25 กันยายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 25/09/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
การที่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้เกิดการเสียสมดุล
เนื่องจากมนุษย์ยังหมุนธรรมจักรในตนเองไม่ได้
อีกทั้งยังหมุนธรรมจักรร่วมกับคนอื่นๆไม่ได้ด้วย
เพราะ
 #สอบตกบททดสอบจิตสามนึกแห่งรัก
 
ใครดีมาข้าดีตอบก็ไม่ได้
เพราะว่ามองไม่เห็นคุณค่าแห่งความดีงามของเขา
เนื่องจากมองหาและมองเห็นแต่ประโยชน์จากเขา
โดยเอาประโยชน์ที่ตนจะได้จากเขาเป็นตัวตั้ง
จึงยังผลให้นัยน์ตาฝ้าฟางเพราะ
 “กิเลส” บังตา
 
ใครชั่วมาข้าก็จะชั่วตอบ
ยิ่งถ้าใครทำชั่วกับตัวข้ามากจิตก็จะขุ่นมัวมาก
เมื่อจิตขุ่นมัวมากอันเกิดจากบริวารของกิเลสมาร
จำพวก
 #ตัณหากับอารมณ์ขยะรายวันทั้งปวง
มันก็ยิ่งทำให้จิตใจมืด คือ เป็นคน #ใจดำอัมมะหิต
แถมด้วยจิตใจบอดคือ เป็นคนที่ #เข้าถึงรักแท้ไม่ได้
โดยรักแท้หมายถึง “รักเพื่อให้” อันเป็นรักที่บริสุทธิ์
เป็น
 #รักแบบพระเจ้า ที่โลกต้องการมิใช่รักเพื่อเอา
ซึ่งเป็นแบบที่มนุษย์ผู้เป็นทาสของกิเลสต้องการ
 
มนุษย์ส่วนใหญ่ที่จิตใจยังไม่ใสสวย
จึงทำตนประเภท
 #หนามยอกเอาหนามบ่ม
โดยยึดหลัก “กระแทกแรง กระดอนกลับแรง”
บางรายยังมีแถมดอกเบี้ยทบต้นเมื่อตอนเอาคืนด้วย
เวลาตอบโต้ต่อต้านจึงรุนแรงกว่าตอนที่ถูกกระทำ
 
มนุษย์เมื่อเจอหนามยอกหนามตำในชีวิตจริง
ถ้าจะบ่งหนามออกจากมือหรือเท้าด้วยตัวเองนั้น
ไม่มีใครคว้าหนามชนิดเดียวกันมาบ่งเอาหนามออก
เพราะหนามที่เอามาบ่งนั้นอาจจะหักคาหนามเก่า
หรือจะทำให้แผลนั้นบอบช้ำมากขึ้นโดยใช่เหตุ
เขาจะกลับบ้านเพื่อใช้
 “เข็มแหลม” บ่งมันออกมา
ซึ่งเขาจะลวกเข็มด้วยน้ำร้อนหรือเช็ดให้สะอาดก่อน
เพื่อป้องกันการอักเสบเพราะแผลติดเชื้อนั่นเอง
 
ดังนั้น
เมื่อพวกคุณเป็นเหมือนดั่งถูก
 “หนาม” ยอก “อก”
อกในที่นี้หมายถึง “จิตหยาบ” หรือจิตมนุษย์นี่แหละ
ขณะคุณเจ็บอกเพราะถูกคนชั่วทำชั่วทิ่มตำจิตใจนั้น
คุณจึงต้องใช้
 #เข็มแหลมและสะอาด บ่งหนามด้วย
 
คำว่า “เข็มแหลม” หมายถึง ความฉลาดทางปัญญา
คำว่า
 “เข็มสะอาด” ก็คือปัญญาที่ไม่มีกิเลสครอบงำ
 
เพื่อจัดการชำระ “หนามตำใจคุณ” ให้ลุล่วงหลุดออก
โดย
 “หนาม” ที่ตำใจคุณก็คือ “ตัวปัญหา” นั่นเอง
 
