07 กันยายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 7/09/2023


#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
คลื่นการสั่นสะเทือนของจิตหยาบของมนุษย์
สามารถถูกเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกาย
สู่สนามพลังงานของจักรวาลของพระเจ้าได้
ก็ด้วยพลังงานของจิตวิญญาณคือพลังจิตใต้สำนึก
ซึ่งเปลี่ยนบทบาทหน้าที่มาจาก “เมอร์คขะบาห์”
โดยเดิมเป็นพลังงานด้านนอกสุดของจิตวิญญาณ
มีหน้าที่เป็นยานพาหนะของจิตวิญญาณขณะอิสระ
จะคอยบิดตัวเพื่อดีดเอาจิตวิญญาณไปสู่จุดหมาย
ตามที่จิตวิญญาณต้องการทั้งไกลและใกล้ได้
โดยมีสนามแม่เหล็กโลกเป็น “ถนน” นั่นเอง
 
ขณะที่จิตวิญญาณเข้ามาเกิดเป็น “คนสองมิติ”
โดยเป็นตัวตนแก่นแท้อยู่ในเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่มีจิตหยาบคอย “คนตนเอง” ให้เป็นมนุษย์แทนนั้น
วิธีการคนก็คือ #การหมุนธรรมจักร ด้วยรักเพื่อให้
โดยสั่นสะเทือนขันธ์ห้าในจิตหยาบตนเองให้จงได้
พร้อมกับชวนคนรอบข้างทุกคนมาร่วมกันคนด้วย
 
ในบทที่ผ่านมา
เราได้กล่าวถึงวิธีการคนเอาไว้ในห้องเรียนนี้แบบหนึ่ง
คือการสั่นสะเทือนทางจิตปัญญาด้วยการนึกคิดรู้สึก
ทั้งต่อหน้าและลับหลังบุคคลอื่นๆในด้านบวกไว้เสมอ
 
การสั่นสะเทือนจิตปัญญาด้านบวกต่อหน้าบุคคลอื่นนี้
จะทำให้คุณเป็นเงื่อนไขด้านบวกต่อใครๆก็ได้เสมอ
เพราะเขาจะสังเกตได้ด้วยอายตนะภายนอกของเขา
แล้วเขาก็จะสั่นสะเทือนด้านบวกตอบสนองคุณคืนมา
ทั้งในมิติทางพลังงานของจิตที่ตาคุณมองไม่เห็น
แต่จิตวิญญาณของคุณโดยพลียะเดี้ยนจะรับรู้มันได้
 
ส่วนพฤติกรรมภายนอกที่เขาจะแสดงออกกลับมา
ก็จะเป็นพฤติกรรมด้านบวกทั้งคำพูดและการกระทำ
ตัวคุณเองก็จะสังเกตได้ด้วยอายตนะภายนอกเช่นกัน
นี่จึงเป็นการเริ่มต้นหมุนธรรมจักรในตนเองของตัวคุณ
แล้วหยิบยื่นมันเพื่อเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้แก่คนอื่นๆ
ในกระบวนการหมุนธรรมจักรร่วมกันแบบ #สัตว์สังคม
แต่พวกคุณจะต้องรู้ว่าสำหรับมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้นั้น
ทุกรูปธรรมเป็นแบบ #จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว เสมอ
 
กระบวนการและปรากฏการณ์ทางจิต
ที่สั่นสะเทือนขึ้นทั้งภายในเครื่องยนต์แห่งกรรม
และที่นำแสดงออกมาสู่ภายนอกนั้นคุณจะมองไม่เห็น
คุณจะรับรู้กันไม่ได้ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
แต่ปรากฏการณ์ที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยอายตนะไม่ได้
ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีหรือไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะปรากฏการณ์ในมิติทางจิตนั้นอายตนะมีขีดจำกัด
เนื่องจากพระผู้สร้างทรงออกแบบเอาไว้เช่นนั้นเอง
 
พวกคุณจึงต้องรู้ว่า
สิ่งที่อายตนะทั้งห้าสัมผัสรู้ดูเห็นได้มันก็มีมากโขแล้ว
สิ่งที่อายตนะทั้งห้าสัมผัสรู้ดูเห็นไม่ได้จะมีมากกว่าอีก
 
ดังนั้น
จงอย่าหลงตัวเอง
เชื่อตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสของตนแบบยึดมั่นถือมั่น
จนลืมนึกถึงความจริงที่เรากล่าวไว้นี้กันด้วยนะ
ถ้าไม่อยากหน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บเพราะแตกสาหัส
ด้วยการเชื่อตามที่เห็นกับสองตาเนื้อของตัวเอง
เพราะสิ่งที่เห็นมิใช่สิ่งที่เป็นเสมอไปกับนักการเมือง
 
