24 กันยายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 24/09/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ภัยพิบัติโลกที่จะเกิดแบบ “ภัยซ้อนภัย”
อันจะเกิดจากดินน้ำลมไฟวิกฤตขั้นวิบัตินั้น
ภัยแรกคือภัยธรรมชาติจากการเสียสมดุลของโลก
ภัยที่สองคือภัยพิบัติตามแผนชำระโลกของพระเจ้า
ซึ่งเหตุการณ์ภัยซ้อนภัยที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวนี้
พอมีลักษณะที่สังเกตได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมก็คือ
 
#เกิดครั้งใดจะมีความเสียหายและมีคนตายมาก
#
ภัยที่รุนแรงคือ “แผ่นดินหาย” ไปจากแผนที่โลก
#
ความรุนแรงของเหตุการณ์จะสูงมากจนผิดปกติ
#
จะเกิดในพิกัดที่ไม่เคยเกิดเหตุร้ายนั้นๆมาก่อน
#
จะเกิดเหตุร้ายในพิกัดที่เคยเกิดมาแล้วซ้ำได้อีก
#
จะไม่มีผู้ใดที่ทรงฤทธิ์ห้ามภัยพิบัตินั้นมิให้เกิดได้
#
จะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดภัยที่ไหนเมื่อไหร่
 
เป้าหมายหลักของปฏิบัติการชำระโลกและมนุษย์
คือการ
 “ลดจำนวนน้ำหนักมวล” ของทุกสิ่งบนโลกนี้
ให้เหลือน้อยลงไปจากเดิมเพื่อลดภาระของโลก
เป้าหมายรองลงมาก็คือช่วยให้คนที่เหลือรอดอยู่ได้
เป็นประชากรโลกที่มี
 “คุณภาพ” ทั้งฉลาดเก่งและดี
 
คนคุณภาพที่เป็น #คนฉลาด ในแบบที่โลกต้องการ
ต้องเป็นคนฉลาดทางจิตคือมีจิตสามนึกด้านบวก
ทั้งนึกออกนึกเอาและนึกเองทั้งด้านบวกและด้านลบ
ในอันที่จะนำไปสู่การแสดงออกและกระทำด้านบวก
ที่เรียกว่า
 #การหมุนธรรมจักร ร่วมกับคนรอบข้างได้
โดยมีพฤติกรรมด้านบวกที่คุณแสดงออกเป็นเงื่อนไข
เพื่อ
 “ฉุดช่วยเวไนย” คือคนอื่นๆให้หมุนธรรมจักรตาม
จะได้จูงมือกันพาดวงจิตวิญญาณหลุดพ้นกลับบ้าน
อันหมายถึงบ้านเกิดของจิตวิญญาณใน
 #แดนสุญตา
ซึ่งอยู่นอก
 “เอกภพ” ที่เป็นห้องทดลองขนาดใหญ่
ที่พระผู้เป็นเจ้าคือ
 #องค์จิตจักรวาล ทรงสร้างขึ้นไว้
เมื่อ
 8 ล้าน 1 แสนล้านปีโลกที่ผ่านมา
 
ถ้าคุณจะสามารถเข้าถึงความฉลาดทางจิตได้
คุณจะต้องนิพพานกิเลสขณะมีชีวิตเป็นมนุษย์ให้ได้
นั่นคือเมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดจงอย่าได้เกิดความรู้สึก
ไม่ว่าจะเสียความรู้สึกหรือว่าได้ความรู้สึกที่ดีๆก็ตาม
เพราะความรู้สึกชอบไม่ชอบนำไปสู่
 #ตัณหา เสมอ
โดย
 “ตัณหา” ที่ว่านี้คือความอยากกับความไม่อยาก
แถมด้วยความลังเลใจที่ว่าตนนั้นไม่รู้ว่าอยากหรือไม่
เมื่อจิตหยาบเกิดตัณหาทั้งถาวรหรือชั่วคราวขึ้นแล้ว
มันจะปรุงแต่งเป็น
 #ราคะ กับ #อารมณ์ขยะได้อีกด้วย
 