สังคมมนุษย์โลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน
มีการต่อสู้กันมีการแข่งขันกันจนขาดความสุขสงบ
เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้หน้าที่ของตนว่าเกิดมาทำไม
โดยสนใจกันแต่เรื่องทางโลกในแบบ
 “กินขี้ปี้นอน”
มองหาแต่การตอบสนองความต้องการทางกายภาพ
ไม่ให้ความสำคัญกับความต้องการทางจิตวิญญาณ
ในฐานะที่พวกคุณเกิดมาเป็น
 “คนสองมิติ” กันเลย
 
คำว่า #จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว
ทุกคนล้วนรู้กันหมดแต่เมื่อรู้แล้วก็เท่านั้น
เพราะไม่เคยฉุกคิดกันต่อให้สุดทางบ้างเลยว่า
จิตหรือจิตวิญญาณของตนนั้นเป็นใครมาจากไหน
มาเกิดเป็นมนุษย์โลกจำนวนมากมายกันทำไม
ตนมีหน้าที่ต้องทำอะไรทางจิตวิญญาณบ้าง
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์เป็นอะไรกันกับจิตวิญญาณ
ฯลฯ
 
การศึกษาธรรมะของคนชอบธรรมส่วนใหญ่
จึงได้แต่เรียนรู้เรื่องประวัติของพระศาสดา
เรียนรู้เรื่องการสวดมนต์ขอศีลขอพร
เรียนรู้ที่จะปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาให้เข้มขลัง
เรียนรู้ที่จะถือศีลกินเจเพื่อการปฏิบัติตามประเพณี
เรียนรู้ที่จะอธิษฐานร้องขอส่วนบุญส่วนกุศลที่ตนทำ
เรียนรู้ที่จะอุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
 
เรียนรู้เรื่องการปฏิบัติกรรมฐานสมาธิแบบปลีกตัวทำ
โดยเชื่อว่าจะสามารถช่วยชำระจิตตนให้ใสสะอาดได้
โดยเชื่อว่าจะฝึกตนเองให้มี
 “สติ” แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้
โดยเชื่อว่าจะฝึกให้ตนฉลาดจะรับมือกับคนชั่วได้
โดยไม่เคยสังเกตว่าตนเองก็ปฏิบัติธรรมกันมานาน
แต่ยังไม่สามารถนิพพานกิเลสก่อนตายได้สักที
ทั้งๆที่คุณก็เป็นคนชอบทำที่มุ่งปฏิบัติธรรมตลอดมา
สาเหตุที่จิตวิญญาณไม่ก้าวหน้าเป็นเพราะอะไรกันแน่
 
คำตอบโดยรวมก็คือ
 
เพราะจิตหยาบยังมีกิเลสแฝงอยู่จิตคุณจึงสกปรก
จนสั่นสะเทือนขันธ์ห้าทางด้านบวกบริสุทธิ์ไม่ได้
เช่น ทำบุญสร้างกุศลโดยอธิษฐานขอสิ่งตอบแทน
ด้วยการขอให้ชาตินี้และชาติหน้าสารพัดสิ่งที่จะขอ
นี่จึงเป็นการทำบุญกุศลด้วยจิตที่ยังไม่ใสบริสุทธิ์จริง
เพราะมีกิเลสเคลือบแฝงอยู่แบบเนียนๆ
 
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว
ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณกำลังเอา
 1 บวกกับ 1 อยู่
ผลลัพธ์ที่คุณทำจะมีคำตอบเท่ากับ
 2 แน่นอน
เพราะจำนวน
 2 เป็นผลลัพธ์ของ 1 บวก 1 นั่นเอง
หากคุณต้องการจะได้ผลลัพธ์เท่ากับสองแล้ว
อันหมายถึงต้องการที่จะสร้างบุญสร้างกุศล
เพียงแค่คุณต้องทำในสิ่งที่เป็นบุญกุศลไว้เท่านั้น
ย่อมได้กุศลผลบุญวันยังค่ำเพราะคนทำก็คือคุณ
จะทำพิเรนทร์
 “ร้องขอส่วนบุญ” ที่ตนทำเองทำไม
 
