#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
ภายในห้องทดลองขนาดใหญ่ที่เรียกว่า #เอกภพ
จะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หลัก 2 กฎด้วยกันก็คือ
1.#กฎแห่งการมีอำนาจภายในตนเอง
2.#กฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่ง
กฎแห่งการมีอำนาจภายในตนเองก็คือ
พระเจ้าทรงกำหนดให้ทุกสิ่งมีแก่นแท้เป็นพลังงาน
โดยให้เร้นตนเองเพื่อดำรงอยู่ภายในเปลือกนอก
เพื่อให้ช่วยเกาะกุมหุ้มห่อแก่นแท้ที่เป็นพลังงานไว้
เพราะส่วนที่เป็นเปลือกนอกนั้นจะมีมวลหยาบๆ
จึงช่วยยึดรั้งรูปธรรมทางพลังงานเอาไว้ได้
ถ้าพลังงานไม่มีมวลหยาบๆในมิติทางกายภาพ
คอยเป็น “เปลือกนอก” พลังงานก็จะดำรงอยู่ไม่ได้
พลังงานที่เป็นแก่นแท้ของแต่ละสรรพสิ่งในเอกภพ
จะสามารถแสดงอำนาจของตนออกมาให้ปรากฏ
เป็นคุณสมบัติด้านรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็ง
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นความถี่ตามที่ทรงกำหนดไว้
เพื่อให้พวกคุณใช้กลไกอายตนะภายนอกสัมผัส
แล้วส่งรหัสข้อมูลเข้าไปให้จิตหยาบข้างใน “รับรู้”
เมื่อรับรู้คุณสมบัติของสิ่งนั้นแล้วจะได้ “เรียนรู้” ต่อไป
เป็นการเรียนรู้เพื่อให้คุณได้รู้ว่าสิ่งนั้น “เป็นอะไร”
เรียนรู้ว่าคุณจะตอบสนองสิ่งนั้นมันอย่างไร เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อพระองค์ทรงกำหนดสร้างคนสองมิติก็คือคุณขึ้น
จึงต้องออกแบบเครื่องยนต์แห่งกรรมให้มีอายตนะ
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นคุณสมบัติของแต่ละสรรพสิ่ง
ด้วยอายตนะทั้งห้าคือตาหูจมูกลิ้นและกายสัมผัส
จะได้ทำความรู้จักกับสรรพสิ่งนั้นว่าอะไรเป็นอะไร
เมื่อรับรู้และเรียนรู้คุณสมบัติของสรรพสิ่งนั้นๆแล้ว
คุณจะต้องรู้เอาไว้ด้วยว่าคุณสมบัติต่างๆเหล่านั้น
มันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงของสรรพสิ่งนั้นแต่อย่างใด
อย่าไปหลงงมงายยึดติดจนเกิดกิเลสเข้าเด็ดขาด
เพราะรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งเป็นแค่มายา
“มายา” ก็คือเงาของตัวตนแก่นแท้ที่เป็นพลังงาน
ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ข้างในมิใช่สิ่งที่สัมผัสได้อยู่ข้างนอก
นี่คือจุดอ่อนด้อยของมนุษย์ที่หลงมายา
เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวตนแก่นแท้จึงยึดติดมัน
จนเกิดเป็นกิเลสขึ้นคือความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบ
แล้วนำไปสู่ตัณหาตามมาคือความอยากหรือไม่อยาก
จนไปสิ้นสุดยุติที่อารมณ์หยาบๆรายวันในบั้นปลาย
ทำให้พวกคุณไม่อาจหมุนธรรมจักรด้วยขันธ์ห้า
โดยสั่นสะเทือนเป็นความรักเพื่อให้ด้วยอำนาจสูงสุด
ที่ตนเองต่างล้วนมีอยู่ตามธรรมชาติกันไม่ได้เลย
ดังนั้น
นอกจากความรักที่เป็นอำนาจสูงสุดในตนเองแล้ว
ความฉลาดทางปัญญาของสมองก็เข้าถึงไม่ได้ด้วย
เพราะถูกอิทธิพลของกิเลสและบริวารกิเลสครอบงำอยู่
ซึ่งเป็นผลร้ายจากการหลงผิดคิดว่ามายาเป็นแก่นแท้
สำหรับกฎแห่งการสมดุลกันของสรรพสิ่งนั้น
พระเจ้าทรงออกแบบให้แต่ละสรรพสิ่งในเอกภพนี้
ดำรงอยู่ร่วมกันด้วยการเป็นหนึ่งเดียว
โดยให้แต่ละสรรพสิ่งออกแรงยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้งกันไว้
ด้วยพลังอำนาจภายในตนเองที่ต่างล้วนมีพร้อมกันอยู่
สิ่งที่มีมวลมากจะออกแรงเหนี่ยวรั้งสิ่งที่มีมวลน้อยกว่า
โดยเอาอำนาจของสิ่งที่มีมวลน้อยกว่าเป็นหลักไว้
เพื่อสร้างความสมดุลพอดีกันในการยึดรั้งกันให้ลงตัว
ในลักษณะของผู้ใหญ่เมตตาเอ็นดูต่อผู้น้อยนั่นแหละ
