18 กันยายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 18/09/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงเพื่อยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ภัยธรรมชาติ” กับ “ภัยพิบัติ” นั้นไม่เหมือนกัน
ที่ไม่เหมือนกันหรือต่างกันก็ตรงสาเหตุแห่งการเกิด
แต่
 “มูลเหตุ” ของภัยสองแบบก็เกิดจากมนุษย์ทั้งสิ้น
โดย
 “ผลของการเกิด” ก็คือ “หายนะ” ด้วยกันทั้งคู่
 
คำว่า #หายนะ หมายถึงเกิดกับใครสิ่งใดหรือที่ไหน
คนนั้นสิ่งนั้นหรือที่นั่นจะเกิดการสูญเสียขั้นร้ายแรง
ถ้าไม่เสียทรัพย์สินก็ต้องสูญเสียสิ่งนั้นหรือที่นั่นไป
คำว่า
 “สูญเสียสิ่งนั้น” เช่น บ้านพังตึกถล่มภูเขาหาย
เกาะหาย แผ่นดินหาย คนหายหรือล้มตาย เป็นต้น
 
ถ้าภัยทั้งสองแบบที่ว่านี้มีความรุนแรง
เช่น พายุหมุนรุนแรง น้ำท่วมหนัก เขื่อนแตกพังทลาย
แผ่นดินไหวรุนแรง คลื่นยักษ์สึนามิ สตอร์มเสิร์จ
ฝนตกกระหน่ำทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน
เกิดหลุมยุบขนาดยักษ์ แผ่นดินแยกตัวออกจากกัน
เกาะแก่งในทะเลจมหายหรือภูเขาไฟระเบิดกะทันหัน
การสูญเสียนั้นจะเกิดขึ้นได้มากมายหรือเสียหายหนัก
ถ้าภัยที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงน้อยๆคือไม่มากนัก
ผลแห่งภัยนั้นจะลดความรุนแรงแบ่งความเสียหายลง
 
เพราะเหตุว่าพวกคุณชาวโลกทั้งหลาย
อายตนะภายนอกมิอาจรู้เห็นสิ่งเกิดขึ้นหลังมิติโลกได้
จึงเข้าใจว่าภัยธรรมชาติกับภัยพิบัตินั้นเหมือนกัน
โดยตาเห็นว่าภัยอันตรายทั้งหลายเกิดจากดินน้ำลมไฟ
จึงเหมารวมว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันคือ
 #ภัยธรรมชาติ
เรียกภัยที่เกิดแบบกระทันหันไม่ทันตั้งตัวว่า #อุบัติภัย
 
ในบทที่ผ่านมา
พระองค์ทรงให้นิยาม
 “ภัยธรรมชาติ” ในทำนองว่า
เป็นภัยร้ายที่เกิดขึ้นในระบบโลกจากมูลเหตุคือมนุษย์
เป็นผู้บ่อนทำลายความสมดุลของสิ่งแวดล้อมของโลก
ซึ่งเป็นการทำลายระบบของตนเองให้เสียสมดุลไป
ด้วยความมักง่าย ด้วยความไม่รู้และด้วยกิเลสตัณหา
โดยการเสียสมดุลนั้นมันจะเกิดแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป
หรือจะมีสัญญาณ
 “เตือนภัย” ล่วงหน้าก่อนเสมอ
 
สัญญาณเตือนภัย” ที่ว่านี้
จิ้งจกนกกาหรือสิ่งแวดล้อมของคุณจะช่วยเตือนให้
ซึ่งคุณจักต้องใช้
 #สัญชาตญาณในตนเอง รับรู้มัน
 
โดยสัญญาณเตือนภัยร้ายล่วงหน้าคือ “ลางสังหรณ์”
ส่วนสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าจะเกิดสิ่งดีขึ้นคือ “นิมิต”
ในการอ่านลางสังหรณ์และนิมิตนั้นต้องใช้สมองสองซีก
คือคิดด้วยสติปัญญากับใช้จินตนาการของปัญญาญาณ
อันเป็นการทำงานร่วมกันของสมองทั้งสองซีกซ้ายขวา
โดยหลักการใช้สัญชาตญาณคือการเป็นคนช่างสังเกต
ซึ่งคุณต้องฝึกตาเนื้อทั้งสองข้างให้ไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ
ต้องฝึกหูทั้งสองข้างให้ไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธเช่นเดียวกัน
ถ้าตากับหูไม่ไวต่อสิ่งพิรุธคุณจะเป็นคนช่างสังเกตมิได้
 
