01 กันยายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 1/09/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
มีเพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น
ที่ทรงอุบัติขึ้นด้วยพระองค์เองไม่มีใครเป็นผู้สร้าง
พระองค์จึงทรงเป็นจุดศูนย์กลางของมหาจักรวาล
คำว่า “จุดศูนย์กลางของมหาจักรวาล” หมายถึง
เป็น #พระจิตแห่งสากลจักรวาล หรือ “จิตจักรวาล”
จึงทรงเป็นผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่งมิใช่ผู้ถูกทำให้เกิด
 
พวกคุณไปค้นคว้าหาอ่านพระกำเนิดของพระเจ้า
จากพระคัมภีร์เล่มที่ชื่อ #พระเจ้ามีจริง กันดูก็ได้ว่า
พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาเองได้อย่างไร
 
เมื่อพระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาใหม่ๆนั้น
เพื่อต้องการจะรู้ความจริงว่าจะทรงทำอะไรได้บ้าง
หลังจากทรงกำหนดสร้าง “เงา” ของพระองค์ขึ้นมา
โดยมิได้ทรงตั้งพระทัยว่าจะทรงสร้างมาก่อนเลย
ซึ่งเงาของพระองค์ที่ทรงอุบัติขึ้นมาดังกล่าวนั้น
เป็นรูปธรรมทางพลังงาน 12 เหลี่ยมมุมเช่นเดียวกัน
ทั้งรูปธรรมนั้นยังสั่นสะเทือนตามพระองค์ได้อีกด้วย
 
ดังนั้น
เมื่อองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่เป็นพระบิดาของทุกสิ่ง
เงาของพระองค์ก็คือพระมารดาของทุกสิ่งด้วยเช่นกัน
 
จากความจริงที่ทรงค้นพบดังกล่าวนี้
ทุกสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างจึงมีแสงและเงาเสมอ
นอกจากนั้นจิตวิญญาณของพ่อแม่ลูกในครอบครัว
ที่ขันอาสามาเกิดเป็นคนสองมิติอยู่บนโลกเสรีแห่งนี้
จะสั่นสะเทือนถึงกันได้ดุจดั่งเงาของกันและกันอีกด้วย
โดยพระองค์ทรงได้ต้นแบบจากพระองค์กับเงานี่เอง
ซึ่งเกิดได้เฉพาะผู้มีความคล้ายคลึงกันทางด้านบุคลิก
ระหว่างพ่อแม่ลูกที่จิตวิญญาณเขียนบทละครร่วมกันมา
เมื่อได้รับโอกาสให้เกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่ภพชาติแรกแล้ว
 
เพราะพระเจ้าทรงสร้าง “ห้องทดลอง” ขนาดใหญ่ขึ้น
เพื่อต้องการเรียนรู้ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดได้อีกบ้าง
ห้องทดลองของพระองค์ก็คือสนามพลังงานขนาดใหญ่
ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นกาแล็กซี #ธารสายน้ำนม
โดยห้องทดลองของพระองค์นี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังงาน
ซึ่งต้องใช้ 12,500 ล้านกาแล็กซี่เพื่อทำให้เกิดรูปธรรม
ที่มีลักษณะของจานสองใบคว่ำประกบกันอยู่นั่นแหละ
ที่มหัศจรรย์ก็คือมันถูกสร้างขึ้นมาด้วยอนุภาคพลังงาน
จากการเหวี่ยงหมุนของกาแล็กซีนับหมื่นล้านระบบ
ทำให้อนุภาคพลังงานฟุ้งกระจายตัวไปอย่างมีขอบเขต
 
นับตั้งแต่เมื่อแรกสร้าง
ห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระเจ้าที่ว่านี้
ยังคงดำรงรูปธรรมในมิติทางกายภาพอยู่ได้ตลอดมา
เพราะชุดกาแล็กซีน้อยใหญ่ทุกระบบที่ทรงสร้างไว้
ยังคงหมุนวนรอบตัวเองเพื่อทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่
ทั้งยังทำหน้าที่ร่วมกันด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า #เอกภพ นั่นเอง
 
เพราะพระองค์ทรงกำหนดให้ดาวเคราะห์โลก
ทำหน้าที่ค้ำจุนความสมดุลของเอกภพที่เป็นระบบใหญ่
โลกจึงต้องมีพลังอำนาจสูงสุดพอที่จะค้ำจุนเอกภพได้
นี่จึงเป็นที่มาของการออกแบบให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดรักกัน
เพื่อให้เครื่องยนต์แห่งกรรมเหวี่ยงความรักนั้นออกมา
ความรักที่เหวี่ยงออกมาเป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่โลกต้องการซึ่งเป็นพลังงานสากลมิใช่พลังงานกรรม
 
เมื่อทรงสร้างเอกภพและสร้างโลกขึ้นแล้ว
จึงทรงออกแบบให้มีผู้ทำหน้าที่ช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุล
ทรงเรียกผู้จะมาช่วยค้ำจุนโลกด้วยความรักว่า #มนุษย์
จึงทรงอนุญาตให้จิตจักรวาลดวงเล็กคือ #พระบุตร
ซึ่งปกติจะเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มี 11 เหลี่ยมมุม
แบ่งภาคทางพลังงานออกมา 70% เรียกว่า #พระจิต
โดยพระจิตจะเป็นรูปธรรมที่มี 6 เหลี่ยมมุมคือมี 6D
ซึ่งมนุษย์โลกจะเรียกพระจิตว่า #จิตวิญญาณ ก็ได้
 