สำหรับ “ราคะ” นั้น
เป็นสิ่งที่เกิดจากการหลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
ซึ่งเป็นเหตุแห่งความใคร่ที่จะสัมผัสใคร่ที่จะรับเอามา
เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งความอยากไม่อยาก
อันเป็นตัณหาที่เกิดขึ้นอยู่ในสภาวะจิตในปัจจุบันขณะ
โดย
 #ความใคร่ นี้จะยุติได้ต่อเมื่อได้รับการตอบสนอง
เช่น อยากได้ อยากเอา อยากเด็ด อยากดม อยากชม
อยากครอบครองเป็นเจ้าของ อยากดื่ม อยากกิน ฯลฯ
ซึ่งรวมทั้งความไม่อยากในสิ่งต่างๆเหล่านี้ด้วย
 
สำหรับตัณหาที่เป็นราคะในลักษณะของความใคร่นี้
จะมีทั้งที่อยากหรือไม่อยากเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
เมื่อได้รับการตอบสนองแล้วจิตหยาบก็สงบเป็นปกติ
คำว่าจิตสงบเป็นปกติก็คือจิตจะสั่นสะเทือนด้านบวก
ที่เรียกว่าเกิดอาการ
 #นิ่งสงบ คืออิ่มเอิบเบิกบาน
บางคนอาจเรียกสภาวะจิตนี้ว่า
 #สุขสงบ ก็เรียกได้
 
แต่ถ้าความใคร่ที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการตอบสนอง
หรืออาจถูกขัดขวางขัดคอและขัดขืนอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตัวตัณหาที่เป็นความอยากไม่อยากหรือแม้ความลังเล
ก็จะยังสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ต่ำอยู่ในสภาวะจิตนั้น
หัวอกหัวใจของคุณหรือชีพจรจะทำให้เนื้อตัวสั่นระริก
ความดันโลหิตจะพุ่งสูงขึ้นจนหน้าแดงหน้าดำทันทีนั้น
จนจิตเกิดอาการที่เป็นขยะจำพวกโลภโกรธหลงได้อีก
 
พวกคุณจะเห็นได้ว่า
ทุกอย่างที่เป็นขยะในจิตมนุษย์ของคุณนั้น
ล้วนมีต้นสายมาจาก
 “กิเลส” คือ ความรู้สึกทั้งสิ้น
พวก
 “ตัณหา ราคะ ความใคร่ อารมณ์ขยะรายวัน”
เรียงตามลำดับของการเกิดภายในสภาวะจิตคุณนั้น
มันคือบริวารของกิเลสซึ่งเป็นดั่งตัวแสบนี่เอง
 
ดังนั้น
#ถ้าคุณดับการเกิดดับของกิเลสอย่างสิ้นเชิงได้
หมายถึงคุณดับความรู้สึกได้ด้วยการรับรู้ไม่รับเอา
ด้วยการครอง
 #มหาสติของจิตจักรวาล ได้ตลอดเวลา
ขณะที่ยังมีชีวิตเป็น
 “คนสองมิติ” อยู่ในระบบโลกแล้ว
นั่นคือที่มาของคำว่า
 #นิพพานก่อนตาย นั่นเอง
 
ถ้าคุณนิพพานก่อนตายคือดับการเกิดดับของกิเลสได้
จิตจะใสใจก็จะสวยตามเพราะมันสะอาดปราศจากขยะ
ทั้งตาหูจมูกปากและกายสัมผัสมือเท้าจะไม่มีมลทิน
จะทำให้คุณหมุนธรรมจักรในตนเองพิทักษ์สมดุลโลก
ทั้งยังจะชวนคนรอบข้างให้มาร่วมกันหมุนธรรมจักร
ด้วยเงื่อนไขด้านบวกที่คุณแสดงออกต่อทุกคนได้อีก
 
