

 

การทำที่ตัวเองในที่นี้ก็คือ #รู้สติตลอดเวลา

ในแบบที่เราเรียกว่า “รู้ตัวทั่วพร้อม” ที่แท้จริงนั่นเอง

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

13/04/2567