19 กันยายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 19/09/2023


#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
เมื่ออ่านข่าวสารด้านภัยพิบัติจากห้องเรียนนี้แล้ว
จงอย่าอ่านเพียงแค่ผ่านๆหรืออ่านเพียงแค่รู้ข่าว
หรือเห็นแล้วเบื่อหน่ายรำคาญตากับข่าวสารพวกนี้
โดยคิดเอาเองว่า “ไร้สาระ” เพราะมิใช่พระโอวาท
ที่ตนเองต้องการจะรับใคร่จะรู้ว่ามีอะไรใหม่อีกบ้าง
ยังมีพวกท่านหลายคนประพฤติตนเช่นนี้กันอยู่
สังเกตจากจำนวนคนกดถูกใจและคอมเม้นท์ก็ได้ว่า
มองหาจำนวนนับที่น่าพอใจไม่ได้เลย
 
พระเจ้าทรงสื่อถ่ายทอดพระโอวาทผ่านเรามา
ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของ “วิกฤตโลก” ในระยะนี้
แล้วทรงให้เรานำเอาเหตุร้ายมากร้ายน้อยมาแสดง
เพื่อให้พวกคุณ “เรียนรู้” ประกอบบทเรียนที่สื่อมา
จะได้เข้าใจความจริงอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
จะเข้าใจง่ายมากขึ้นและไม่ต้อง “เดา” กันเอาเอง
 
สำหรับกรณี #ภัยธรรมชาติ ที่นำความวิบัติมาให้นั้น
ระยะฉายหนังตัวอย่างจะมีทั้งแบบภัยธรรมชาติแท้ๆ
ซึ่งเกิดจากการเสียสมดุลของระบบโลกเพราะคนทำ
จนยังผลให้ธรรมชาติที่เสียสมดุลไป “เอาคืน” บ้าง
ตามหลักการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
ผสานกับ #ภัยพิบัติ จากแผนปฏิบัติการชำระโลก
เพื่อปรับสมดุลและยกระดับพลังอำนาจใหม่ให้โลก
สู่ความสมดุลในระดับที่สูงกว่าเดิมเป็นสองเท่าให้ได้
เพื่อเปลี่ยนโลกจากยุคพลังงานเก่าสู่ยุคพลังงานใหม่
โดยชี้วัดด้วยสมการสามมิติจาก 3-3-3 เป็น 6-6-6
(มิใช่ “สามร้อยสามสิบสาม” เป็น “หกร้อยหกสิบหก”)
ตามที่ยังมีหลายคนเข้าใจผิดกันอยู่นะ
 
ในตอนที่ผ่านมานั้น
เราได้เปิดเผยไปแล้วข้อหนึ่งว่า
ถ้าโลกจะมีอำนาจสูงขึ้นกว่าเดิมได้นั้น
จำนวนประชากรโลกยุคพลังงานใหม่จะต้องลดลง
จากเดิมที่มีอยู่ร่วมเจ็ดพันกว่าล้านคน
จำนวนเหล่านี้จะถูกทำให้ลดลงด้วย 4 วิธีการ
ซึ่งทุกคนสามารถเลือกด้วยการพิพากษาตนเองว่า
ต้องการลดจำนวนโดยให้ตนเองตายไปจากโลก
ด้วยวิธีการใดกันแน่ใน 4 วิธีที่ว่านี้
 
1.ยอมถูกพิพากษาให้ตายด้วยภัยพิบัติ
ด้วยการทำตนเป็น “ขยะ” ที่รกโลกอยู่ต่อไป
ด้วยการทำตนเป็นคนชอบธรรมที่งมงายโง่ง่าย
เพราะไม่หมุนธรรมจักรใช้แต่กิเลสหมุนกรรมจักร
ทำตัวเป็นเห็บหมัดกัดกินเลือดหมาหาสุขไปวันๆ
โดยไม่คิดอ่านทำอะไรเพื่อโลกของตนบ้างเลย
 