ด้วยเหตุนี้เอง
พวกคุณที่กำลังมีชีวิตเป็นมนุษย์กันอยู่ในขณะนี้
จึงมีจิตจักรวาลเป็นพระบิดาและพระมารดาผู้ให้กำเนิด
มีจิตจักรวาลดวงเล็กที่มี 11D เป็นตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง
มีจิตวิญญาณที่มี 6D เป็นตัวตนแก่นแท้ก็คือตัวคุณเอง
เป็นผู้ขันอาสาถือพันธะสัญญา 6 มาเกิดอยู่ในระบบโลก
เพื่อใช้ความรักความเมตตาที่มีอยู่ในตนช่วยค้ำจุนโลก
คำว่า “ค้ำจุน” หมายถึงช่วยสร้างความสมดุลให้โลก
เพราะถ้าโลกสมดุลทุกสิ่งในเอกภพก็จะสมดุลตามด้วย
ซึ่งโลกจะสมดุลได้ก็ต้องเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วการเหวี่ยงหมุนต่อรอบต้องคงที่เท่านั้น
 
พระเจ้าจึงทรงกำหนดให้
จิตวิญญาณพวกคุณแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นจิตหยาบ
จิตหยาบก็คือ “กลุ่มพลังงาน” จำนวน 189 กลุ่ม
ซึ่งถูกกำหนดให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
ขณะมีชีวิตและมีภพชาติเป็นมนุษย์โลกเสรี
โดยจิตหยาบจะต้องเริ่มยกระดับตนเองจากมิติที่ศูนย์
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของแม่โดยมีพ่อกับแม่คอยช่วยเหลือ
เมื่อจิตหยาบยกระดับได้ด้วยความรักของพ่อกับแม่
พอเข้าถึงมิติที่ 4D เด็กก็จะคลอดออกมาลืมตาดูโลกได้
 
พ่อกับแม่และจิตหยาบของลูกเอง
จะต้องใช้ความรักที่มีต่อกันร่วมกันสั่นสะเทือนต่อไปอีก
เพื่อยกระดับจิตหยาบลูกจาก 4D ให้สูงขึ้นจนถึง 6D
ด้วยการใช้อายตนะภายนอกทั้งห้ากับจิตหยาบของตน
สั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยความรักความเมตตาให้จงได้
พ่อแม่ลูกคล้ายคลึงกันด้านบุคลิกของจิตวิญญาณอยู่แล้ว
การช่วยลูกยกระดับจิตหยาบจึงมิได้ยากเย็นอะไรเท่าไหร่
เพราะแค่ใครรักใครในระหว่างพ่อแม่และลูกนั้น
จิตหยาบของลูกก็สั่นสะเทือนตามพ่อและแม่ได้แล้ว
 
แต่ถ้าคุณหรือใครก็ตาม
สามารถเป็นเงื่อนไขให้คนรอบข้างที่มิใช่พ่อแม่
สั่นสะเทือนจิตหยาบของเขามอบรักบริสุทธิ์ให้คุณได้
ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปนั่นเท่ากับว่าคุณเป็นสัตว์สังคมแล้ว
เพราะคุณกำลังชวนคนรอบข้างมาร่วมหมุนธรรมจักร
เพื่อทำให้สมการพลังงานร่วม ∑βₓ ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้
นอกจากพวกคุณจะช่วยยกระดับจิตหยาบให้แก่กันแล้ว
จำนวน 1% ของพลังงานที่เกิดขึ้นจากธรรมจักรนั้น
จะถูกเหนี่ยวรั้งลงไปยังแกนแม่เหล็กโลกใจกลางโลก
เพื่อใช้ในการบิดตัวอย่างต่อเนื่องทำให้โลกเหวี่ยงหมุน
ถ้าคุณจะช่วยให้โลกสมดุลได้
คุณก็จะต้องสร้างสมดุลในตนเองให้ได้เสียก่อน
ด้วยการหมุนธรรมจักรในตนเองให้สำเร็จ
โดยมีคนรอบข้างและทุกสิ่งช่วยเป็นเงื่อนไขให้
 
คำว่า “สมดุลในตนเอง” หมายถึง
จิตหยาบมีสภาวะจิตที่สงบสุขอยู่ได้ตลอดเวลา
โดยไม่ตกเป็นทาสของเงื่อนไขหรือสิ่งเร้าใดๆทั้งสิ้น
ไม่ว่าเงื่อนไขนั้นจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบก็ตาม
ซึ่งจิตคุณจะไม่มีอาการสั่นไหวไปตามสิ่งเร้านั้น
พระเจ้าทรงเรียกว่าสภาวะจิตนั้น #เป็นอุเบกขา
 
ถ้าคุณสามารถเข้าถึงการเป็นมนุษย์ที่สมดุลได้แล้ว
คุณก็จะไม่เป็นเงื่อนไขด้านลบให้กับคนรอบข้าง
คนรอบข้างคุณเขาก็จะไม่เกิดการเสียสมดุลไป
คุณก็จะเป็นคนน่ารักน่าคบหาสมาคมสำหรับเขาด้วย
เพราะเขาคบหากับคุณแล้วมีความสุขมีความสบายใจ
สังคมพวกคุณจึงเป็นสังคมของคนที่รักธรรมจักร
 
พระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงอนุญาตให้พวกคุณมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อทำหน้าที่ค้ำจุนโลกและเอกภพดังกล่าวนี้
ตลอดเวลา 6 หมื่นปีโลกโดยคุณไม่มีหน้าที่ต้องตาย
โดยคุณจะตายก็ต่อเมื่อโลกถึงกาลสิ้นยุคแล้วเท่านั้น
การตายนี้คือ #การหลับเป็นตาย ไม่ใช่ถูกทำให้ตาย
เป็นการตายเพราะหมดหน้าที่หรือภารกิจสำเร็จแล้ว
 
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
1/09/2566