#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำว่า #พลังงาน หมายถึง กำลังที่ใช้ในการทำงาน
อันหมายถึง “แรง” ที่ใช้เพื่อการขับเคลื่อนบางสิ่ง
ให้ไปถึงจุดหมายที่ต้องการนั้นภายในระยะเวลาหนึ่ง
“พลังกาย” จึงหมายถึง
แรงกายที่คุณใช้ไปในการทำงานบางสิ่งที่ต้องการ
ในการเคลื่อนที่ยกย้ายสิ่งนั้นเพื่อให้ประสบผลสำเร็จ
จากการสั่นสะเทือนทางจิตปัญญาและอวัยวะร่างกาย
ซึ่งพลังงานหรือแรงที่ใช้ไปในการทำงานตามที่ว่านี้
เป็นพลังอำนาจจากการสั่นสะเทือนในตนเองทั้งสิ้น
การสั่นสะเทือนทางจิตปัญญาและอวัยวะร่างกาย
ที่เริ่มจากสั่นสะเทือนข้างในก่อนจะนำออกข้างนอก
ถ้าเป็นพฤติกรรมทางด้านบวกที่พึงประสงค์ของคนอื่น
พระเจ้าทรงเรียกว่า #การสั่นสะเทือนด้วยจิตรู้สำนึก
เพราะ #จิตสามนึก ที่เป็น “จิตรู้สำนึก” ดังกล่าวนี้
สามารถจะรู้สำนึกในผิดถูกดีชั่วและบาปบุญคุณโทษ
ก็เพราะจิตหยาบนั้นครอง “มหาสติ” อยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งเป็นผู้มี “ปณิธานแห่งนิพพานเพื่อการหลุดพ้น”
ด้วยจิตที่มุ่งมั่นอย่างแท้จริงอีกต่างหากด้วย
ในทางตรงกันข้าม
ถ้าเป็นพฤติกรรมด้านลบที่ไม่พึงประสงค์ของคนอื่น
พระเจ้าทรงเรียกว่า #การสั่นสะเทือนด้วยจิตไร้สำนึก
เพราะ #จิตสามนึก ที่เป็น “จิตไร้สำนึก” ดังกล่าวนี้
เป็นจิตที่ไม่รู้สำนึกในผิดถูกดีชั่วและบาปบุญคุณโทษ
เพราะจิตหยาบกำลังตกเป็นทาสของอำนาจกิเลสอยู่
หรือกำลังถูกอำนาจของกิเลสครอบงำอยู่นั่นเอง
จนยังผลให้บุคคลนั้นคิดพูดทำไปตามที่กิเลสบงการ
เพราะถูกกิเลสบดบังความรักและสติปัญญาไว้จนมิด
ทั้งพลังอำนาจจาก “จิตรู้สำนึก” และ “จิตไร้สำนึก” นี้
เป็นการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึกของรูปธรรมมนุษย์
ที่เกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกคุณก่อน
แล้วขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกให้รู้เห็น
ในรูปแบบของวจีกรรมคำพูดและกายกรรมการกระทำ
เพื่อให้พฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกมาให้ปรากฏนั้น
เป็น “เงื่อนไข” กระตุ้นจิตหยาบของคนรอบข้างตัวคุณ
ให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึกแบบใดแบบหนึ่ง
เพื่อสร้างพลังอำนาจขึ้นมาตามคุณไปด้วย
ถ้าเป็นพฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกทางด้านบวก
ซึ่งเป็นพฤติกรรมจากจิตสามนึกที่รู้สำนึกของพวกคุณ
มันคือเงื่อนไขที่กระตุ้นให้หมุนธรรมจักรร่วมกันนั่นเอง
