19 กันยายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 19/09/2023


#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายไปแล้วว่า
 
ถ้าโลกจะมีพลังอำนาจสูงขึ้นกว่าเดิมได้นั้น
จำนวนประชากรโลกยุคพลังงานใหม่ที่จะมาถึง
จะต้องลดลงไปจากเดิมคือ “เจ็ดพันกว่าล้านคน”
จนเหลือ 2 ใน 3 ของจำนวนปัจจุบันเป็นอย่างน้อย
วิธีลดจำนวนประชากรก็คือการใช้ภัยพิบัติชำระล้าง
เพื่อลดน้ำหนักมวลบนโลกให้น้อยลง
 
ในปฏิบัติการชำระโลกจึงต้องมีคนตายจากภัยพิบัติ
เหตุการณ์ละนับพันนับหมื่นคนสะสมกันไปเรื่อยๆ
ซึ่งคนที่ตายไปกับภัยพิบัตินั้นๆคือคนที่ #ถูกคัดทิ้ง
คนที่ “ถูกคัดทิ้ง” คือคนที่พิพากษาตัวเองแล้วว่า
ตนจะไม่อะไรกับอะไรในข่าวสารและพระโอวาท
ที่พระเจ้าทรงสื่อผ่านเรามาเพื่อบอกกล่าวเล่าสอน
โดยเฉพาะ “อนุตรธรรม” สำคัญที่ตนเองไม่รู้ว่าไม่รู้
ดังต่อไปนี้ คือ
 
1.จิตวิญญาณตนเองเป็นใคร มาจากไหน
2.มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
3.ตนมีหน้าที่จะต้องทำอะไรบ้างและทำอย่างไร
4.ตนมีกำหนดเวลาในการทำหน้าที่นี้นานเท่าใด
5.เคยให้สัจจะต่อพระเจ้าเอาไว้ว่าอย่างไรบ้าง
6.บัดนี้โลกถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
ทุกคนจะต้องพาจิตวิญญาณกลับบ้านเกิดที่จากมา
และต้องเรียนรู้ให้ได้ว่าจะกลับบ้านเกิดได้อย่างไร
 
องค์ความรู้ทั้ง 6 ประการนี้
เป็นสัจธรรมความจริงในระดับ #อนุตรธรรม
ที่มนุษย์โลกทั้งหลายจะคิดรู้กันเอาเองก็ไม่ได้
เพราะสมองสองซีกมีข้อจำกัดในการใช้ความคิด
โดยซีกซ้ายใช้คิดรู้เฉพาะความรู้ที่เป็นโลกียะธรรม
องค์ความรู้ที่เป็นโลกียะธรรมได้จาก #การวิเคราะห์
ส่วนสมองซีกขวาจะใช้วัตถุดิบที่เป็น “โลกียะธรรม”
เอามา #ทำการสังเคราะห์ ก่อนนำไปใช้ในชีวิตจริง
ไม่ต่างจากพืชใช้รากดูดแร่ธาตุที่เป็นวัตถุดิบในดิน
สู่ใบที่มีสีเขียวเพื่อสังเคราะห์แสงหรือปรุงอาหาร
ก่อนที่จะนำไปใช้ในการเลี้ยงบำรุงต้นไม้นั้นทั้งระบบ
 
ถ้าพืชทุกชนิดต้องนำวัตถุดิบเข้าสู่ใบที่มีสีเขียว
เพื่อสร้างกระบวนการสังเคราะห์แสงในการปรุงอาหาร
มนุษย์โลกทุกคนทุกชาติศาสนาที่มีอยู่บนโลกนี้
ก็ต้องฉลาดคิดวิเคราะห์สร้างวัตถุดิบด้วยสมองซีกซ้าย
ซึ่งเป็นดุจดั่งใบของต้นไม้ที่มีสีเขียวของคลอโรฟิล
เพื่อทำการวิเคราะห์แยกแยะว่าความรู้นั้นคืออะไร
ถ้าเป็นพืชก็จะแยกธาตุได้ว่าที่รากดูดขึ้นไปทั้งหมดนั้น
มีแร่ธาตุอะไรบ้างและแร่ธาตุอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง
ซึ่งเปรียบได้กับความจริงที่เป็น “โลกียะธรรม” นั่นเอง
 