ในกาลอดีตที่ผ่านมา
โลกนี้มีแต่ภัยธรรมชาติจากการเสียสมดุลของระบบโลก
ด้วยน้ำมือของมนุษย์โลกเองทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยยิ่งนานวันผ่านมาความถี่และความรุนแรงในการเกิด
จะมีแนวโน้มว่าเกิดถี่มากขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆด้วย
ซึ่งเป็นตัวชี้วัดในมิติทางกายภาพที่สามารถอธิบายได้ว่า
ชาวโลกทำให้โลกของตนเสียสมดุลมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
จนมาปี พ.ศ.
2566 นี้ภัยที่เกิดขึ้นทั้งเกิดถี่และรุนแรงขึ้น
จนปรากฏความเสียหายกันอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมแล้ว
 
เช่น กรณีน้ำท่วมฉับพลันและเขื่อนแตกที่ประเทศลิเบีย
กรณีที่เกิดแผ่นดินไหวขนาด
 6.8 ที่ประเทศโมร็อกโก
มีทั้งคนเจ็บคนตายและคนสูญหายนับจำนวนหมื่นๆคน
ไม่นับอาคารบ้านเรือนพังพินาศกับยานพาหนะที่เสียหาย
จนเมืองทั้งเมืองต้องกลายเป็นเมืองร้างที่ประเทศลิเบีย
ซึ่งในบทเรียนที่ผ่านมาเราบอกว่ามันเป็น
 “ภัยซ้อนภัย”
ความรุนแรงจึงมีมากกว่าปกติที่เคยเกิดภัยจนน่าตกใจ
 
คำว่า “ภัยซ้อนภัย” ในที่นี้เราหมายถึง
เป็นภัยธรรมชาติจากการเสียสมดุลเพราะมนุษย์กระทำ
ทับซ้อนกันกับ
 “ภัยพิบัติ” จากแผนปฏิบัติการชำระโลก
โดยภัยพิบัติที่เกิดนั้นเป็นฝีมือช่างเท็คนิกของพระเจ้า
เพื่อเปลี่ยนโลกและมนุษย์ให้ก้าวไปสู่ยุคพลังงานใหม่
ซึ่งอาศัยจังหวะที่โลกกำลังจะเกิดภัยธรรมชาตินั้นๆ
ผนวกเข้ากับแผนฏิบัติการชำระโลกของพระเจ้าร่วมด้วย
เพราะพวกคุณต้องแตกตื่นตกใจและเสียหายกันอยู่แล้ว
จึงยอมให้มันเกิดขึ้นพร้อมกันทีเดียวเลยนั่นเอง
 
คำว่า “ภัยพิบัติ” ในที่นี้เราหมายถึง
ความเลวร้ายในการสูญเสียและความรุนแรงในการเกิด
อันเป็น
 “ผลลัพธ์ที่ต้องการ” ก็คือความวิบัติย่อยยับ
ของอาคารบ้านเรือนสถานที่และชีวิตผู้คนบนแผ่นดินนั้น
เมื่อเกิดขึ้นแล้วผลลัพธ์ที่ต้องการก็คือ
 #การชำระขยะ
อันเป็นสิ่งโสโครกที่รกโลกออกไปจากระบบให้หมดสิ้น
เพื่อทำให้โลกนี้กลับคืนสู่ความสมดุลให้จงได้
ขณะที่แผนการชำระโลกสู่ยุคพลังงานใหม่ที่กำลังเกิดนี้
พระเจ้าจะทรงยกระดับโลกให้มีอำนาจเพิ่มขึ้นเป็น
 2 เท่า
 
โดยจากเดิมเมื่อแรกสร้างนั้น
โลกมีสมการพลังงานสามมิติเป็น
 “สาม-สาม-สาม”
แต่ในยุคพลังงานใหม่ที่กำลังจะมาถึงอยู่ในอีกไม่นานนี้
สมการพลังงานสามมิติของโลกจะเป็น
 “หก-หก-หก”
ซึ่งดาวเคราะห์โลกดวงนี้จะมีพลังอำนาจมากกว่าเดิม
เพื่อลดทอนโอกาสในการเสียสมดุลให้น้อยลงกว่ายุคเก่า
 
ในการทำให้โลกมีพลังอำนาจสูงขึ้นเป็นสองเท่านั้น
จะทรงปฏิบัติการชำระโลกเพื่อเปลี่ยนโลกดังนี้ คือ
 
1.
จำนวนประชากรโลกจะต้องลดลงไปจากเดิม
โดยจะทรงเลือกไว้จำเพาะผู้ที่
 #ไม่เป็นคนหนักแผ่นดิน
ซึ่งคนที่ไม่หนักแผ่นดินคือมนุษย์ที่ทรงคัดไว้ให้รอดตาย
เพราะคนสองมิติให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อเป็นมนุษย์ได้
โดยไม่ทำตนเป็นดั่งเห็บเหาที่เกาะอยู่บนตัวหมา
ที่คอยสูบกินแต่เลือดหมาหรือหาประโยชน์เอาจากโลก
แต่มิได้ทำประโยชน์ใดให้กับหมาหรือโลกของตนเลย
 