ถ้าพวกคุณมีสามคนขึ้นไปสมการ ∑βx จะศักดิ์สิทธิ์ทันที
โดยพลังงานจำนวน 1% จากที่พวกคุณร่วมกันผลิตขึ้น
แกนแม่เหล็กโลกก็จะเหนี่ยวรั้งลงไปใช้ในการบิดตัว
เพื่อช่วยให้โลกทั้งดวงเกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
พลังงานในส่วนที่เหลือนั้นจิตหยาบของพวกคุณทุกคน
ก็จะนำไปใช้เพิ่มความถี่การสั่นสะเทือนของตนให้สูงขึ้น
เพื่อยกระดับจากการมี 4D เข้าถึง 5D และถึง 6D ให้ได้
ภายในภพชาติแรกที่มาเกิดหรือในชาติเดียวที่ได้มาเกิด
หมายถึงการคนตนเองร่วมกันเพื่อการเป็นมนุษย์โดยแท้
กระบวนการของ “คนสองมิติ” ที่ว่ามานี้
มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีพลังอำนาจของจิตวิญญาณ
ที่เรียกว่า “พลังจิตใต้สำนึก” คอยสนับสนุนช่วยเหลือ
ด้วยการทำหน้าที่สั่นสะเทือนตามจิตสามนึกของพวกคุณ
เนื่องจากพลังอำนาจที่ต้องใช้เพื่อการยกระดับจิตหยาบนี้
ต้องมีแรงสั่นสะเทือนค่อนข้างสูงเกินกว่าที่ตนจะทำได้
พลังงานที่ใช้จึงต้องอยู่ในรูปของ #พลังร่วม ( ∑βx )
โดยตัว X ต้องเป็นจำนวนขั้นต่ำเท่ากับ 3 คนขึ้นไปเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า
#ทำไมมนุษย์จึงต้องเป็นสัตว์สังคม
#ทำไมสัตว์จะต้องอยู่กันเป็นฝูง
#ทำไมต้นหญ้าจึงต้องอยู่รวมกันเป็นทุ่งหญ้า
#ทำไมต้นไม้จึงต้องขึ้นอยู่ร่วมกันเป็นป่าเป็นดง
#ทำไมป่าไม้จึงต้องมีฝูงสัตว์นานาชนิดอาศัยอยู่
คำตอบก็คือ
เพื่อร่วมกันผลิตพลังงานในแบบที่โลกต้องการ
คือพลังงานร่วมด้านบวกในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
ตามสมการพลังงานร่วม ( ∑βx ) นี่แหละ
ดังนั้น
การหนีเข้าป่าเข้าถ้ำอ้างว่าไปปฏิบัติธรรมคนเดียว
โดยใช้ภาษาพูดโก้หรูว่าหลบไป “ปลีกวิเวก”
จนแม้แต่การอยู่ในสังคมแต่กลับนิยม “สันโดษ” นั้น
แท้แล้วคือการปฏิเสธธรรมชาติมิอาจเป็นสัตว์สังคมได้
อีกทั้งยังละทิ้งหน้าที่ซึ่งเป็นภารกิจของจิตวิญญาณ
ที่ขันอาสาพระเจ้าเข้ามาใช้ความรักค้ำจุนสมดุลโลก
ตามที่พระพุทธองค์ตรัสรู้และทรงกล่าวเตือนไว้ด้วย
ทำให้พวกคุณเป็นคนชอบทำมากกว่าเป็นคนชอบธรรม
จนพากันนิพพานแบบ “ตาลยอดด้วน” กันเป็นทิวแถว
นอกจากนั้น
ยังมีคนชอบ “ทำ” จำนวนมากในยุคที่ผ่านมา
ยังหลงกลศัตรูผู้ไม่หวังดีจำพวกผีโสโครก
ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของ “คนยักษ์” พันธุ์ลูกผสม
ระหว่างชาวโลกกับชาวแองเจิ้ลผู้บุกรุก
ที่เสียชีวิตไปจากปฏิบัติการชำระโลกในยุคโนอาห์