นี่จึงเป็นที่มาของคำตรัสพระศาสดาหรือพระพุทธองค์
ที่ว่า
 #ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร หลักการหมุนธรรมจักร
ด้วยความรักบริสุทธิ์ของมนุษย์และสัตว์สังคมทั้งหลาย
เพื่อใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมผลิต
 #พลังงานสะอาด กัน
มิใช่ผลิต
 #พลังงานกรรม ทำบุญแล้วขอสิ่งตอบแทน
จนกลายเป็น
 “พลังงานขยะ” ที่รกฟ้ารกโลกเต็มไปหมด
ซึ่งคุณจะแลเห็นเมฆหมอกสีดำบนฟ้าเป็นหลักฐานได้
เพราะพลังงานสกปรกที่คนชอบธรรมปฏิบัติทำกันอยู่นั้น
เป็นพลังงานกรรมส่วนบุคคลใครผลิตคนนั้นรับผิดชอบ
โลกจะนำเอาไปใช้เป็นพลังบิดแกนแม่เหล็กที่อยู่ภายใน
เพื่อให้เกิดการบิดตัวจนทำให้โลกหมุนรอบตัวเองไม่ได้
 
ดังนั้น
พวกคนนำทางตาบอดโดยพวกมารที่เป็นผีโสโครก
ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่ไม่ประสงค์ดีต่อมนุษย์โลกทุกคน
จึงได้บิดเบือนคำสอนขององค์พระพุทธศาสดาว่า
พระองค์ตรัสรู้ได้กระจ่างในสัจธรรมเรื่อง
 #อริยสัจสี่
ทั้งๆที่พระองค์ทรงตรัสรู้ว่าจิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อร่วมกัน
 “หมุนธรรมจักร” พิทักษ์สมดุลโลก
ด้วยคุณสมบัติของจิตที่มีเมตตากรุณามุทิตาและอุเบกขา
ซึ่งสอดคล้องตรงกันกับที่พระคริสตศาสดาทรงสอนว่า
ให้พี่ๆน้องๆชาวโลกทุกคนอดทนอดกลั้นให้อภัยต่อกัน
ขณะดำเนินชีวิตร่วมกันเป็นครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก
เพื่อทำให้สมการพลังงานร่วมด้านบวกคือ
βₓ ศักดิ์สิทธิ์
โดยเอ็กซ์สามารถแทนค่าด้วยจำนวนเท่ากับสามคนได้
พวกคุณก็
 #ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลกเสรี ได้แล้ว
 
นอกจากนั้น
พวกผีโสโครกผู้ไม่หวังดีกับมนุษย์โลก
ยังให้คนนำทางตาบอดบิดเบือนสัจธรรมของพระเยซูว่า
พระองค์มาจุติเป็นพระศาสดาเพื่อมาเป็นพระผู้ไถ่บาป
โดยจะทรงช่วยแบกบาปของชาวโลกที่ยอมรับในพระเจ้า
เอาไว้บนบ่าบนแผ่นหลังของพระองค์ดั่งแบกไม้กางแขน
เพื่อลวงให้มนุษย์ในยุคพระเยซูเข้ามาจุติเป็นพระศาสดา
พากันหลงเชื่อตามคำกล่าวที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นตลอดมา
จนชาวโลกไม่ใส่ใจในการชำระจิตให้สะอาดปราศจากขยะ
ซึ่งเป็นเหตุให้มนุษย์ยกระดับจิตปัญญาของตนไม่ได้
เพราะถูกอำนาจของกิเลสมารและบริวารกิเลสครอบงำไว้
 
ชาวคริสตชนที่หลงเชื่อตามๆกันมาในเรื่องนี้
โดยมิได้ฉุกคิดเรื่อง
 #กฎแห่งการกระทำ ที่ว่าด้วย
กรรมดีกรรมชั่วใครทำใครได้” หรือกรรมใครก็กรรมมัน
จะให้ใครทำกรรมอะไรเพื่อทำแทนใครนั้นไม่ได้
จะให้ใครรับกรรมที่ตนมิได้กระทำแทนใครก็ยิ่งไม่ได้
 
