13 กันยายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 13/09/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
นานวันที่ผ่านมาโลกเสรีดวงนี้
จะมีภัยธรรมชาตินำความวิบัติมาให้มากขึ้นเรื่อยๆ
จนอีกไม่ช้านานพวกคุณชาวโลกทั่วทุกทวีป
จักต้องทำสงครามกันกับ
 #ภัยธรรมชาติ ที่รุนแรง
โดยไม่มีเวลาว่างพอที่จะทำสงครามฆ่ากันเองแล้ว
 
ภัยธรรมชาติที่รุนแรง
หมายถึงภัยที่เกิดจากธรรมชาติวิบัติจนถึงขั้นวิกฤต
คำว่า
 “วิกฤต” แปลว่าผิดไปจากปกติเป็นอย่างมาก
แทนที่ธรรมชาตินั้นจะเป็นสิ่งเหมาะสมงดงามดีงาม
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับไม่เหมาะสมไม่ดีงามเลย
เพราะเกิดแล้วนำความเสียหายร้ายแรงมาให้ทั้งสิ้น
 
ตัวอย่างเช่น
1.แผ่นดินไหวหรือธรณีพิโรธ ภูเขาถล่ม
2.วาตภัยจำพวกพายุไต้ฝุ่น พายุทอร์นาโด
3.อุทกภัยจำพวกน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก
4.อุบัติภัยจำพวกเขื่อนแตก แผ่นดินยุบแยก
5.อัคคีภัยจำพวกไฟป่าลุกลาม
6.ภูเขาไฟระเบิด ธารลาวาลามไหล
7.พายุหิมะพัดถล่ม พายุลูกเห็บ พายุทราย
 
เราแบ่งภัยธรรมชาติออกเป็น 7 จำพวก
เพื่อให้พวกคุณเห็นภาพข้าศึกศัตรูได้อย่างชัดเจนว่า
ภัยจากดินน้ำลมไฟทั้งเจ็ดเหล่านั้นพวกเขาคือคู่ต่อสู้
ที่มนุษย์จักต้องเตรียมตัวเตรียมใจผจญภัยกันได้แล้ว
จะได้ใช้เวลาต่อไปนี้พิสูจน์ตัวเองว่า
 “เก่ง” จริงมั้ย
หรือเก่งแค่คิดผลิตอาวุธร้ายมาทำร้ายกันเองเท่านั้น
จะได้พิสูจน์ว่าขีปนาวุธนิวเคลียร์ปืนใหญ่รถถังปืนกล
ซึ่งก้าวล้ำนำสมัยด้วยวิทยาศาสตร์เท็คโนโลยีของคุณ
จะป้องกันมิให้ภัยธรรมชาติทำร้ายมนุษย์ได้หรือไม่
จะกำจัดภัยจากดินน้ำลมไฟเพื่อเอาชนะมันได้ไหม
จะสำนึกรู้ว่าการทำศึกสงครามกับภัยธรรมชาตินั้น
ผลของการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในบั้นปลายท้ายสุดก็คือ
 
มนุษย์กับภัยธรรมชาติจะเสมอกัน
จะผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
มนุษย์จะเป็นฝ่ายชนะขาดในสงคราม
มนุษย์จะเป็นฝ่ายแพ้ขาดในสงครามนี้
 
เราหยิบเอาประเด็นเช่นว่านี้มาชวนให้คุณคิด
เพื่อให้คุณเลิกกังวลเรื่อง
 #สงครามโลกครั้งที่สาม
ในมวลหมู่พี่น้องชาวดาวโลกด้วยกันเอง
เพราะถูกพวกมอดจากต่างแดนดาวยุยงส่งเสริม
เพื่อลดจำนวนประชากรโลกให้เหลือน้อยลง
ด้วยการให้ฆ่ากันตายเองด้วยอาวุธที่ตนผลิตขาย
ซึ่งเป็นเท็คนิกการขายอาวุธและเท็คโนโลยี
ด้วยวิธีการยุให้เกิดสงครามระหว่างประเทศขึ้นมา
 
ที่ไหนมีสงครามที่นั่นตนก็จะค้าขายอาวุธได้
ไม่มีสงครามที่ไหนที่ไม่ต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์
 
แต่เราจะบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สงครามโลกครั้งที่สามนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นหรอก
นอกจากจะเป็นเพียงแค่สงครามกลางเมือง
ที่คนในชาติเดียวกันลุกขึ้นมาจับอาวุธฆ่ากันเอง
เพราะกิเลสหนาบ้าอำนาจและถูกต่างชาติยุยง
#จนต้องหันหน้ามารบกันเองแทนที่จะรักกันเอง
ด้วยความโง่ง่ายและงมงายจากจิตไร้สำนึกโดยแท้
 
