#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พลังงานแห่งรักอันเกิดจากพลังร่วมของจิตมนุษย์
บนทุกพื้นที่ 33.33 ตร.กิโลเมตรบนโลกเสรีนี้
ที่ร่วมใจกันสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกด้วยรัก
ในรูปแบบของ #รักเพื่อให้ ด้วยการทำดีทำบุญ
โดยไม่มีการอธิษฐานร้องขอสิ่งตอบแทนใดๆ
โดยไม่มีการขอให้ตนเองหรือขอให้ผู้หนึ่งผู้ใด
ตั้งแต่สามคนขึ้นไปเพื่อ “หมุนธรรมจักร” ร่วมกันนั้น
มันจะเป็นพายุแม่เหล็กที่หมุนวนรูปกรวยคว่ำ
ซึ่งจะปรากฏเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือบ้านหลังนั้น
หรือเหนือชุมชนแห่งนั้นที่ตามนุษย์มองไม่เห็น
โดยพลังงานร่วมแห่งรักของพวกคุณดังกล่าวนี้
จะเป็นไปตามสมการพลังงานทางช้างเผือก ∑βx ได้
ตัวเอ็กซ์ต้องแทนค่าตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปเท่านั้น
พลังงานร่วมหรือพลังงานรวมที่เกิดขึ้น
จากการที่คนตั้งแต่สามคนขึ้นไป “รักและเมตตากัน”
จะมีค่าเท่ากับสามเท่าของจำนวนคนที่รักกันยกกำลัง 2
คูณด้วยค่าคงที่จากการที่กาแล็กซีทางช้างเผือก
ซึ่งเป็นเสมือนเส้นผ่านศูนย์กลางของ #เอกภพ นี้
ออกแรงกระทำต่อวัตถุที่มีขนาดมวล 1 หน่วยน้ำหนัก
โดยจะมีค่าคงที่เท่ากับ 20 เสมอ
นี่เป็นความสัมพันธ์ของสมการศักดิ์สิทธิ์
ที่เรียกว่า “สมการพลังงานทางช้างเผือก”
อันเกิดจากมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกรูปธรรมบนโลก
ร่วมกันผลิตขึ้นด้วยอำนาจแห่งรักที่ทุกรูปธรรมมีอยู่
โดยมี “ขันธ์ห้า” เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการผลิต
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติในทุกๆวินาที
ดังนั้น
มนุษย์ที่เป็นคนสองมิติผู้มีจิตหยาบจึงต้องมีสังคม
สัตว์ในธรรมชาติทุกชนิดจึงต้องอยู่ร่วมกันเป็นฝูง
ต้นไม้ทุกต้นจึงทรงต้องปลูกรวมกันเป็นป่าใหญ่ป่ารก
สัตว์ประจำโลกทุกชนิดจึงต้องเป็นสัตว์ป่าอยู่กับป่า
ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ตัว X ในสมการพลังงานร่วมด้านบวก
มีค่าตั้งแต่ 3 ขึ้นไปให้จงได้ คือมี พ่อแม่ลูก เป็นต้น
นอกจากจะเป็นปฏิบัติการหมุนธรรมจักรในตนเอง
เพื่อใช้ความรักทำให้แกนโลกบิดตัวช่วยให้โลกหมุน
พลังงานร่วมที่ได้ในทุกวินาทีที่มีหน่วยเป็นเม็กกะเฮิร์ท
ยังมีผลต่อการยกระดับจิตหยาบแต่ละคนให้สูงขึ้นด้วย
โดยจิตหยาบของแต่ละคนที่อยู่บนพื้นที่เดียวกันนั้น
จะมีแรงสั่นสะเทือนสูงขึ้นจากระดับปัจจุบันขณะเสมอ