ทั้งๆที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชาให้เรากลับมาเกิดใหม่
เพื่อนำเอาคำกล่าวและข่าวสารจากพระเจ้าเข้ามาให้
เพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรที่เป็นอนุตรธรรมความจริง
ซึ่งมนุษย์เองไม่รู้ว่าไม่รู้แต่จำเป็นจะต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้
เป็นความรู้ใหม่ที่มนุษย์รู้เองไม่ได้ศาสดาก็ไม่เคยบอก
แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่ประดาคนมีหูกลับไม่รับฟังเรา
คนที่ได้ยินได้ฟังพระโอวาทจากพระเจ้าที่สื่อผ่านเรามา
ทั้งๆที่มีสมองมีปัญญาแต่กลับคิดรู้ไม่ได้ใช้มันไม่เป็น
เพราะในหัวตะเกียงของตนไม่มีน้ำมันใส่เอาไว้
ตะเกียงแห่งปัญญาจึงจุดไม่ติดจนเกิดปัญญาไม่ได้
ดั่งคำโบราณที่กล่าวว่าเกิดเป็นคนที่
 #ไม่มีน้ำยา
หรือภาษาจีนเรียกว่าคน “บ่อมีไก๊” คือคนที่ไม่เอาไหน
 
ดังนั้น
คนที่พระองค์จะทรงพิพากษาให้คัดไว้
จึงต้องเป็นผู้ที่จำพระองค์ได้
จึงต้องไม่ทำตนเป็นบุตรกำพร้าพ่อแม่ทางจิตวิญญาณ
ด้วยการปฏิเสธพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
 
จึงต้องทำตามพันธะสัญญา 6 อย่างมีสัจจะ
โดยเฉพาะข้อแรกกับข้อหกข้อสุดท้าย
ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของคุณให้สัจจะต่อพระเจ้าว่า
ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วจะทำหน้าที่สำคัญข้อแรกก็คือ
#จะเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกเสรีนี้ตลอดไป
โดยจะไม่ทิ้งโลกนี้ไปเพื่ออพยพไปอยู่ดาวดวงอื่น
 
จะไม่ตายไปจากการเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นคนสองมิติ
เพื่อหมุนธรรมจักรร่วมกันผลิตพลังงานสะอาด
ด้วยเมตตาธรรมเพื่อช่วยค้ำจุนสมดุลโลกของตนไว้
เพราะถ้าตายแล้วเหลือแต่จิตวิญญาณมิติเดียว
พวกคุณจะผลิตพลังงานช่วยให้โลกหมุนไม่ได้เลย
 
การเป็นจิตวิญญาณเพียงมิติเดียวที่ไม่มีกายหยาบ
ก็คือการหลุดลอยขึ้นไปเกิดในแดนสวรรค์มายา
เป็นทวยเทพเทวดาอยู่บนสวรรค์วิมานนั่น
มันคือการทิ้งภารกิจของจิตวิญญาณที่ขันอาสามาทำ
ซึ่งต้องอยู่ประจำทำงานอยู่กับโลกโดยไม่ต้องตาย
จึงจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ละทิ้งงานละทิ้งหน้าที่ได้
 
การนั่งๆนอนๆหาความสุขส่วนตัวอยู่บนสวรรค์วิมานนั้น
มันคือการหลงมายาที่ถูกหลอกให้ตนสร้างกันขึ้นมาเอง
โดยใช้ความเชื่อเพราะโง่ง่ายกับความอยากจากกิเลส
เป็นเครื่องมือเนรมิตสวรรค์มายาที่ไม่มีจริงขึ้นมาให้
ตามแบบที่เห็นจากผนังโบสถ์ผนังถ้ำกำแพงวัด
ที่คนชอบธรรมทั้งหลายมักแวะเวียนกันไปเห็นเป็นประจำ
จนเกิดค่านิยมขึ้นมาเหมือนๆกันว่า
 
#
ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างสวรรค์เบื้องบน
เพราะทุกคนเห็นภาพซ้ำกันทั้งอยากทั้งเชื่อเหมือนกัน
จึงเกิดอุปาทานหมู่เป็นสวรรค์มายาเดียวกันขึ้นมาได้
ทั้งๆที่พระเจ้ามิได้ทรงสร้างสวรรค์มายาขึ้นมาเลย
จิตมนุษย์ล้วนสร้างมันขึ้นมาเองทั้งสิ้น
 