ส่วนความสมดุลในตนเองของแต่ละสิ่งนั้น
พระเจ้าทรงให้สร้างสมดุลด้วยการหมุนรอบตัวเอง
ซึ่งคุณจะดูตัวอย่างได้จากการเหวี่ยงหมุนของลูกข่าง
ความสมดุลของลูกข่างดูได้จากการหมุนอยู่บนแกน
ในลักษณะของการตั้งดิ่งนิ่งอยู่บนแกนหมุนได้นานๆ
เมื่อแรงเหวี่ยงหมุนนั้นเริ่มลดลงลูกข่างก็จะแกว่งส่าย
ในที่สุดลูกข่างก็จะล้มลงเพราะไม่มีแรงหมุนอีกต่อไป
ระบบสุริยะจักรวาลก็เช่นกัน
ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงและดวงจันทร์ที่เป็นดาวเพื่อน
ต่างมีความสมดุลในระบบของตนเองได้อย่างยั่งยืน
ล้วนต้องมีการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
และต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่เป็นจุดศูนย์กลางด้วย
ขณะที่ต้องใช้อำนาจในตนเองดึงดูดเหนี่ยวรั้งกันไว้
พวกคุณเป็น
“คนสองมิติ”
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณต้องสั่นสะเทือนไว้ตลอด
เพื่อสร้างพลังอำนาจในตนเองให้เกิดขึ้นในทุกมิติ
โดยใช้ความรักของจิตกับความฉลาดทางปัญญา
เป็นอำนาจแห่งตนเพื่อสร้างสมดุลในตนเองให้ได้
สู่การสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับโลกและทุกสรรพสิ่ง
การเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลกและทุกสรรพสิ่ง
จะได้จากพลังงานความรักที่พวกคุณกระทำต่อกัน
ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปซึ่งอยู่ในพื้นที่ 33.33 ตร.กม.ด้วยกัน
ตามสมการพลังงานร่วมจากจิตสามนึก ∑βx นั่นแหละ
โดยโลกจะนำไปใช้แค่
1% ของทั้งหมดในทุกวินาที
เพื่อทำให้อะตอมของธาตุออกซิเจนที่เหนียวหนืด
ซึ่งพระองค์ทรงติดตั้งเอาไว้ภายในแกนโลกอยู่แล้ว
ให้มีการระเบิดแบบนิวเคลียร์ฟิสชั่น (Nuclear Fission)
จึงยังผลให้ก้อนธาตุออกซิเจนนั้น
“บิดตัว” ต่อเนื่อง
จนทำให้โลกหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
พวกคุณและทุกสิ่งจะถูกโลกนำพาให้เหวี่ยงหมุนไปด้วย
โดยที่พวกคุณไม่ต้องหมุนรอบตัวเองแต่อย่างใด
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
เอเมน
สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
02/09/2566
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ภายในห้องทดลองขนาดใหญ่ที่เรียกว่า #เอกภพ
จะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หลัก 2 กฎด้วยกันก็คือ
พระเจ้าทรงกำหนดให้ทุกสิ่งมีแก่นแท้เป็นพลังงาน
โดยให้เร้นตนเองเพื่อดำรงอยู่ภายในเปลือกนอก
เพื่อให้ช่วยเกาะกุมหุ้มห่อแก่นแท้ที่เป็นพลังงานไว้
เพราะส่วนที่เป็นเปลือกนอกนั้นจะมีมวลหยาบๆ
จึงช่วยยึดรั้งรูปธรรมทางพลังงานเอาไว้ได้
ถ้าพลังงานไม่มีมวลหยาบๆในมิติทางกายภาพ
คอยเป็น “เปลือกนอก” พลังงานก็จะดำรงอยู่ไม่ได้
จะสามารถแสดงอำนาจของตนออกมาให้ปรากฏ
เป็นคุณสมบัติด้านรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็ง
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นความถี่ตามที่ทรงกำหนดไว้
เพื่อให้พวกคุณใช้กลไกอายตนะภายนอกสัมผัส
แล้วส่งรหัสข้อมูลเข้าไปให้จิตหยาบข้างใน “รับรู้”
เมื่อรับรู้คุณสมบัติของสิ่งนั้นแล้วจะได้ “เรียนรู้” ต่อไป
เป็นการเรียนรู้เพื่อให้คุณได้รู้ว่าสิ่งนั้น “เป็นอะไร”
เรียนรู้ว่าคุณจะตอบสนองสิ่งนั้นมันอย่างไร เป็นต้น
เมื่อพระองค์ทรงกำหนดสร้างคนสองมิติก็คือคุณขึ้น
จึงต้องออกแบบเครื่องยนต์แห่งกรรมให้มีอายตนะ
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นคุณสมบัติของแต่ละสรรพสิ่ง
ด้วยอายตนะทั้งห้าคือตาหูจมูกลิ้นและกายสัมผัส