ใครสั่นสะเทือนเป็นความถี่สูงระดับใดก็จะสูงยิ่งขึ้นอีก
นี่จึงเป็นปฏิบัติการทางจิตวิญญาณของมนุษย์โลก
ซึ่งพระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้ทุกคนง่ายมากขึ้น
ในการยกระดับแรงสั่นสะเทือนจิตหยาบของแต่ละคน
ให้สูงขึ้นจากระดับ 4D จนถึง 6D ด้วยวิธีธรรมชาติได้
โดยไม่ต้องใช้ความรู้พิเศษพลังพิเศษแบบอุตริพิสดาร
เนื่องจากจิตหยาบของพวกคุณแต่ละคนนั้น
มีหน้าที่จะต้องพาจิตวิญญาณตนเองหลุดพ้นกลับบ้าน
ด้วยการเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุด คือ 6D ให้ได้ก่อน
โดยต้องทำให้จิตวิญญาณของคุณที่เหมือนนกปีกเดียว
มีปีกอีกข้างหนึ่งงอกเพิ่มออกมารวมกันเป็นสองปีก
เพื่อให้จิตวิญญาณคุณโบยบินกลับบ้านที่อยู่นอกเอกภพ
บินออกจากห้องเรียนโลกที่อยู่ในห้องทดลองของพระเจ้า
ในสภาวะการ “หลุดพ้น” จากแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งไปได้
โดยปีกที่สองนี้จะต้องค่อยๆงอกออกมาตั้งแต่ปฏิสนธิ
จากจุดเล็กๆคือ “หยดเลือด” เพียงหยดเดียวที่ในครรภ์
พวกคุณจะเห็นได้ว่า
พระเจ้าทรงกำหนดสร้างด้วยการออกแบบไว้ให้
พวกคุณแต่ละคนเรียนรู้ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกัน
เริ่มตั้งแต่แรกเข้ามาปฏิสนธิในครรภ์มารดาแล้ว
โดยพ่อแม่ลูกต่างจะต้องรักกันเพื่อเหนี่ยวรั้งกันไว้
หยดเลือดหยดเดียวจึงจะเติบโตพัฒนาเป็นตัวอ่อนได้
เมื่อคลอดตกฟากออกมาเป็นทารกลืมตาดูโลกแล้ว
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณของทารกน้อยคนนั้น
ก็จักต้องเรียนรู้ที่จะแสดงความน่ารักของตนออกมา
เพื่อให้คนรอบข้างมอบความรักและเมตตามาให้ตน
โดยใครจะรักทารกที่ตนอุ้มหรือกอดอยู่มากหรือน้อย
พระเจ้าก็จะทรงออกแบบให้ทารก #ฉี่หรือขี้ ใส่คนอุ้ม
เพื่อใช้ความรู้สึกรังเกียจหรือไม่รังเกียจเป็นตัวชี้วัดว่า
จะให้อภัยจะถือโทษโกรธเคืองทารกคนนั้นหรือเปล่า
ถ้ารักและเมตตาทารกน้อยคนนั้นได้จริง
คนที่อุ้มเด็กอยู่ก็จะไม่เกิดการเสียสมดุลทางจิต
จนเกิดอาการขยะแขยง “ฉี่หรือขี้” เด็กที่รดราดตนอยู่นั้น
ซึ่งคนโบราณมักจะบอกตัวเองว่าตนถูก #ทารกฝากรัก
โดยที่เด็กทารกใช้ฉี่หรือขี้ของตนกับความน่ารักน่าเอ็นดู
เป็นเงื่อนไขด้านบวกสำหรับคนใกล้ตัวและคนรอบข้าง
ให้สามารถสั่นสะเทือนจิตหยาบหมุนธรรมจักรร่วมกันได้
ตามสมการ ∑βx ซึ่งเป็นสมการทางพลังงานทางช้างเผือก
จากความไร้เดียงสาของตนเองแท้ๆ
เมื่อความจริงมันเป็นเช่นที่เรากล่าวมานั้น