เมื่อจิตวิญญาณถูกหลอกให้หลงทาง
เพื่อไปเสพสุขด้วยกิเลสที่ติดจากจิตหยาบอยู่ที่บนนั้น
มันคือการละทิ้งหน้าที่ใช้เมตตาธรรมคอยค้ำจุนโลกไป
ซึ่งพวกคุณจำไม่ได้ว่าขออนุญาตพระเจ้ามาเกิดเป็นคน
เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์ด้วยการหมุนธรรมจักร
แล้วผลิตสร้าง
 “พลังงานสะอาด” จากการทำบุญเพื่อให้
ให้โดยไม่มีเงื่อนไขโดยไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนอะไร
ในขณะที่จิตหยาบของคุณจะยกระดับรูปทรงเรขาคณิต
จากที่มี
 4 มิติเมื่อคลอดออกมาแล้วให้สูงขึ้นถึง 6 มิติ
เสมอกันเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณให้ได้
 
ถ้ายกระดับจนเสมอได้แม้ชั่วคราวครั้ง
คุณจะถูกเรียกว่า
 “มนุษย์” ได้เต็มคำแล้ว
ถ้าคุณสามารถยกระดับได้อย่างถาวร
จิตหยาบของคุณก็จะเป็น
 “ตัวช่วย” ที่สำคัญ
ในการนำพาจิตวิญญาณของคุณดีดตัวออกไปจากโลก
โดยหนีแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของโลกสู่
 #ด่านนภาลัย ได้
 
ด่านนภาลัย” คือ ประตูคอกแกะของพระเยซู
ที่ประดาฝูงแกะคือจิตวิญญาณพวกคุณทุกคน
จะต้องเข้าออก
 “เอกภพ” เพื่อมาเกิดหรือกลับบ้านเกิด
ผ่านทางประตูคอกแกะนี้เพียงประตูเดียวเท่านั้น
โดยพระเจ้าทรงเรียกว่า
 “กลับบ้าน” หรือหลุดพ้น
ซึ่งพวกคุณจะกลับบ้านหรือนิพพานเพื่อการหลุดพ้น
ด้วยการหลุดลอยขึ้นไปทางสวรรค์มายาไม่ได้
พระเจ้าทรงเรียกว่ามันคือ
 “การปีนรั้วเข้าคอก” นั่นเอง
 
ถ้าจิตวิญญาณพวกคุณหลงทางไปเกิดเป็นเทพเทวดา
คุณก็จะใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกตามหน้าที่อีกไม่ได้
เพราะเป้าหมายหลักของเทพเทวดาส่วนใหญ่
คือการ
 “เสวยสุข” ซึ่งทำเพื่อสนองกิเลสของตนเอง
มิได้ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกด้วยพลังงานสะอาด
ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ไว้ได้เลย
 
ถ้าพวกคุณจะใช้ความรักเพื่อให้
หรือใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกเอาไว้มิให้เสียสมดุลได้
ตัวคุณต้องมีกายหยาบและจิตวิญญาณเป็นสองมิติ
สองเท้าของคุณต้องอยู่ติดกับพื้นโลก
พวกคุณทุกคนจักต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคมเท่านั้น
มีสุขร่วมสุขมีทุกข์ร่วมต้านด้วยการหมุนธรรมจักรให้ได้
เครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกคุณจึงจะทำงานได้ดียิ่ง
ในการช่วยกันยกระดับจิตหยาบของแต่ละคน
ให้มีมิติที่สูงขึ้นได้เรื่อยๆอย่างไม่มีการหยุดยั้ง
ทั้งช่วยผลิตพลังงานที่ทำให้โลกหมุนรอบตัวเองด้วย
 
พวกคุณจึงถูกหลอกให้ตายแล้วเกิดใหม่
ถูกหลอกให้เวียนว่ายตายเกิดโดยมีสังสารวัฏไม่สิ้นสุด
ก็เพื่อให้คุณละทิ้งโลกไปชั่วคราวจนขาดความต่อเนื่อง
พลังอำนาจของโลกเสรีนี้จึงลดน้อยลงเรื่อยๆ
พวกคุณที่เป็นมนุษย์จึงอยู่ยากกันมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติจากการเสียสมดุล
ทั้งต้องเผชิญกับภัยพิบัติในแผนปฏิบัติการชำระโลก
แบบภัยซ้อนภัยที่กำลังเกิดขึ้นอย่างหนักขึ้นอีกต่างหาก
ขณะศัตรูตัวร้ายกลับอยู่อย่างสบายกันมากขึ้น
เพราะมีคนถูกหลอกให้เป็น
 “กรรมกรแสง” กันมากขึ้น
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย
 #ปัญญาวิสุทธิ์
18/09/2566