ด้วยการเชื่อตามที่ได้ยินกับสองหูของตัวเอง
เพราะสิ่งที่ได้ยินได้ฟังอาจเป็นเรื่องโกหกพกลมก็ได้
 
ด้วยการเชื่อตามที่ได้กลิ่นกับรูจมูกของตัวเอง
เพราะกลิ่นที่คุณรู้อยู่มันเป็นกลิ่นที่สมองคุณจำเอาไว้
มิใช่กลิ่นปัจจุบันที่คุณกำลังสูดดมมันเข้าไปแต่อย่างใด
เช่น กลินศพเหม็นเน่าที่คุณไปร่วมงานศพกลับมาบ้าน
มันจะติดจมูกก็คือบันทึกเอาไว้ในสมองของคุณอยู่
เมื่อกลับมาบ้านอากาศรายรอบตัวคุณก็จะยังเหม็นอยู่
กว่าจะหายไม่ได้กลิ่นเหม็นนั้นอีกจะต้องใช้เวลาสักพัก
เพื่อให้ข้อมูลกลิ่นที่บันทึกไว้ในสมองนั้นจืดจางไปเอง
 
ด้วยการเชื่อตามที่ได้ชิมรสชาติกับลิ้นของตัวเอง
เพราะรสชาติบนปลายลิ้นของคุณนั้นมันก็ชี้ชัดไม่ได้
เช่น ถ้าคุณเพิ่งกินหวานหรืออมน้ำตาลมาหยก ๆ
แล้วเปลี่ยนมากินของเค็มทันทีด้วยการอมเกลือเค็มๆ
ความเค็มของเกลือแทบจะทำอะไรลิ้นคุณไม่ได้เลย
หรือกรณีที่คุณอมมะนาวที่มีรสเปรี้ยวจี๊ดมาก่อนหน้า
แล้วเปลี่ยนมากินผลไม้ที่มีรสหวานต่อในทันทีทันใด
รสชาติของผลไม้หวานนั้นมันก็จะแปร่งไปจากปกติได้
หากใครไม่เชื่อก็ลองทำตามกันดูบ้างก็ได้นะ
 
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
 
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในในมิติของแก่นแท้ของคุณนั้น
มันเป็นกระบวนการทางพลังงานที่คุณพิสูจน์ได้ยาก
หากจะยึดถือเชื่อถืออายตนะภายนอกทั้งห้าเป็นสำคัญ
เพราะใช้สัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งเท่านั้น
จึงไม่สามารถสัมผัสรับรู้ปรากฏการณ์ทางพลังงานได้
สัจธรรมความจริงที่ว่านี้จึงเป็น “โลกุตตรธรรม”
ที่คุณจะเข้าถึงได้ก็ต้องใช้สมองซีกขวาทำความเข้าใจ
ด้วยการคิดเห็นให้เป็นภาพโดยสร้างมายาขึ้นมาตามนั้น
 
#การคิดเห็นให้เป็นภาพ
หมายถึง การสร้าง “จินตนาการ” ไปตามความรู้นั้น
แล้วทำความเข้าใจความจริงจากภาพในจินตนาการ
ซึ่งวิธีการคิดให้เป็นภาพแบบนี้สมองซีกขวาจะทำงาน
เพื่อช่วยคุณคิดสร้างสรรค์ด้วยจินตนาการไปตามกรอบ
ที่จิตหยาบคุณกำลังนึกคิดไปตามความรู้อยู่นั้นนั่นเอง
 
กระบวนการนึกคิดด้วยจิตของคุณก็เช่นกัน
ถ้าจิตคุณกำลังนึกคิดถึงใครใกล้หรือไกลก็ตาม
กระแสคลื่นที่เกิดจากจิตหยาบของคุณในขณะนั้น
จะถูกพลังอำนาจของจิตใต้สำนึกโดยจิตวิญญาณคุณ
ขับเคลื่อนออกไปโดยผ่านประตูที่สามหรือตาที่สาม
ซึ่งประตูเล็กๆนี้จะมีขนาดรูเท่ากับเส้นผมผ่าซีกเท่านั้น
 
