31 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 31/03/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ตามประวัติศาสตร์ของพี่น้องชาวคริสเตียนนั้น

พระเยซูหรือพระคริสต์ทรงถูกตรึงบนไม้กางแขน

จนสิ้นพระชนมชีพในวันศุกร์ คือ Good Friday

ในสามวันต่อมาพระองค์ได้ฟื้นคืนพระชนมชีพ

ตรงกับวันอาทิตย์คือ “วันอีสเตอร์ (Easter Sunday)”

 

โดยในปี ค.ศ.2024 นี้วันอีสเตอร์

จะตรงกับวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2567 คือวันนี้

ส่วนเมื่อวานซืนนี้คือวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567

เป็นวัน Good Friday วันที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางแขน

ทรงต้องรับทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนมชีพนั่นเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ความเชื่อที่เกี่ยวกับเทศกาลอีสเตอร์นี้

เราได้กล่าวในมุมของ “ความเชื่อ” ไปแล้วสองตอน

 

#ความเชื่อตอนที่หนึ่ง

คือ “ความเชื่อ” เรื่อง #พระเยซูทรงแบกรับบาป

โดยยอมถูกตรึงบนไม้กางแขนเพื่อรับทุกข์ทรมาน

จนสิ้นพระชนม์เพื่อการไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์โลก

ซึ่งในมุมของ “ความจริง” นั้นแย้งกับกฎของพระเจ้า

ตามคำกล่าวที่ว่า #กรรมของใครคนนั้นรับผิดชอบ

ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะรับผลกรรมแทนใครคนอื่นได้

ไม่เว้นแม้แต่ “พระบุตรเอก” จะทรงมีพระมหาเมตตา

ก็ไม่สามารถเสด็จมาจุติเพื่อจะช่วยแบกรับโทษบาป

แทนเหล่าคนบาปทั้งหมดทั้งโลกเพื่อไถ่บาปให้ได้

ซึ่งพระเจ้าทรงกล่าวย้ำกับเราเสมอว่า #เด็กเส้นไม่มี

 

ถ้าพระองค์เป็นพระผู้ทรงฤทธิ์มีอภิสิทธิ์เช่นนั้นจริง

ทรงช่วยนำพาจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของมวลมนุษย์โลก

ให้หลุดพ้นกลับไปกราบพระบาทพระบิดาที่ทรงรออยู่

จะมิทรงกระทำได้ง่ายกว่าและเหมาะสมยิ่งกว่าหรือ

เพราะพระองค์ทรงเป็น #พระผู้ช่วยให้มนุษย์รอด

คือรอดพ้นจากอำนาจของ #กฎแห่งกรรม ได้ทุกคน

ไม่มีผู้ใดต้องพลัดหล่นลงไปในบึงไฟหรือบ่อย่ำองุ่น

รอดพ้นภัยจากมารกับพวกซาตานที่เป็นศัตรูมนุษย์

ด้วยการทรงกล่าวสอนความจริงที่เป็นสำนวนโวหาร

จากการที่ถูกคนนำทางตาบอดกรรมกรของมอดมาร

ทำการบิดเบือนพระวจนะที่ทรงสื่อมาจากพระเจ้าไว้

ให้ได้ “ฉุกคิด” ก่อนที่จะหลงเชื่อตามกันอย่างโง่ง่าย

 

#ความเชื่อตอนที่สอง

คือ “ความเชื่อ” เรื่อง #พระศพเสด็จออกมาจากคูหา

หลังจากการที่พระองค์สิ้นพระชนมชีพไปแล้วสามวัน

โดยในมุมของ “ความจริง” ตามกฎของพระเจ้านั้น

การตายคือการทิ้งกายสังขารเพราะใช้การไม่ได้แล้ว

ไม่ต่างจากคุณถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ใช้อยู่นั้นทิ้งไป

เพราะชำรุดขาดวิ่นปกปิดอวัยวะร่างกายไม่ได้อีกแล้ว

เพื่อการจัดหาชุดใหม่ที่พร้อมใช้งานได้ดีกว่าชุดเก่า

โดยผู้ถอดของเก่าทิ้งไว้ก็คือพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์

 

ดังนั้น

เมื่อทรงสิ้นพระชนมชีพแล้ว

พระศพที่ถูกเก็บรักษาไว้ในคูหาดังกล่าว

ไม่ว่าจะนานถึงสามวันหรือจะสักกี่วันก็ตาม

กายสังขารที่ทรงละทิ้งไว้หรือพระศพของพระองค์

ก็จะมีการเสื่อมสลายไปตามกาลนั่นคือความจริง

มีเพียงตัวตนที่แท้จริงหรือตัวตนแก่นแท้

ซึ่งเป็นพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เท่านั้น

ที่จะละทิ้งกายสังขารออกมาจากคูหาซึ่งเป็นที่ลับ

กลับไปกราบพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า

ก่อนที่จะเสด็จมาจุติใหม่ในภพชาติใหม่กันต่อไป

นี่เป็นความจริงในตอนที่สองที่เรากล่าวไว้แล้ว

 