การทำบุญสร้างกุศลแล้วร้องขอส่วนบุญ
โดยอ้างเอา
 #อานิสงส์ ที่เกิดขึ้นจากการทำบุญนั้น
เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งที่ตนกำลังอยากอยู่
เป็นต้นว่าอยากจะได้ อยากจะมี อยากเห็นอยากเป็น
ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยกิเลสตัณหาแบบเนียนๆล้วนๆ
สิ่งที่อยากได้อยากมีจึงมักจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง
ซึ่งเป็นการร้องขอ
 “รางวัล” ตอบแทนการทำบุญนั้น
โดยอ้างว่าร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลจักรวาล
ที่เป็นใครรูปธรรมใดคนที่ร้องขอเองก็ไม่อาจรู้ได้
คนที่ร้องขอก็ไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะให้ได้หรือไม่
การร้องขอรางวัลตอบแทนนั้นเป็นจริงได้หรือเปล่า
 
เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า
พวกที่สวมรอยว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวโลก
ก็คือ
 “จิตวิญญาณผีโสโครก” ของพวกคนยักษ์
ที่เข้ามากระทำการล่วงเกินมนุษย์โลกเอาไว้
จนต้องถูกชำระทิ้งจากกรณีน้ำท่วมโลกยุคโนอาห์
แล้วกลับบ้านเกิดแดนสุญตาไปหาพระเจ้าไม่ได้
เพราะไม่มีพันธะสัญญา
 6 เหมือนจิตวิญญาณมนุษย์
จึงต้องเป็นจิตวิญญาณพเนจรคอยทำตนเป็นดั่งปลิง
คอยดักดูดพลังงานจิตด้านบวกของมนุษย์
ที่ชอบปฏิบัติกรรมฐานแล้วแผ่เมตตาออกมาข้างนอก
เพื่อมาเติมเต็มให้ตนเองเนื่องจากตนไม่มีกายหยาบ
จึงไม่สามารถปฏิบัติทำเยี่ยงมนุษย์โลกได้
 
พวกเขาจะคอยดักดูดพลังงานจิตด้านบวก
จากการปฏิบัติเท็คนิกสมาธิของคนชอบทำสิ่งที่ชอบ
โดยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตนชอบทำอยู่นั้นชอบธรรมไหม
มันเป็นธรรมชาติที่ถูกต้องแท้จริงหรือเปล่า
หรือเป็นแค่การปฏิบัติทำอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
 
เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า
การชำระขยะคือกิเลสมารที่แฝงอยู่ในจิตนั้น
มันจะต้องปฏิบัติธรรมกันในชีวิตจริงอยู่ในสังคม
ด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงเท่านั้น
ซึ่งมันจะมีวิธีฝึกปฏิบัติอยู่ด้วยกัน
 2 วิธี คือ
 
#วิธีแรก
คุณต้องพร้อมเผชิญหน้ากับสถานการณ์
หรือเงื่อนไขต่างๆที่จะนำไปสู่การเกิดกิเลส
เพื่อเรียนรู้ว่า
 “กิเลสมาร” มันเกิดขึ้นในจิตตอนไหน
ซึ่งเราเปิดเผยความจริงให้พวกคุณรู้มาแล้วว่า
กิเลสมันมาตอนที่คุณเผลอสติไปชั่ววูบนั่นแหละ
โดยจิตจะเกิดความรู้สึกชอบไม่ชอบขึ้นมาทันที
 
การเกิดความรู้สึกนี่เองที่เรียกว่า #จิตตก จากปกติ
เพราะสภาวะจิตปกติก็คือจิตที่มีอาการสุขสงบอยู่
ซึ่งขณะนั้นจิตกำลังสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูง
พอเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบขึ้นมาเมื่อใด
จิตก็จะสั่นสะเทือนจากความถี่สูงลดลงมาต่ำเมื่อนั้น
อาการใจสั่นเนื้อตัวสั่นมือเท้าสั่นตัวร้อนวูบวาบ
พวกคุณเข้าใจว่าเกิดอาการ
 “ว้าวุ่น” กระวนกระวาย
เมื่อได้สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งนั้นเรื่องนั้นนั่นเอง
 