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็หาที่เกิดใหม่อีกไม่ได้
ครั้นจิตวิญญาณพวกเขาจะกลับบ้านแดนสุญตาก็ไม่ได้
เพราะไม่ได้ถือพันธะสัญญา 6 จากพระเจ้ามาเกิดด้วย
จิตวิญญาณพวกเขาจึงต้องล่องลอยอยู่ในระบบโลก
เกิดใหม่ก็ไม่ได้หลุดพ้นนิพพานก็ไม่ได้มานับหมื่นปีแล้ว
จิตวิญญาณยังดำรงอยู่ได้ก็เพราะหลอกลวงเก่งเท่านั้น
เราจึงเรียกจิตวิญญาณพวกนี้ว่า “ผีโสโครก”
เพราะชอบใช้อภิญญฤทธิ์ที่พวกตนมีอยู่ตั้งแต่แรกเกิด
เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงให้ชาวโลกหลงเชื่อตาม
โดยทำตัวเป็นนกแร้งพากันบินไปมุงในที่ๆมีสัตว์ตาย
ประหนึ่งว่าจะรุมกันกินของเน่าเหม็นนั้นเป็นอาหาร
ของเน่าเหม็นหรือสิ่งเน่าเหม็นที่เรากล่าวถึงนี้
หมายถึงสิ่งที่อุตริอวิชชาทั้งหลายนี่แหละ
ตัวอย่างเช่น
หนังเหนียว ล่องหนหายตัวได้ เสกสร้างมายาได้
ลอยตัวในน้ำได้ เดินบนน้ำได้ เหาะเหินเดินอากาศได้
ทำนายโชคชะตาได้ ใบ้หวยได้ มีหูทิพย์ตาทิพย์
หยั่งรู้จิตใจคนอื่นๆได้ รักษาโรคบางชนิดให้หายได้
ทำร้ายกายตนเองด้วยของแหลมคมได้โดยไม่เจ็บปวด
ใช้มนต์ดำทำเสน่ห์ได้ ทำร้ายผู้อื่นด้วยไสยเวทย์ได้
ฯลฯ
ถ้ามีอุตริเหล่านี้ปรากฏขึ้นที่ไหน
จะมีผู้คนทำตนเป็นนกแร้งพากันไปรุมทึ้งเสมอ
ไม่ว่าสัตว์เน่าตายตัวนั้นมันจะอยู่ที่ไหนก็ไปถึง
โดยจะบินไปตามกลิ่นเน่าเหม็นนั้นได้ไม่ต้องพานำ
ต่างจากพระโอวาทที่เป็นอนุตรธรรมแห่งพระเจ้า
ที่ทรงเมตตาสื่อถ่ายทอดผ่านเรามากว่าสามสิบปีแล้ว
ที่ไม่ใช่ของเน่าเหม็นและสกปรกโสโครกแต่อย่างใด
ซึ่งแมลงผีเสื้อภู่ผึ้งที่ชอบของหอมหวานทั้งหลายนั้น
จมูกไวได้กลิ่นไกลกว่าไม่ต้องใช้ตามองอย่างนกแร้ง
แต่กลับมีผู้ได้กลิ่นดอกไม้หอมหวานดอกนี้น้อยมาก
ทั้งๆที่ความหอมหวานนี้เป็นอาหารทิพย์จากพระเจ้า
ผู้ใดได้ลิ้มชิมดื่มแล้วจะมีชีวิตเป็นอมตะโดยไม่ตาย
กลับพบว่าผู้โชคดีมีบุญนั้นมีจำนวนน้อยมาก
พวกเขาไม่รู้ว่า
ที่ถูกหลอกลวงให้ทำตนเป็นดั่งนกแร้งไปรุมทึ้งนั้น
ก็คือการหลอกลวงล้วงเอาพลังจิตใต้สำนึกมนุษย์
นำไปเติมเต็มให้จิตวิญญาณของตนเองที่เสื่อมพลัง
เพราะตนเองไม่มีกายหยาบไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรม
จึงไม่สามารถ “ชาร์ต” พลังที่ลดลงเพิ่มให้ตนเองได้
รายการหลอกให้เชื่อมจิตจูนจิตปลีกวิเวกนั่งสมาธิ
หลอกให้หลงงมงายกับฤทธิ์เดชของผู้วิเศษ
หลอกให้ตายแล้วอยากไปขึ้นสวรรค์มายาแทน
หลอกแล้วได้ผลรายการแบบนี้จึงมีตามมาเป็นขบวน
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
08/09/2566