วัตถุดิบที่พืชดึงดูดขึ้นไปที่ใบนั้นยังใช้เป็นอาหารมิได้
สัจธรรมความจริงในระดับโลกียะธรรมของคุณก็เช่นกัน
มันจะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นอาหารยังชีวิตไม่ได้
ถ้ายังไม่นำมันมาสังเคราะห์แสงด้วย #ปัญญาญาณ
ซึ่งเป็นพลังอำนาจของสมองซีกขวาให้สำเร็จเสียก่อน
 
พระเจ้าทรงออกแบบให้แต่ละคนเหมือนต้นไม้หนึ่งต้น
ลำตัวคุณที่ตั้งตรงก็คือ “ลำต้น” ส่วนแขนขาก็คือกิ่งก้าน
มือสองข้างที่แบนๆซึ่งมีเส้นลายมือบนฝ่ามือก็คือใบไม้
สมองสองซีกเปรียบได้กับยอดไม้ของต้นไม้ต้นนั้น
ปลายเท้าสองข้างที่หยัดยืนเปรียบได้ดั่งรากของต้นไม้
ถ้านำทุกส่วนมาประกอบกันแต่ละคนก็คือต้นไม้ต้นหนึ่ง
ต้นคนกับต้นไม้จึงไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างใดเลย
 
เมื่อคุณวิเคราะห์องค์ความรู้จนได้โลกียะธรรมมาแล้ว
คุณจึงต้องนำเอาโลกียะธรรมที่เป็นวัตถุดิบนั้น
ส่งต่อให้สมองซีกขวาทำการ #สังเคราะห์แสง
เพื่อเรียนรู้ว่าจะนำความรู้นั้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
การคิดว่าจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรนี่แหละ
คุณต้องใช้พลังปัญญาญาณของสมองซีกขวาเท่านั้น
โดยปัญญาญาณจะอยู่ในรูปของ “คลื่นแสง” ชนิดหนึ่ง
เพราะเป็นพลังอำนาจทางปัญญาของจิตวิญญาณ
ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดติดตั้งไว้ให้พวกคุณใช้งาน
แต่ต้องรู้วิธี “กดปุ่ม” ใช้มันจะใช้แบบอัตโนมัติไม่ได้
 
พลังปัญญาของจิตวิญญาณในรูปของคลื่นแสง
ที่คุณใช้งานจากการกดปุ่มใช้สมองซีกขวาที่ว่านี้
จึงไม่ต่างจากแสงแดดที่พืชต้องใช้สังเคราะห์วัตถุดิบ
ในกระบวนการปรุงอาหารเลี้ยงตัวเองนั่นแหละ
 
สำหรับมนุษย์แล้ว
อาหารชีวิตและจิตวิญญาณที่คุณปรุงได้
ด้วยพลังแสงแห่งปัญญาของสมองซีกขวานี้
พระเจ้าทรงเรียกผลผลิตนี้ว่า “โลกุตรธรรม”
คำว่า “โลกุตรธรรม” นี้จึงหมายถึง
สัจธรรมความจริงที่อยู่เหนือ “โลกียะธรรม”
เป็นความจริงที่อยู่เหนือความจริงในมิติโลกขึ้นไปอีก
โดยคุณต้องแปลความหมายโลกียะธรรมให้ได้ก่อน
เมื่อแปลความได้แล้วจึงจะนำไปใช้จริงในชีวิตต่อไป
เพราะความจริงระดับโลกุตรธรรมทั้งหลายนั้น
จะทำความเข้าใจตามที่สองตาเห็นหรือหูได้ยินไม่ได้
จะต้องมองเห็นด้วยตาที่สามคือตาแห่งปัญญาเท่านั้น
 
ดังนั้น
โลกุตรธรรมจึงเป็นความจริงที่เข้าถึงยากมาก
ถ้าคุณเข้าถึงอำนาจทางจิตตปัญญาของตนไม่ได้
เพราะเกียจคร้านในการคิดชอบวานให้คนอื่นคิดแทน
หรือเป็นคนอยากจะคิดแต่คิดไม่เป็นจึงต้องเติบตาย
เพราะขาดอาหารหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ
คุณเคยเห็นไหมว่ามีต้นไม้น้อยใหญ่สีเขียวๆต้นใดบ้าง
ที่สังเคราะห์แสงเพื่อปรุงอาหารเลี้ยงตัวเองไม่เป็น
คำตอบคือ “ไม่มีเลย” แต่ที่พวกคุณต้องเติบตาย
เพราะจิตวิญญาณคุณตายจากการขาดอาหาร
เนื่องจากใช้สมองซีกขวาสังเคราะห์สัจธรรมไม่เป็น
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
19/09/2566