ถ้าคุณระวังตนเองไว้ไม่ให้จิตตกได้
จิตคุณก็จะปลอดภัยจากกิเลสมารได้แล้ว
ซึ่งคุณต้องคุมจิตหยาบไว้ด้วย
 #มหาสติ ของพระเจ้า
ก็คือ
 #ธรรมชาติสมาธิ แบบไม่หนีสังคมไม่ปลีกวิเวก
ไม่แกล้งทำตนเป็นคนหูหนวกตาบอดเป็นใบ้
โดยใช้สิ่งแวดล้อมคนรอบข้างในครอบครัวและสังคม
เป็นตัวช่วยสร้างเงื่อนไขแต่ให้คุณเป็นครูสอนตนเอง
 
การฝึกปฏิบัติเป็นประจำควบคุมจิตได้บ่อยๆ
ด้วยวิธีป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสจนจิตตกเอาไว้ให้ได้
จิตคุณก็จะเกิดความชำนาญคือ
 “แน่วนิ่ง” มากขึ้น
นานวันเข้าจิตคุณเมื่อถูก
 #ชำนาน ก็จะเชี่ยวชาญเอง
 
ไปที่ภูกระต่ายเข้ากระบวนการฝึกธรรมชาติสมาธิ
ด้วยโปรแกรมปฏิบัติการ
 “ไซโคโชว์” ร่วมกับเพื่อนๆ
แทนฝึกกรรมฐานแบบเท็คนิกสมาธิที่คุณคุ้นเคยดูสิ
มันจะช่วยยกระดับจิตปัญญาให้คุณได้มากกว่าอีกนะ
 
#วิธีที่สอง
วิธีนี้ต้องฝึกควบคู่กันไปกับวิธีแรกที่เรากล่าวมา
คือฝึกการใช้ปัญญาของสมองสองซีกให้นึกไวคิดไว
ขณะที่กิเลสมารและบริวารกิเลสมันเบาบางไปบ้างแล้ว
ขณะนั้นจิตหยาบของคุณมันจะสดใสมากยิ่งขึ้น
เมื่อจิตหยาบสดใสว่างไปจากกิเลสได้มากเท่าใด
พลังอำนาจของจิตคือ
 “ฌาน” จะสูงขึ้นตามไปด้วย
 
พลังอำนาจของจิตที่เรียกว่าฌาน
คือแรงสั่นสะเทือนของจิตที่ยกระดับสูงขึ้นด้านบวก
ที่คุณสามารถนำไปใช้สั่นสะเทือนเซลล์สมองสองซีก
ให้มัน
 “ตื่นตัว” เพื่อการ “ตื่นรู้” เพื่อการ “คิดรู้”
ตามคำสั่งจากจิตสามนึกของคุณอย่างทระนงองอาจ
คุณจะเป็นคนนึกไวคิดไวมากกว่าในคนปกติทั่วไป
ทั้งสามารถคิดทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมดีงามได้
นานวันเข้าแทนที่จะได้แค่คิดรู้คุณจะ
 “หยั่งรู้” ได้ด้วย
 
ถ้าคุณฝึกปฏิบัติธรรมชาติสมาธิในชีวิตจริง
ไม่ทิ้งครอบครัวไม่หนีสังคมไม่ทำตนเป็นคนพิการ
ไม่ทำตนเป็นเหมือนลูกกำพร้าผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ
คุณจะพบความก้าวหน้าทางจิตตปัญญาอย่างรวดเร็ว
คุณจะเข้าถึง
 “มหัศจรรย์แห่งจิตของตน” ได้ง่ายดาย
โดยไม่ต้องทำตนอุตริพิสดารแต่อย่างใดเลย
 
แค่คนตนเองให้เป็นมนุษย์ให้เป็น
หมุนธรรมจักรในตนเองและหมุนร่วมกันให้ได้
ปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติของพระเจ้าเท่านั้น
เพียงเท่านี้ก็เกินพอแล้ว
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย
 #ปัญญาวิสุทธิ์
25/09/2566