พวกคุณจึงจะเห็นได้อย่างกระจ่างชัดเจนในกมลว่า
มนุษย์กับทุกสรรพสิ่งล้วนเชื่อมจิตกันตามวิถีธรรมชาติ
อันเป็นการเชื่อมจิตที่เป็นกระบวนการอัตโนมัติอยู่แล้ว
โดยใช้ความรักเป็นเครื่องมือมิใช่การ “กำหนดเชื่อม”
ตามวิชามารซึ่งเป็นแผนการล่อลวงของพวก #ผีโสโครก
เพราะทุกสิ่งอย่างต่างเชื่อมโยงกันเป็นอัตโนมัติอยู่แล้ว
เราจะกล่าวความจริงให้คุณรู้ว่า
พายุแม่เหล็กจากธรรมจักรที่มนุษย์โลกร่วมสร้างขึ้นนั้น
นอกจากจะเอื้อประโยชน์หลายอย่างตามที่เรากล่าวแล้ว
มันยังจะช่วย “ปัดกวาด” แผ่นฟ้าที่เต็มไปด้วยขยะ
ซึ่งเป็นขยะอันเกิดจากพลังงานสกปรกพลังงานไม่สะอาด
ที่จิตหยาบมนุษย์สร้างขึ้นจากกิเลสมารในชีวิตประจำวัน
ด้วยการร่วมกันหมุน #กรรมจักร อย่างไม่ลืมหูลืมตา
จนเกิดเป็นมวลพลังงานกรรมลอยค้างอยู่ในบรรยากาศ
จนฟ้ามืดสวรรค์มัวแทนฟ้าสีทองผ่องอำไพได้อีกด้วย
แต่เนื่องจากพวกจิตวิญญาณของผีโสโครกศัตรูมนุษย์
แลเห็นว่ามนุษย์สามารถใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมที่มีอยู่
ร่วมกันผลิตสร้างพลังงานด้านบวกออกมาให้โลกได้
จึงเห็นประโยชน์จากสิ่งที่มนุษย์ร่วมกันทำได้แต่ไม่รู้นี้
โดยฉกฉวยโอกาสให้ “คนชอบทำ” นั่งกรรมฐานสมาธิ
ทั้งทำแบบปลีกวิเวกโดยโดดเดี่ยวและทำแบบหมู่คณะ
สร้าง “พลังงานแสง” คือคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
แล้วพวกตนจะคอย “ดักดูด” เอาพลังงานแสงนั้นไปใช้
ถ้าทำอย่างไม่เปิดเผยตัวตนให้รู้ตัวก็เรียกว่า “ลักดูด”
แต่ถ้าทำแบบเปิดเผยตัวตนให้รู้ตัวก็เรียกว่า “เชื่อมจิต”
ทั้งวิธีการลักดูดหรือวิธีการเชื่อมจิตนี้
เป็นปฏิบัติการทางจิตที่เป็นจริงได้สำหรับใครที่ไม่รู้
เพราะคนนำทางตาบอดมักจะบอกว่ากรรมฐานสมาธิ
เป็นวิธีการปฏิบัติธรรมจนชาวบ้านล้วนหลงผิดคิดว่า
พระศาสดาทรงสอนให้ศาสนิกชนคนประพฤติธรรม
ล้วนต้องทำกันแบบที่ว่านี้ถ้าไม่ทำก็จะมิใช่ปฏิบัติธรรม
จึงพากันนิยมปฏิบัติตามกันมาอย่างว่าง่ายโดยไม่ฉุกคิด
วิธีการ “ดักดูด” เป็นวิธีที่จิตวิญญาณผีโสโครก
จะใช้อภิญญฤทธิ์ของจิตวิญญาณที่พวกตนมีอยู่
ดักดูดเอาจากพายุหมุนแห่งธรรมจักรในบรรยากาศโลก
ซึ่งพายุหมุนแห่งธรรมจักรที่เป็นพายุแม่เหล็กด้านดีนี้
เป็น “พลังบุญ” ที่พวกคุณซึ่งเป็นมนุษย์ร่วมสร้างกันขึ้นมา
แสดงว่าผีโสโครกพวกนี้คือพวกที่คอยแย่งชิงส่วนบุญ
เป็นการลักขโมยเอาไปโดยไม่ต้องร้องขอจากมนุษย์
ชาวพุทธทั้งหลายเรียกพวกนี้ว่า “ผีเปรต” นั่นแหละ
ส่วนพลังบุญที่ว่านี้คือสิ่งที่เรียกว่าพลังงานแสงนั่นแหละ