จะได้ทำความรู้จักกับสรรพสิ่งนั้นว่าอะไรเป็นอะไร
เมื่อรับรู้และเรียนรู้คุณสมบัติของสรรพสิ่งนั้นๆแล้ว
คุณจะต้องรู้เอาไว้ด้วยว่าคุณสมบัติต่างๆเหล่านั้น
มันมิใช่ตัวตนที่แท้จริงของสรรพสิ่งนั้นแต่อย่างใด
อย่าไปหลงงมงายยึดติดจนเกิดกิเลสเข้าเด็ดขาด
เพราะรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งเป็นแค่มายา
“มายา” ก็คือเงาของตัวตนแก่นแท้ที่เป็นพลังงาน
ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ข้างในมิใช่สิ่งที่สัมผัสได้อยู่ข้างนอก
เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวตนแก่นแท้จึงยึดติดมัน
จนเกิดเป็นกิเลสขึ้นคือความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบ
แล้วนำไปสู่ตัณหาตามมาคือความอยากหรือไม่อยาก
จนไปสิ้นสุดยุติที่อารมณ์หยาบๆรายวันในบั้นปลาย
ทำให้พวกคุณไม่อาจหมุนธรรมจักรด้วยขันธ์ห้า
โดยสั่นสะเทือนเป็นความรักเพื่อให้ด้วยอำนาจสูงสุด
ที่ตนเองต่างล้วนมีอยู่ตามธรรมชาติกันไม่ได้เลย
นอกจากความรักที่เป็นอำนาจสูงสุดในตนเองแล้ว
ความฉลาดทางปัญญาของสมองก็เข้าถึงไม่ได้ด้วย
เพราะถูกอิทธิพลของกิเลสและบริวารกิเลสครอบงำอยู่
ซึ่งเป็นผลร้ายจากการหลงผิดคิดว่ามายาเป็นแก่นแท้
พระเจ้าทรงออกแบบให้แต่ละสรรพสิ่งในเอกภพนี้
ดำรงอยู่ร่วมกันด้วยการเป็นหนึ่งเดียว
โดยให้แต่ละสรรพสิ่งออกแรงยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้งกันไว้
ด้วยพลังอำนาจภายในตนเองที่ต่างล้วนมีพร้อมกันอยู่
สิ่งที่มีมวลมากจะออกแรงเหนี่ยวรั้งสิ่งที่มีมวลน้อยกว่า
โดยเอาอำนาจของสิ่งที่มีมวลน้อยกว่าเป็นหลักไว้
เพื่อสร้างความสมดุลพอดีกันในการยึดรั้งกันให้ลงตัว
ในลักษณะของผู้ใหญ่เมตตาเอ็นดูต่อผู้น้อยนั่นแหละ
พระเจ้าทรงให้สร้างสมดุลด้วยการหมุนรอบตัวเอง
ซึ่งคุณจะดูตัวอย่างได้จากการเหวี่ยงหมุนของลูกข่าง
ความสมดุลของลูกข่างดูได้จากการหมุนอยู่บนแกน
ในลักษณะของการตั้งดิ่งนิ่งอยู่บนแกนหมุนได้นานๆ
เมื่อแรงเหวี่ยงหมุนนั้นเริ่มลดลงลูกข่างก็จะแกว่งส่าย
ในที่สุดลูกข่างก็จะล้มลงเพราะไม่มีแรงหมุนอีกต่อไป
ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงและดวงจันทร์ที่เป็นดาวเพื่อน
ต่างมีความสมดุลในระบบของตนเองได้อย่างยั่งยืน
ล้วนต้องมีการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
และต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่เป็นจุดศูนย์กลางด้วย
ขณะที่ต้องใช้อำนาจในตนเองดึงดูดเหนี่ยวรั้งกันไว้
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณต้องสั่นสะเทือนไว้ตลอด
เพื่อสร้างพลังอำนาจในตนเองให้เกิดขึ้นในทุกมิติ
โดยใช้ความรักของจิตกับความฉลาดทางปัญญา
เป็นอำนาจแห่งตนเพื่อสร้างสมดุลในตนเองให้ได้
สู่การสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับโลกและทุกสรรพสิ่ง
จะได้จากพลังงานความรักที่พวกคุณกระทำต่อกัน
ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปซึ่งอยู่ในพื้นที่ 33.33 ตร.กม.ด้วยกัน
ตามสมการพลังงานร่วมจากจิตสามนึก ∑βx นั่นแหละ
เพื่อทำให้อะตอมของธาตุออกซิเจนที่เหนียวหนืด
ซึ่งพระองค์ทรงติดตั้งเอาไว้ภายในแกนโลกอยู่แล้ว
ให้มีการระเบิดแบบนิวเคลียร์ฟิสชั่น (Nuclear Fission)
จนทำให้โลกหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
พวกคุณและทุกสิ่งจะถูกโลกนำพาให้เหวี่ยงหมุนไปด้วย
โดยที่พวกคุณไม่ต้องหมุนรอบตัวเองแต่อย่างใด
เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
ปัญญาวิสุทธิ์
02/09/2566