2.จะย้ายกายสังขารออกไปจากระบบโลก
โดยโยกจิตวิญญาณตนเองขึ้นไปอยู่บนสวรรค์มายา
ที่ #ถูกหลอก ให้ใช้จิตใต้สำนึกเนรมิตมันขึ้นมาเอง
เพราะว่าความเชื่อจากโง่บวกความอยากจากกิเลส
จะเป็นพลัง #เนรมิตสวรรค์วิมาน ขึ้นมาหลอกตัวเอง
 
ซึ่งพลังอำนาจจิตที่เนรมิตมายาหลอกตัวเองได้นั้น
เกิดจาก #พลังฌาน ผ่านการปฏิบัติสมถะกรรมฐาน
ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสำนักต่างๆโดยคนนำทางตาบอด
ที่หลอกให้เชื่อว่ากรรมฐานช่วยให้คุณนิพพานได้
โดยนิยาม “นิพพาน” ว่าตายแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก
พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็น #นิพพานแบบตาลยอดด้วน
ที่ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเพราะการหลุดลอย
โดยจิตวิญญาณนั้นไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายา
จะกลับลงมาเกิดก็ไม่ได้จะลอยสูงขึ้นไปอีกก็ยากยิ่ง
 
จิตวิญญาณจึงค้างเติ่งอยู่บนนั้นไม่มีใครทุกข์ทรมาน
เพราะถูกหลอกให้เสพติดกิเลสคือความสุขสบาย
อยากจะกินก็มีกินได้เห็นเมื่อไหร่ก็อิ่มโดยไม่ต้องกิน
งานไม่ต้องทำไม่มีอะไรให้รับผิดชอบเสพสุขตลอด
โดยเฉพาะ “ติดสุข” จากการชอบนั่งกรรมฐานสมาธิ
จนจิตวิญญาณ #หลงมิติ ตามจิตหยาบไปจากโลก
เมื่อขึ้นไปหลงมายาอยู่บนนั้นจึงติดกรรมฐานดังเดิม
เพราะพวกคุณถูกทำให้เชื่อว่ากรรมฐานสมาธินั้น
เป็นวิถีชาวพุทธที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้ให้ทำ
เพื่อนำจิตวิญญาณเข้าสู่นิพพานคือตายแล้วไม่เกิดอีก
ปรินิพพานแล้วจิตวิญญาณทรงหลุดพ้นกลับบ้านได้
ซึ่งเป็นเรื่องลวงให้คุณเข้าใจผิดหลงทำหลงทางกันมา
 
เพราะสมถะกรรมฐานนั้น
เป็นวิธีการที่ทรงทรงแนะให้นักบวชปฏิบัติ
นักบวชคือผู้ที่ละทิ้งครอบครัวออกมาอยู่คนเดียว
การฝึกจิตให้มีพลังจึงต้องฝึกคนเดียวทำคนเดียว
ไม่อาจให้ลูกเมียหรือคนรอบข้างช่วยเหลือได้
จึงต้องใช้สถานการณ์จำลองกดข่มจิตตนเอาไว้เอง
ด้วยวิธีการ #เพ่งจิต เพื่อคอยจับผิดจับถูกว่า
ตอนใดขณะใดที่จิตมันวอกแวกหลุกหลิกเหมือนลิง
ก็จัดการกดข่มมันไว้ให้นิ่งสงบให้จงได้
 
เพราะจิตหยาบมนุษย์มี 189 กลุ่ม หรือ 189 ขันธ์
ถ้าทำให้มันนิ่งสงบได้มากเท่าไหร่พลังก็จะมากตาม
พลังที่มากขึ้นเกิดจากจิตหยาบร่วมกันทำงานเป็นทีม
เพื่อการคิดเห็นเป็นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งร่วมกันนั่นเอง
โดยอำนาจในการคิดเห็นเป็นทำสิ่งนั้นจะสูงขึ้นมาได้
ด้วยพลังอำนาจจิตสามนึกของจิตหยาบคือ “ฌาน”
 