เราจะกล่าวย้ำให้รู้ว่า
ภัยธรรมชาติ” จากความวิปริตของดินน้ำลมไฟ
จนนำภัยร้ายมาสู่โลกและมนุษย์ทั้งหลายนั้น
ล้วนมี
 “มูลเหตุ” จากมนุษย์หมุนกันแต่ #กรรมจักร
คนนำทางตาบอดไม่เคยสอนให้ #หมุนธรรมจักร
สอนให้ไปยึดหลักอริยสัจสี่กับมรรคมีองค์แปดแทน
 
ดั้งนั้น
#มนุษย์โลก ทั้งที่เป็นคน “ชอบธรรม” และ “ชอบทำ”
จึงเป็น #มูลเหตุ ของการเสียสมดุลของโลกทั้งระบบ
จนยังผลให้เกิดพิบัติภัยทางธรรมชาติทั้ง
 7 อย่างนั้น
เสมือนหนึ่งมนุษย์ทั้งโลกสร้างศัตรูของตนขึ้นมาเอง
เมื่อถึงคราวต้องลุกขึ้นทำสงครามกับภัยธรรมชาติแล้ว
จึงพ่ายแพ้กันตั้งแต่ในมุ้งเลยทีเดียว
 
การทำสงครามกับภัยทางธรรมชาตินั้น
เป็นสงครามที่มนุษย์ไม่มีหนทางจะชนะได้เลย
มีแต่จะย่อยยับอัปราชัยวิบัติฉิบหายสถานเดียว
มายากลมนต์ดำไสยเวทย์วิชามารทั้งหลาย
ก็ไม่อาจป้องกันหรือเอาชนะภัยธรรมชาติทั้ง
 7 แบบ
ให้มันสยบจนสงบราบคาบอย่างสิ้นเชิงได้
มีแต่วิชาพระอาทิตย์ของพระเจ้าคือองค์จิตจักรวาล
วิชาเดียวเท่านั้นที่จะจัดการกับภัยธรรมชาติได้
 
เมื่อคุณรู้แล้วว่ามนุษย์โลกทุกคนเป็น “มูลเหตุ”
ทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงทั้งเจ็ดแบบเหล่านั้น
ภัยธรรมชาติที่รุนแรงจึงต้องมี
 “สาเหตุ” ที่ทำให้เกิด
ถ้าถามว่าแล้วสาเหตุแห่งการเกิดมันคืออะไรกันแน่
คำตอบที่สั้นกระชับก็คือเกิดจาก
 #มนุษย์เหลวไหล
 
คำว่า “มนุษย์เหลวไหล” หมายถึงไม่ยอมทำหน้าที่
ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลกของตนเอง
อันเป็น
 #หน้าที่ทางจิตวิญญาณ ที่ขันอาสามาปฏิบัติ
เพราะถูกหลอกให้เสพติดกิเลสเสียจนขาดสติไม่รู้ตัว
ยังทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างสวรรค์มายาเบื้องบน
ยังทำบุญหลายหนเพราะอยากได้กุศลหลายครั้งกันอยู่
นี่เป็นการทำบุญสร้างกุศลแต่แฝงไว้ด้วยกิเลสทั้งสิ้น
 
การสั่นสะเทือนจิตหยาบด้านบวกแบบนี้
เครื่องยนต์แห่งกรรมแม้จะสั่นสะเทือนขันธ์ห้าได้
ก็ไม่อาจผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่เป็น
 “พลังงานสะอาด” ในแบบที่โลกต้องการได้
พลังงานบุญที่ไม่สะอาดแฝงด้วยกิเลสทั้งหลายนั้น
เป็นพลังงานที่มี
 “คุณสมบัติกรรม” ติดอยู่นั่นเอง
พลังงานบุญจึงสะอาดไม่ได้เพราะมันมี
 “เจ้าของ” อยู่
 
เจ้าของมันก็คือ “คนที่ก่อกรรมทำบุญ” กรณีนั้นขึ้น
แล้วร้องขอสิ่งตอบแทนในการทำกุศลผลบุญเอาไว้
เจ้าของคือคนที่ทำบุญแล้วตั้งสัจจะอธิษฐานอุทิศให้
 