ต่อไปนี้เป็นความเชื่อของพวกคุณชาวโลก

กับความจริงในมุมของพระเจ้าที่เราจะกล่าวต่อ

เกี่ยวกับพระคริสต์ในเทศกาลอีสเตอร์ช่วง 40 วันนี้

 

#ความเชื่อตอนที่สาม

เป็นความเชื่อเรื่องไข่อีสเตอร์ (Easter Eggs)

โดยสำหรับชาวคริสต์ตั้งแต่สมัยอดีตกาลนั้น

เชื่อกันว่า “ไข่” เป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตใหม่

จึงใช้ไข่เป็นสัญลักษณ์แทนการฟื้นคืนพระชนม์

เพราะชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูเอาชนะความตายได้

และทรงอยู่เหนือบาปโดยผ่านการฟื้นคืนพระชนม์

ถ้าหากพวกเขาปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์แล้ว

พวกเขาก็จะเป็นผู้ที่มีชีวิตนิรันดร์ได้

 

สำหรับ “ความจริง” ในตอนนี้นั้น

คนนำทางในกาลอดีตหลังพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว

ได้นำเอาเรื่องการเกิดกับการตายของมนุษย์ทุกคน

มาเชื่อมโยงกันไว้กับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู

เป้าหมายแรกก็คือช่วยสร้างสติให้แก่สาวกทั้งหลาย

ที่เกิดความโศกาดูรต่อการจากไปของพระองค์อยู่

ให้รู้ว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้วอีกไม่นานจะเสด็จกลับมา

คำว่าเสด็จกลับมาแปลว่าจะเสด็จกลับมาจุติอีกครั้ง

เพื่อกลับมาช่วยพี่ๆน้องๆที่ยังตกค้างอยู่ในระบบโลก

ที่รอคอยพระองค์เหมือนดั่งเจ้าสาวที่รอเจ้าบ่าวมารับ

 

จึงนำเอาเรื่องของไข่เข้ามาเปรียบเทียบ

เพราะลูกเจี้ยบหรือลูกไก่ที่ฟักตัวออกมาจากไข่

เสมือนทารกน้อยที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดา

ซึ่งผู้คนภายนอกมองเข้าไปข้างในก็ไม่เห็นว่า

ทารกน้อยนั้นเติบโตหรือมีพัฒนาการมาอย่างไร

 

#ความเชื่อตอนที่สี่

เป็นความเชื่อเรื่อง #สิ้นพระชนม์แล้วสามวัน

#พระองค์จะทรงฟื้นคืนพระชีพออกมาจากคูหา

ซึ่ง “ความเชื่อ” ในเรื่อง 3 วัน หรือ 3 Days นี้

ที่เป็นความจริงของพระเจ้านั้นทรงหมายถึง 3 มิติ

โดยตัวย่อใช้คำว่า “3D” คือ 3 Dimensions ต่างหาก

 

ความจริงในเรื่องของ 3 มิตินี้แท้แล้วหมายถึง

จิตหยาบของจิตวิญญาณผู้มาเกิดใหม่ข้างในครรภ์

ซึ่งถูกแบ่งภาคออกมาเป็นคลื่นพลังงาน 189 กลุ่ม

เพื่อทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณขณะมีชีวิตเป็นมนุษย์

มารดากับบิดาและจิตวิญญาณตนร่วมหมุนธรรมจักร

โดยร่วมฟูมฟักด้วยความรักเพื่อให้เหมือนการฟักไข่

เริ่มจากมิติศูนย์คือเป็นอนัตตาที่ยังไม่มีรูปธรรมอะไร

จนกลายเป็นกล่องพลังงานที่มีอัตตาตัวตนได้ 3 มิติ

คือเป็นกล่องพลังงานทรงเรขาคณิต 3 เหลี่ยมมุม

ซึ่งเป็นตัวเต็มวัยของทารกผู้ปฏิสนธิในครรภ์มารดา

ที่พร้อมจะคลอดออกมาจากครรภ์แม่ได้แล้วนั่นเอง

 

