#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายไปแล้วว่า
ถ้าโลกจะมีพลังอำนาจสูงขึ้นกว่าเดิมได้นั้น
จำนวนประชากรโลกยุคพลังงานใหม่ที่จะมาถึง
จะต้องลดลงไปจากเดิมคือ “เจ็ดพันกว่าล้านคน”
จนเหลือ 2 ใน 3
ของจำนวนปัจจุบันเป็นอย่างน้อย
วิธีลดจำนวนประชากรก็คือการใช้ภัยพิบัติชำระล้าง
เพื่อลดน้ำหนักมวลบนโลกให้น้อยลง
แต่มีบางคนเกิดคำถามว่า
ถ้าประชากรโลกเหลืออยู่หนึ่งในสามเป็นอย่างน้อย
จิตวิญญาณของผู้มาใหม่จากดินแดนแห่งฟ้าสีคราม
คือแดนสุญตาพระนิเวศน์พระเจ้าที่อยู่นอกเอกภพ
ซึ่งจะเข้ามาเกิดเป็นคนเพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์
โดยหมุนธรรมจักรด้วยรักเพื่อให้ช่วยค้ำจุนสมดุลโลก
แทนพวกคุณที่สิ้นยุคหมดหน้าที่และกลับบ้านแล้ว
เด็กจากฟ้าสีครามจะมีมาเติมเต็มอีกจำนวนสักเท่าใด
หรือรวมอยู่ใน 2 ใน 3 ที่ว่านี้กันแน่
ความจริงแล้วคำถามนี้เราไม่ต้องการจะตอบให้รู้หรอก
เพราะเป็นคำถามที่มิได้ช่วยให้คุณคนถามหลุดพ้นได้
เพราะเป็นคำถามที่ไกลตัวห่างตนอันไม่ควรใส่ใจเลย
ซึ่งเป็นแนวความคิดแบบจิตมนุษย์ที่ช่างคิดช่างสงสัย
ไม่ต่างจากการคิดแต่ว่า “กูจะรอดปลอดภัยหรือไม่?”
แทนที่จะหาคำตอบว่า “กูจะรอดปลอดภัยได้อย่างไร”
คำถามที่สองนั้นคำตอบจะมีประโยชน์ต่อตนมากกว่า
การนึกคิดคำถามเพื่อจะนำไปสู่คำตอบที่มีประโยชน์
เป็น #ความฉลาดทางจิต สู่ความฉลาดของสมองได้
เพราะถ้าคุณฉลาดนึกมันจะทำให้คุณฉลาดคิดเสมอ
แต่ถ้าคุณนึกไม่เป็นหรือนึกโง่ๆมันก็จะทำให้คุณสิ้นคิด
ทั้งๆที่มีความฉลาดของสมองอยู่แต่กลับใช้มันไม่เป็น
เนื่องจากการนึกไม่เป็นคือตั้งคำถามตนเองไม่เป็น
เมื่อตั้งคำถามไม่เป็นคุณก็สั่งให้สมองคิดตามไม่ได้
เมื่อสมองหาคำตอบให้ไม่ได้อาการสิ้นคิดจึงบังเกิด
ขณะเดียวกัน
ถ้าคุณนึกลบสมองก็จะถูกจิตสั่งให้คิดลบตามทันที
ถ้าคุณนึกด้านลบสมองก็จะถูกจิตสั่งให้คิดด้านลบตาม
โดยที่นึกลบกับนึกด้านลบเพื่อการคิดลบกับคิดด้านลบ
ทั้งสองแบบที่ว่านี้ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง
การ #นึกลบ ก็คือนึกมิชอบนึกไม่ดีหรือว่านึกชั่ว
โดยมีอารมณ์รู้สึกที่ไม่ดีเจือปนอยู่ในนั้นด้วย
เพราะเมื่อนึกไปในทางร้ายจิตคุณก็จะตกไปตามนั้น
คำว่า “จิตตก” แปลว่าเสียสมดุลทางอารมณ์รู้สึก
ถ้านึกลบนึกชั่วต่อใครก็จะเสียอารมณ์รู้สึกต่อคนนั้น
โดยที่คุณยังไม่ทันพิสูจน์เลยว่าเขาชั่วจริงหรือไม่
พอนึกว่าเขาชั่วกิเลสก็ก่อตัวขึ้นมาที่ในจิตคุณแล้ว
เพราะคุณเป็นทาสของกิเลสมารนั่นเอง
ต่างจากการที่คุณ #นึกด้านลบ อย่างสิ้นเชิง
เพราะมีคำว่า “ด้าน” หรือ “มุมมอง” เข้ามาเกี่ยวข้อง
หากคุณนึกด้านลบจิตจะสั่งให้สมองคิดด้านลบตาม
ภาษาพระศาสดาเรียกว่า “วิปัสสนา” หรือคิดพิจารณา
อันหมายถึงการไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่มิได้ปรักปรำใคร
แม้จะมีแนวคิดและมุมมองที่เป็นด้านลบก็ตาม