คลื่นพลังงานที่ถูกขับดันออกมาภายนอก
มันคือ “คลื่นพลังงานกรรม” ที่จิตคุณผลิตสร้างขึ้น
ในขั้นตอนที่เรียกว่า #สังขารขันธ์ ที่เป็นหนึ่งในขันธ์ห้า
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนของจิตหยาบนั่นเอง
โดยสายธารพลังงานกรรมที่ถูกขับเคลื่อนออกมานี้
จะพุ่งตรงไปสู่เป้าหมายคือแก่นแท้ของผู้ที่คุณนึกถึง
นั่นคือ “จิตวิญญาณ” ของเขาคนนั้นโดยเฉพาะ
เป้าหมายนั้นจะไม่ผิดคนถ้าคุณจำหน้าตาของเขาได้
 
คลื่นพลังงานกรรมที่คุณส่งออกไป
มันจะมีคุณสมบัติกรรมที่เป็นรายละเอียดข้อมูลอยู่ด้วย
ซึ่งมีทั้งเรื่องราวอารมณ์รู้สึกกับการนึกคิดที่มีต่อเขา
โดยพลียะเดี้ยนคือแม่นมของจิตวิญญาณของเขา
จะรับรู้และรับเอาข้อมูลที่เป็นคุณสมบัติกรรมนั้นไว้
โดยที่จิตหยาบของเขาไม่รู้เพราะคุณนินทาลับหลัง
จิตหยาบของเขาจึงไม่มีเงื่อนไขให้รับรู้อะไรได้
 
เมื่อจิตวิญญาณของเขาคนนั้นโดย “พลียะเดี้ยน”
ทำการรับเอาคุณสมบัติกรรมด้านลบที่เป็นข่าวร้ายไว้
ภาษาจิตจักรวาลจะเรียกว่า “แลกเปลี่ยนคุณสมบัติ”
 
เพราะคุณเป็นผู้เริ่มต้นนินทาว่าร้ายเขาก่อน
ตัวคุณจึงต้องเป็นผู้สิ้นสุดยุติกระบวนการนี้เอง
โดยคลื่นพลังงานกรรมที่คุณเหวี่ยงไปหาเขาคนนั้น
มันจะถูกเมอร์คขะบาห์คือจิตใต้สำนึกของคุณ
เหนี่ยวรั้งให้หวนคืนย้อนกลับมาหาจิตวิญญาณคุณ
ในลักษณะของ #ผู้ใดเริ่มต้นผู้นั้นสิ้นสุด เสมอ
ดั่งสำนวนไทยที่ว่า “ไม้เท้าตาแป๊ะตีหัวตาแป๊ะ” ไงล่ะ
 
ดังนั้น
การนินทาว่าร้ายผู้อื่นแบบไหนอย่างไร
เรื่องร้ายๆเหล่านั้นมันจะย้อนคืนกลับมาหาตน
ในแบบเดียวกันไม่ว่าช้าหรือเร็วเสมอ
เพราะพระเจ้าทรงกำหนดให้ทุกสิ่งต้องมี “เงา”
ทรงกำหนดให้เสียงยังต้องมีเสียงก้องคือ “เอ็คโก้”
 
ปรากฏการณ์จริงในมิติของจิตวิญญาณที่ว่านี้
คนนำทางตาบอดไม่เคยสอนพวกคุณเพราะเขาไม่รู้
พวกคุณจึง “ทำร้ายตนเอง” ด้วยการพูดลบทำลบ
อันเป็นการกระทำผิดบาปโดยก้าวล่วงกันอยู่เนืองๆ
ด้วยความไม่รู้ความจริงว่ามันคือการทำร้ายตนเอง
อีกทั้งยังประมาทเพราะคิดว่าเขาคนนั้นไม่รู้ไม่เห็น
 
คุณลองสังเกตลูกตุ้มนาฬิกาชนิดแกว่งแขนดูสิ
ถ้านาฬิกาของคุณมันยังไม่ตายคือบอกเวลาได้อยู่
ลูกตุ้มนาฬิกานั้นมันจะแกว่งขึ้นมาทางซ้ายทีขวาที
ซึ่งจะแกว่งในลักษณะ “แกว่งขึ้นแกว่งลง” ต่อเนื่อง
โดยจะแกว่งอยู่ในลักษณะที่ว่านี้โดยตลอด
 
คลื่นพลังงานจิตของคุณก็เช่นกัน
เมื่อจิตใต้สำนึกขับเคลื่อนมันออกมาข้างนอก
โดยเดินทางไปถึงบุคคลเป้าหมายจนสุดทางแล้ว
คลื่นพลังงานกรรมดังกล่าวก็จะย้อนคืนกลับสู่เจ้าของ
ในลักษณะของการ #ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
อันเป็นที่มาของ “กฎแห่งกรรม” เพื่อสร้างสมดุลกัน
ตามที่พระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้นั่นเอง
 
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
7/09/2566