โดยจิตหยาบที่ถูกฟูมฟักด้วยความรักบริสุทธิ์

พัฒนาจากการเป็นอนัตตาขึ้นมาเป็นสามเหลี่ยมมุมนี้

มายาของเปลือกนอกที่เป็นกายสังขารที่คุณเห็นนั้น

จะเป็นตัวตนทารกน้อยที่มีความกว้างยาวและหนา

จนมีพัฒนาการครบถ้วนรวมเป็นสามมิติเช่นเดียวกัน

ผู้มาเกิดใหม่ใครก็ตามมิใช่จำเพาะพระเยซูเท่านั้น

ต่างจึงล้วนต้องผ่านกระบวนการแบบที่ว่านี้ทั้งสิ้น

 

ดังนั้น

ที่เชื่อกันมาว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว 3 วัน

จะทรงฟื้นคืนชีพขึ้นมาเหมือนพระศพมีชีวิตได้อีกนั้น

จึงเป็นความเชื่อของมนุษย์มิใช่ความจริงของพระเจ้า

 

#ความเชื่อตอนที่ห้า

นอกจากไข่อีสเตอร์แล้วกระต่ายอีสเตอร์

คือ Easter Rabbits ก็เป็นอีกหนึ่งในสัญลักษณ์

ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของเทศกาลอีสเตอร์เช่นกัน

ยังคงไม่ได้รับการยืนยันที่ชัดเจนว่าเป็นมาอย่างไร

แต่เชื่อว่ากระต่ายอีสเตอร์นี้เกิดมาจากตัวละคร

จากนิทานพื้นบ้านสำหรับเด็กๆชาวเยอรมัน

 

เป็นนิทานเล่าเรื่องของกระต่ายที่แอบนำไข่หลากสี

ซึ่งทำจากช็อคโกแลตที่เด็กๆชอบทานมาซ่อนไว้

เด็กคนไหนเป็นเด็กดีก็จะหาไข่ที่กระต่ายซ่อนไว้เจอ

โดยเด็กๆจะค้นหามาทานกันในวันอาทิตย์อีสเตอร์นี้

นี่เป็นนิทานที่ทำให้เด็กเชื่อกันสืบมา

แต่ความจริงของพระเจ้านั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งคือ

 

กระต่ายเมื่อพระเจ้าแรกสร้างนั้นจะมีขนสีขาวนวล

ไม่ต่างจากดอกไม้ชนิดแรกบนโลกคือดอกบัวหลวง

ซึ่งมีสีขาวอันหมายถึงความบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน

พระเจ้าทรงสร้างทั้งสองสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นสีขาวได้

โดยไม่ต้องทรง “กำหนดสร้าง” ไม่ต้องกำหนดสีให้

เพราะพระองค์ทรงเป็นมหาสุญตาพระจิตจึงบริสุทธิ์

เมื่อพระจิตพระองค์บริสุทธิ์สิ่งที่สร้างจะบริสุทธิ์เสมอ

เมื่อพระจิตพระองค์สมดุลสิ่งที่สร้างก็จะสมดุลเช่นกัน

 

ส่วนความจริงเรื่องของกระต่ายอีสเตอร์ก็คือ

เพราะว่ากระต่ายออกลูกง่ายออกลูกบ่อยและมีลูกดก

เป็นนัยความหมายให้รู้ว่าจิตวิญญาณของผู้มาเกิดนั้น

เป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ผุดผ่องเพราะมาจากพระเจ้า

การมีลูกดกหมายถึงการอาสามาเกิดเป็นจำนวนมาก

ที่ทรงเลือกใช้กระต่ายเป็นต้นเรื่องในการเปรียบเทียบ

เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ประจำโลกชนิดแรกที่ทรงสร้าง

จึงอนุมานว่ากระต่ายเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่

ตามความเชื่อของพวกคุณในปัจจุบันนี้ก็พอได้อยู่

 

พวกคุณเห็นแล้วหรือยังว่า

#ความเชื่อกับความจริงนั้นบางสิ่งมันไม่เหมือนกัน

#ความเชื่อกับความจริงนั้นบางสิ่งก็ไม่ถูกต้อง

 

คุณเคยได้ยินบ้างหรือไม่ว่า

ความไม่ถูกต้องตรงจริงมาจากคนนำทางตาบอด

คนนำทางตาบอดผิดพลาดเพราะขาดสติปัญญา

คนนำทางตาดีกล่าวพระวจนะเอาไว้ดีแล้วชอบแล้ว

แต่ถูกคนนำทางตาบอดพาหลงทำหลงทางไปก็มี

โลกนี้จึงเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนมากยิ่งขึ้น

พระเจ้าจึงต้องทรงชำระโลกก่อนวันสิ้นยุคอีกแล้ว

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

31/03/2567