เพราะการนึกคิดด้านลบมิใช่การ “ก้าวล่วง” ด้วยจิต
แต่เป็นการใช้สติปัญญาค้นหาความจริงของผู้อื่น
ตามอำนาจหน้าที่ของตนที่มีอยู่โดยมิได้ทำร้ายใคร
ยิ่งถ้าวิเคราะห์ด้วยปัญญาจากการนึกคิดด้านลบแล้ว
พบว่ามีแนวโน้มและเหตุผลไปในทางด้านลบนั้นจริง
ก็จะช่วยป้องกันมิให้เขาทำผิดคิดบาปต่อคุณได้ด้วย
ทั้งในขณะที่คุณนึกคิดด้านลบอยู่นั้นจิตคุณก็ยังไม่ตก
อารมณ์รู้สึกด้านลบยังไม่เกิดยังไม่เสียสมดุลเลย
การนึกคิดพิจารณาแบบนี้คือ #คิดรอบครอบ นั่นเอง
ดังนั้น
ถ้าคุณปรารถนาจะได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดแท้
คุณจึงต้องเน้นที่ความฉลาดทาง #จิตตปัญญา
โดยกระทำผ่าน “จิต 3 นึก” เพื่อกำหนดให้สมองคิด
ด้วยการนึกออกนึกเอาและนึกเองทั้งด้านบวกและลบ
จงอย่าทำตนเป็นคนนึกบวกนึกลบกับคิดบวกคิดลบ
เหมือนคนส่วนใหญ่บนโลกนี้เขาเป็นกันเขาทำกันเลย
ซึ่งมันตกคำว่า “ด้าน” จนทำให้เกิดกรรมเวรขึ้นมาได้
อีกทั้งยังจะเป็นคน “คิดไม่รอบด้าน” คือไม่ฉลาดจริง
เพราะเข้าถึงอำนาจสูงสุดทางจิตตปัญญาไม่ได้ด้วย
เนื่องจากใช้จิตหยาบกับสมองสองซีกที่มีอยู่ไม่เป็น
สำหรับกรณีเด็กๆจาก “ฟ้าสีคราม” คือแดนสุญตา
พระเจ้าจะทรงเว้นที่ไว้ให้เข้ามาเกิดเป็นจำนวนเท่าใด
จากตัวเลขที่เหลือรอดอย่างน้อยสองในสามส่วนนั้น
คนที่อยากรู้คำตอบนี้น่าจะยังพอจำได้กันอยู่บ้างว่า
ตัวเลขจำนวนนับที่เรากล่าวไว้ล่วงหน้าในพระคัมภีร์นั้น
เมื่อถึงเวลาจริงมันจะมีความคลาดเคลื่อนราว 20%
เพราะองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้าทรงรู้ความจริงดีว่า
อะไรจะเกิดขึ้นกับโลกนี้บ้างมนุษย์ต้องเผชิญกับอะไร
แต่พระองค์ไม่อาจพยากรณ์หรือทำนายหรือคาดเดาว่า
เมื่อมนุษย์โลกได้เผชิญกับสิ่งนั้นแล้วจะตัดสินใจยังไง
จะตอบสนองสถานการณ์หรือเงื่อนไขนั้นๆกันอย่างไร
เพราะทรงกำหนดให้โลกเป็น “ดาวแห่งทางเลือกเสรี”
มนุษย์ทุกคนจึงมีสิทธิ์เสรีที่จะคิดจะพูดจะทำทุกสิ่งได้
สุดแล้วแต่ใจใครปรารถนาโดยมีกฎแห่งกรรมกำกับไว้
ประเภททำกรรมดีย่อมได้ดีทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่วเสมอ
ด้วยเหตุนี้เอง #กฎแห่งกรรมจึงยุติธรรมเสมอ
สำหรับคำถามว่าเด็กจากฟ้าสีครามจะเข้ามาเท่าไหร่
ณ เวลานี้จึงไม่อาจมีคำตอบที่แน่นอนให้คุณได้
เพราะเป็นคำถามที่ผิดคิวผิดเวลานั่นแหละ
เนื่องจากคนที่เหลือรอดอยู่บนโลกสองในสามนั้น
จะต้องเป็นคนมีคุณภาพในแบบที่โลกต้องการแท้จริง
จึงต้องให้โอกาสรุ่นพี่ในปัจจุบันยุคพลังงานเก่าก่อน
เพราะจำนวนสองในสามที่รอดนั้นมิใช่ผู้ถูกพิพากษา
มิใช่จำนวนมนุษย์ยุคพลังงานเก่าที่ถูกคัดไว้ให้รอด
แต่เป็นผู้ที่สอบผ่านบททดสอบจิตสามนึกได้สำเร็จ
ตามแผนการชำระโลกของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่ทรงสื่อถ่ายทอดผ่านเรามา
ถ้าคนทั้งโลกเจ็ดพันกว่าล้านคนในปัจจุบันนี้
รวมทั้งจิตวิญญาณที่ลอยไปค้างอยู่บนสวรรค์มายา