ด้วยเหตุนี้เอง
สิ่งที่เกิดขึ้นในมิติทางพลังงานด้านของจิตก็คือ
พลังงานที่เกิดขึ้นจะเป็นแค่เพียง
 “พลังงานกรรม”
อันเป็น “ผลกรรม” ของพวกคุณในมิติทางพลังงาน
ที่โลกและสรรพสิ่งใดในจักรวาลอันไพศาลนี้
จะหยิบฉวยเอาไปใช้เพื่อยังประโยชน์ไม่ได้เลย
เพราะเป็นพลังงานที่มิใช่สมบัติของโลกที่เป็นสากล
จึงเป็นพลังงานที่มีเจ้าของแบบ
 “กรรมใครใครกำ”
 
เห็นหรือยังว่า
การปฏิบัติธรรมของพวกคุณที่ผ่านมา
ถูกศัตรูผู้ไม่หวังดีบิดเบือนและหลอกลวงให้หลงทาง
จนเสพติดกิเลสทำให้เข้าถึงความรักและปัญญามิได้
หลอกให้ละทิ้งโลกเพื่อไปเสพสุขบนสวรรค์มายาแทน
ทั้งๆที่สวรรค์มายาเป็นภพภูมิที่พระเจ้ามิได้ทรงสร้างไว้
แต่มนุษย์ถูกหลอกให้ใช้จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมาเอง
ตามแบบพิมพ์เขียวที่เขียนไว้ให้ดูบนกำแพงและผนัง
โดยมนุษย์ไม่รู้ว่าจิตใต้สำนึกของตนสร้างมายาได้
เพียงแค่มีความเชื่อและมีความอยากเป็นส่วนผสมอยู่
 
คนชอบธรรมแต่ถูกหลอกให้ทำแต่สิ่งที่ชอบเท่านั้น
ที่เมื่อตายจากโลกแล้วจะ
 “หลุดลอย” ขึ้นไปอยู่บนนั้น
ลอยไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายาที่ไม่มีอยู่จริง
พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า
 “เมืองทิพย์” หรือแดนทิพย์
วิมานอันวิจิตรงดงามทั้งหมดที่บนนั้นก็คือ
 #ทิพยวิมาน
ซึ่งถูกหลอกให้เนรมิตขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเองกันทั้งสิ้น
 
เพราะความเชื่ออย่างงมงายด้วยการไม่รู้ความจริงที่ว่านี้
คงมีคนอีกหลายคนที่อาจจะยังยินดีถูกหลอกอยู่ต่อไป
แม้จะมีโอกาสได้เข้ามาอ่านพระโอวาทจากพระเจ้า
ที่เราสื่อถ่ายทอดในระบบจิตสู่จิตลงมาให้รู้อยู่นี้ก็ตาม
เนื่องจากความเชื่อในความรู้ที่เป็นเท็จทั้งหลายเหล่านี้
มันเกิดการ
 “ฝังหัว” คือ ติดสนิทอยู่ในสัญญาขันธ์แล้ว
จนยากที่จะชำระล้างให้มันออกไปจากจิตใต้สำนึกได้
โดยพี่ๆน้องๆผู้รักการปฏิบัติธรรมทั้งหลายนั้น
ยังตอบคำถามตนเองกันไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้
 
1.
ปฏิบัติธรรมกันเพื่ออะไรและเพื่อใคร
2.จะต้องปฏิบัติธรรมกันอย่างไร
3.เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณจะตายด้วยหรือไม่
ถ้าจิตหยาบกับกายหยาบเป็นภาคส่วนที่ต้องตาย
แล้วจิตวิญญาณคุณที่ยังไม่ตายจะไปอยู่ที่ไหนกัน
 
เราฝากคำถามสามข้อนี้ไว้ให้คิด
เพราะวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคือชาวยุวจิตจักรวาลนั้น
เป็นคนชอบคิดช่างคิดและฉลาดคิดด้วยสมองสองซีก
จึงเป็นคนจำนวนน้อยในยุคนี้ที่ไม่โง่ง่ายงมงายง่าย
พร้อมจะกลับบ้านแดนสุญตาไปในทางแคบที่เดินยาก
เพราะทางแคบมีคนเลือกเดินผ่านน้อยไม่ทำให้ว้าวุ่น
ยกเว้นแกะนอกคอกที่หลงฝูงจนเพียรจะปีนรั้วเข้าคอก
เนื่องจากจำประตูคอกไม่ได้จำคนเลี้ยงตัวจริงไม่ได้
 
พื้นที่การสื่อพระโอวาทบทนี้หมดอีกแล้ว
ใครอยากรู้ว่าภัยธรรมชาติทั้ง
 7 ประการที่กล่าวนั้น
เกิดจากโลกเสียสมดุลเพราะมนุษย์เหลวไหล
ทำไม อะไร อย่างไร ตอนต่อไปจะมีคำตอบให้ครบ
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย
 #ปัญญาวิสุทธิ์
13/09/2566