อำนาจที่เกิดจากฌานนี้พระพุทธองค์นำไปใช้เพื่อคิด
โดยให้จิตทำงานร่วมกับสมองซีกซ้ายหรือซีกขวา
เพื่อให้เกิดสติปัญญาและปัญญาญาณขั้นสูงต่อไป
ซึ่งการฝึกคิดรู้ด้วยปัญญาของสมองสองซีกนี่แหละ
พระพุทธองค์ทรงฝึกฝนด้วยวิธี #วิปัสสนากรรมฐาน
 
ทั้งคนนำทางตาบอดเองก็ไม่รู้ชาวบ้านก็ไม่รู้
จึงหลงผิดคิดว่าพระองค์ดับขันธปรินิพพานได้
ด้วยวิธีการนั่งกรรมฐานสมาธิกันตลอดมา
จึงพากันเอาเยี่ยงอย่างพระองค์เป็นการใหญ่
โดยไม่รู้ว่ายิ่งจิตมีพลังฌานสูงมากเท่าไหร่
ยิ่งเชื่อว่าสวรรค์มายามีจริงยิ่งอยากขึ้นสวรรค์มากๆ
ตนเองก็จะสร้างสวรรค์มายาขึ้นมาหลอกตนเองได้
ทั้งๆที่กรรมฐานไม่ได้ช่วยให้พระองค์นิพพานเลย
ซึ่งคำสอนเรื่องนิพพานเพื่อการหลุดพ้นนั้น
พระองค์ได้ทรงเมตตาตรัสสอนเอาไว้มากมายแล้ว
แต่ถูกศัตรูมนุษย์พวกผีโสโครกบิดเบือนไปหมดสิ้น
 
ถ้าพวกคุณเชื่อ “ผีโสโครก”
ใช้ความเชื่อกับความอยากอันเป็นตัณหาจากกิเลส
ทำในแบบวิธีที่สองนี้เพื่อลี้กายออกไปจากโลก
ซึ่งจะช่วยทำให้โลกนี้เบาขึ้นได้เพราะน้ำหนักลดลง
แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องถ่องแท้อันไม่สมควรเลือกทำ
 
3.จะย้ายกายสังขารออกไปจากระบบโลก
โดยการนั่งยานบินไปลอยอยู่ในอวกาศแบบชั่วคราว
เพื่ออพยพหลบหลีกภัยพิบัติจากปฏิบัติการชำระโลก
ออกไปให้พ้นจากสถานการณ์วิกฤตในระบบโลกเสีย
หรือจะย้ายถิ่นไปอยู่บนดาวดวงอื่นอย่างถาวรถ้าทำได้
 
แต่ทั้งสองแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่คุณควรจะเลือกทำ
เพราะมันจะเป็นความจริงไม่ได้เลย
ไม่มีใครมาจากแดนไหนและไม่มียานพาหนะใด
ที่จะนำพาคุณออกไปตามที่กล่าวขานมานั้นได้
แม้อาจจะมีใครอ้างว่าช่วยคุณได้หรืออ้างว่ามี “ยาน”
ก็ทำไม่ได้เพราะจะถูก “ฟ้าผ่า” จนแหลกเป็นจุลก่อน
ผู้มี “ญาณ” ไม่ใช่มี “ยาน” เท่านั้นแหละ
จึงจะช่วยเหลือคุณให้ได้รับความรอดตามต้องการได้
 
4.ทิ้งกายสังขารไว้บนโลกย้ายแต่จิตวิญญาณออกไป
ด้วยวิธีการ “หลับเป็นตาย” เมื่อสิ้นยุคโดยสมบูรณ์
คือหลับยาวตลอด 56 วัน หรือ 8 ราตรีที่โลกมืดทุกด้าน
หลับแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกให้ขวัญระทึกโดยใช่เหตุ
ท่ามกลางความมืดที่เต็มไปด้วยมหันตภัยพิบัติร้ายแรง
เพราะคุณนิพพานกิเลสก่อนตายได้ก่อนวันนั้นจะมาถึง
เมื่อนิพพานก่อนตายได้แล้วคุณจึงตายแล้วนิพพาน
เพื่อนำพาจิตวิญญาณกลับบ้านแดนสุญตาได้เองเลย
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
19/09/2566