กับจิตวิญญาณที่ป่วยแล้วลงไปรักษากันอยู่ในนรก
มีจำนวนผู้ที่สอบผ่านได้จริงไม่ถึงสองในสาม
จำนวนเด็กจากฟ้าสีครามจะเป็น “ตัวแปรตาม” ทันที
นี่คือความจริงที่เราไม่อาจบอกจำนวนล่วงหน้าได้
ขึ้นอยู่กับความเอาไหนไม่เอาไหนของตัวคุณเองด้วย
ดังนั้น
คำถามที่คุณควรถามตนเองแทนที่จะถามเรามาก็คือ
คุณกับคนที่คุณรักและห่วงใยจะรอดปลอดภัยหรือไม่
จะรอดผ่านเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ของพระเจ้าได้ยังไง
ถามตนเองไว้แนวนี้จะดีกว่าเหมาะสมกว่าเป็นไหนๆ
คุณเห็นหรือยัง
ความฉลาดนึกของจิต
กับความฉลาดคิดของสมองสองซีกนั้น
สำหรับมนุษย์โลกทุกคนมันสำคัญยิ่งนัก
เพราะมันเป็นพลังอำนาจในตนเองของคนสองมิติ
ที่พวกคุณต้องเร่งแสวงหาไขว่คว้ามันมาให้ได้
ซึ่งมันง่ายมากเลยเพราะมันอยู่ข้างในตัวคุณเอง
ดีกว่าความโลภในการแสวงหาสินทรัพย์ภายนอก
ที่ยุ่งยากจากการต้องแย่งชิงเอามันมาจากคนอื่นแล้ว
ต้องต่อสู้แข่งขันกับบุคคลอื่นที่โลภเหมือนกันด้วย
พวกคุณจักต้องทุกข์ทนจากการต่อสู้แข่งขันกัน
ในแบบที่เรียกว่า “ไม่มีใครยอมใคร” คือเห็นแก่ตัว
โดยใช้อำนาจกิเลสในตนเองกระทำก้าวร้าวต่อกัน
ใครที่จิตติดกิเลสหนากว่าก็จะทำตนก้าวร้าวมากกว่า
คนที่จิตติดกิเลสบางกว่าก็จะเป็นคนก้าวร้าวน้อยกว่า
เพื่อให้ตัวฉันเป็นผู้ชนะแปดทิศยืนหนึ่งอยู่คนเดียว
ขณะที่ทำตนให้เป็นหนึ่งเดียวเกลียวกลมกันไม่ได้
ด้วยเหตุนี้
หากคุณเป็นนักนึกเพื่อเป็นนักปราชญ์เมธีคือนักคิด
การเป็นคนฉลาดทางจิตตปัญญาจึงสำคัญสูงสุด
ที่จักต้องฝึกการใช้จิตและปัญญาของสมองให้จงได้
โดยจะต้องรู้ว่าคุณสามารถเอาตัวรอดปลอดภัยได้
ด้วยความฉลาดทางสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
ส่วนคุณจะมีชีวิตเป็นอมตะโดยจิตวิญญาณไม่ตาย
เพื่อเปลี่ยนย้ายไปสู่กายสังขารใหม่ในภพชาติใหม่นั้น
คุณก็ต้องใช้สมองซีกขวาสังเคราะห์โลกียะธรรม
ที่คุ้ยเขี่ยด้วยการวิเคราะห์จนได้มาตามลีลาแม่ไก่
เพื่อปรุงเปลี่ยนโลกียะธรรมนั้นให้เป็นโลกุตรธรรม
วิธีปรุงเปลี่ยนคือการ “สังเคราะห์” ด้วยปัญญาญาณ
ปัญญาญาณก็คือพลังงานแสงของสมองซีกขวา
ส่วนเซลล์ทุกเซลล์ของสมองที่มีมันสมองสีเขียวเข้ม
ล้วนเป็นดั่ง “ใบไม้” ที่มีคลอโรฟิลของพืชใบเขียว
ที่ใช้ในการปรุงอาหารจากการสังเคราะห์แสงนั่นเอง
คุณจึงต้องรู้ว่า #ต้นคนกับต้นไม้ มิได้แตกต่างกันเลย
ที่ต่างกันนั้นเห็นจะมีแต่ “ต้นไม้เติบโตได้”
แต่ทำไม “ต้นคน” จึงเติบตายคือ “โตเพื่อตาย”
เพราะใช้สมองซีกขวาทำการสังเคราะห์อาหาร
เพื่อเลี้ยงดูจิตวิญญาณให้มีชีวิตเป็นอมตะกันไม่ได้
เนื่องจากขี้เกียจคิดหรือ “คิดว่าไม่คิด” และคิดไม่เป็น
เหตุเพราะจิตหยาบตกเป็นทาสการจูงใจจนเกิดกิเลส
และมีค่านิยมในการอวดเก่งอวดดีอวดรู้อวดฉลาด
มากกว่าค่านิยมในการเป็นคนฉลาดโดยไม่ต้องอวด
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
20/09/2566