ความเหล่านี้หมายถึง
ใครปลูกผลไม้อะไรก็จะได้ผลตามชนิดพันธุ์ที่ปลูกนั้น
ถ้าใครปลูกต้นมะพร้าวก็จะออกผลเป็น
 “ลูกมะพร้าว”
ปลูกมะพร้าวจะให้ออกผลเป็น “มะม่วง” แทนไม่ได้
หรือจะปลูกมะม่วงให้ออกผลเป็นมะพร้าวก็ไม่ได้เช่นกัน
ตัวอย่างทั้งสองกรณีนี้เป็นเรื่องของ
 “กฎแห่งการกระทำ”
ที่พวกคุณจะไม่นำมาฉุกคิดกันไม่ได้อีกแล้ว
เพื่อพวกคุณจะได้เกิดความสว่างจนมองเห็นความจริงว่า
พระศาสดาไม่อาจจะแบกรับกรรมแทนคนทั้งโลกได้
แต่ทรงแบกภาระในการฉุดช่วยจิตวิญญาณคนทั้งโลก
ให้กลับคืนสู่พระนิเวศน์ของพระเจ้าที่พวกคุณจากมาได้
ด้วยการนำเอาแสงสว่างมาส่องทางกลับบ้านให้
เอาน้ำมันมาเติมเต็มใส่ตะเกียงสมองและจุดให้พวกคุณ
เพื่อไม่ต้องเดินท่ามกลางความมืดกันต่อไปอีกต่างหาก
 
เราจะกล่าวความจริงให้รู้ทั่วกันว่า
จงอย่านำพระศาสดามาทำเป็น
 “เจ้าลัทธิ”
จงอย่านำศาสนามาทำเป็น “ลัทธิ”
โดยเจ้าลัทธิจะเน้นที่สั่งสมจำนวน “สาขา” กับ “สาวก”
เจ้าลัทธิจะเน้นที่การ “สอนให้เชื่อตาม” ห้ามคิดแย้ง
แต่พระศาสดาพระองค์จริงจะทรงเน้นที่สัจธรรม
ด้วยการสอนให้รู้ สอนให้คิดและสอนให้ปฏิบัติ
เพื่อให้คุณเข้าถึงสัจธรรมตามที่พระองค์ทรงสื่อสอนมา
พระศาสดาทรงเน้นจุดประกายทางปัญญาให้ประชาชน
มิได้ทรงเน้นจำนวนสาวกและสำนักปฏิบัติธรรมที่หรูหรา
นี่คือความแตกต่างที่พวกคุณจะต้องแลเห็นอย่างเข้าใจ
 
คนคุณภาพที่เป็น #คนเก่ง ในแบบที่โลกต้องการนั้น
จะต้องใช้ความฉลาดทางจิตปัญญาของจิตกับสมอง
ในการเรียนรู้โลกในด้านโลกียะและโลกุตระให้จบแจ้ง
เพื่อสะสมภูมิรู้ในการรู้พูดรู้ทำรู้แสดงออกแบบสัตว์สังคม
ในอันที่จะนำความสำเร็จมาสู่ตนเองครอบครัวและสังคม
โดยไม่เก่งแต่ปากพูดหรือดีแค่ปากแต่ทำจริงได้ด้วย
แน่นอนว่าการจะเป็นคนเก่งเป็นผู้ชำนาญการได้นั้น
จะต้องผ่านการฝึกฝนจนเกิดทักษะความปราดเปรียว
ในกิจการงานนั้นๆเป็นพิเศษเพราะปัญญาและพหูสูต
ซึ่งต้องลงทุนด้วยโอกาสและเวลาทุกนาทีของชีวิต
ต้องเป็นคนที่เกียจคร้านไม่พากเพียรไม่อดทนไม่ได้
 
คนคุณภาพที่เป็น #คนดี ในแบบที่โลกต้องการนั้น
จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ที่ไหนหรืออยู่กับใครก็มีความสุข
ต้องเป็นผู้ที่ทำงานกับใครก็ได้ผลและทุกคนเป็นสุข
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย
 #ปัญญาวิสุทธิ์
24/09/2566