ส่วนวิธีการ “เชื่อมจิต” เป็นวิธีที่ผีโสโครกทั้งหลาย
ใช้มนุษย์ด้วยกันเป็นเครื่องมือหรือเป็นตัวช่วย
โดยหลอกว่าตนจะถ่ายเทพลังงานที่คุณต้องการมาให้
ด้วยวิธีการต่อท่อพลังงานของผีกับของคุณเข้าด้วยกัน
ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อด้วย #จิตสัมผัส ที่เป็นมโนกรรม
ถ้าคุณเชื่อว่าเป็นไปได้จริงการเชื่อมต่อกันก็จะลงตัวได้
แต่แทนที่คุณจะเป็นผู้ได้รับกลับต้องเป็นผู้ถ่ายให้ผีแทน
คุณนึกถึงทฤษฎีแห่งแรงความโน้มถ่วงของจักรวาล
อันเป็นกฎการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่งได้ไหมล่ะว่า
น้ำในธรรมชาติย่อมไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ
ไม่ต่างจากการที่ผู้มีมากต้องเมตตาต่อผู้มีน้อยกว่าเสมอ
คุณที่ปฏิบัติกรรมฐานในขณะที่จิตสงบระงับอยู่นั้น
จะเป็นผู้ที่มีพลังงานแม่เหล็กด้านบวกในระดับสูงกว่า
ขณะที่จิตเปิดเพราะเชื่อว่าทำเช่นนั้นแล้วจะรับพลังได้
เมื่อวาล์วเปิดออกน้ำที่อยู่ในท่อนั้นจะไหลเข้าออกก็ได้
อยู่ที่ว่าน้ำในท่อนั้นด้านไหนมันไหลมามากกว่ากัน
วิธีการเชื่อมจิตแบบเปิดเผยนี้ผีโสโครกชอบมาก
เพราะไม่ต้องลักดูดคราวละน้อยๆกะปริบกะปรอย
เพราะวิธีการเชื่อมจิตต่อท่อจะได้พลังงานไปทีละล้นอิ่ม
แถมไม่ต้องคอยทำตัวเป็นอีแอบหรือเป็นโจรด้วย
เพียงแค่บอกให้คนชอบทำมาร่วมกันทำในสิ่งที่ตนชอบ
แล้วเลือกตัวแทนของพวกตนที่มีกายสังขารเป็นมนุษย์
ให้แสดงบทบาทของผู้นำโดยทำตัวเป็นเจ้าลัทธิ
มีความสวยรวยหล่อมีความอุตริเหนือมนุษย์มาจูงใจ
พระเยซูทรงเรียกผีเปรตพวกนี้ว่า “ผีโสโครก”
เพราะพฤติกรรมพวกเขาเป็นผู้ดึงมนุษย์ลงสู่ทางต่ำ
นำพาให้โง่ง่ายงมงายกับการเวียนตายเกิดในสามโลก
ทั้งโลกหนึ่งสวรรค์มายาหนึ่งและนรกอีกหนึ่ง
คนที่ชอบปฏิบัติทำแล้วหลงก้าวตาม
จะกลายเป็นกรรรมกรแสงหรือเป็นคนงานให้กับพวกนี้
ด้วยความสมัครใจแบบคนโง่ง่ายนั่นแหละ
เรารู้ดีว่าคนโง่ง่ายนั้นมักไม่เชื่อเมื่อได้รับฟังความจริง
แต่มักจะเชื่อง่ายในสิ่งที่ตนอธิบายไม่ได้และไม่เคยรู้
ขณะที่มักจะไม่เชื่อหรือปฏิเสธทันทีในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ
ถ้ามนุษย์ยังไม่หันมาหาพระเจ้าไม่หันกลับมาทางเรา
เพื่อทำหน้าที่เป็น #เพื่อนร่วมงานกับโลก ตามที่อาสามา
โดยฝักใฝ่กับการเป็น #กรรมกรแสง กันมากขึ้นแล้ว
ทั้งจิตวิญญาณตนเองและดาวโลกจะต้องวิบัติเป็นแน่แท้
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
29/09/2566