#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
วันนี้คือวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ถัดจากวันศุกร์
ซึ่งเป็นวันสำคัญสำหรับชาวคริสต์อีกวันหนึ่ง
ในเทศกาล
#มหาพรต ที่เกี่ยวกับพระคริสต์
โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาเป็นวันระลึกถึงการทรมาน
จากการที่ทรงต้องถูกตรึงไว้บนไม้กางแขน
ต้องทรงแบกและทรงถูกแขวนจนสิ้นพระชนม์
เรากล่าวต่อพวกคุณไว้แล้วว่า
ความเชื่อกับความจริงหลายๆสิ่งหลายเรื่องราวนั้น
ในทางศาสนาคุณจะต้องใช้สติปัญญาพิจารณา
ทำการกลั่นกรองให้ถ่องแท้กันอีกหลายๆรอบ
เพื่อให้ได้คำตอบที่เป็นจริงอย่างถูกตรงให้จงได้
แม้กระทั่งความเชื่อในเทศกาลมหาพรตนี้ก็เช่นกัน
เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า
เมื่อวานนี้เป็นวันศุกร์เป็นวันที่พี่น้องชาวคริสต์
ระลึกถึงพระทรมานของพระคริสต์
ที่ทรงถูกตรึงไว้บนไม้กางแขนเพื่อช่วยไถ่บาป
ด้วยการแบกบาปแบกทุกข์ของมวลมนุษย์โลกไว้
ตามความเชื่อของคนนำทางที่ชี้นำพวกคุณมา
ซึ่งเรากล่าวความจริงในพระนามพระบิดาให้รู้แล้วว่า
ไม่มีใครหรือผู้ใดจะแบกบาปรับทุกข์แทนใครได้
หรือไม่มีผู้ใดจะตายแทนใครได้นั่นเอง
บทนี้เราจะขอกล่าวต่อเรื่อง
#การไถ่บาป อีกว่า
คำว่า
“ไถ่บาป” นี้ความหมายที่แท้จริงแล้ว
มิได้หมายถึงการรับบาปโทษหรือรับทุกข์แทน
แต่การไถ่บาปคือการเป็นพระผู้สอนให้มนุษย์รู้ดีรู้ชั่ว
เป็นพระผู้สอนให้มนุษย์รู้สำนึกในบาปบุญคุณโทษ
เมื่อมนุษย์รู้ความจริงแล้วจะได้ไม่ทำผิดบาปนั้นอีก
นี่จึงเป็นความหมายที่ถูกต้องของการไถ่บาปที่ว่านี้
ดังนั้น
ในเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ของการถือศีลมหาพรตนั้น
ความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้ถ้าคุณเข้าถึงความจริง
โดยเฉพาะการเข้าใจนัยความหมายของวันศุกร์ว่า
เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนมชีพของพระศาสดา
ซึ่งมนุษย์โลกทุกคนต่างต้องเผชิญด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเสียชีวิตแบบไหนใครๆก็ต้องตาย
ไม่มีผู้ใดมีอายุขัยยืนยาวจนหยัดยืนอยู่ค้ำฟ้าได้
เมื่อผ่านวันสิ้นพระชนม์ไปแล้ว
พี่ๆน้องๆที่รักและศรัทธาในพระคริสต์ทั้งหลาย
ต่างก็ได้เฝ้ารอคอยการฟิ้นคืนพระชนมชีพ
โดยต่าง
“เชื่อกันสนิทใจว่า” พระศพที่ฝังอยู่ในคูหา
จะกลับคืนพระชนมชีพขึ้นมาได้อีกครั้ง
พระบิดาทรงมีบัญชาให้เรากล่าว
“ความจริง” ว่า
จิตวิญญาณของคุณทุกคนที่เป็นมนุษย์โลกนั้น
ต่างต้องตายไปในภพชาตินี้ตาม
“กฎแห่งกรรม”
ไม่ว่าจะตายดีหรือตายร้ายคือตายแบบไม่ค่อยดี
การตายแบบไม่ค่อยดีคือต้องทุกข์ทรมานก่อนตาย
การตายดีคือนอนหลับเป็นตายหรือตายตาหลับ
หากจิตวิญญาณของคนผู้นั้นยังอยู่ใต้กฎแห่งกรรม
เพราะจิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณมิได้
ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นเจ้าเป็นนายหรือว่าเป็นพระบุตรเอก
จักต้องเผชิญกับความตายด้วยกันทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง
ความเชื่อเรื่องการฟื้นคืนพระชนมชีพของพระองค์
ที่ทำให้ศิษย์และสาวกผู้รักและศรัทธาพระองค์อยู่
ต่างเฝ้ารอคอยการเสด็จออกมาจากคูหาดังกล่าว
โดยคำว่า
“คูหา” นั้นหมายถึงสถานที่ลับเฉพาะ
มีลักษณะเป็นแบบใดเร้นอยู่ที่ไหนก็ไม่อาจรู้เห็นได้
ทุกคนเชื่อว่าพระศพในคูหาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
แต่พระบิดาทรงมีบัญชาให้เรากล่าวความจริงให้รู้ว่า
แท้แล้วผู้สิ้นพระชนม์คือ
“พระจิตวิญญาณบริสุทธิ”
ผู้จะฟื้นคืนพระชนมชีพก็คือพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
นัยความหมายแท้จริงก็คือการเสด็จกลับมาจุติใหม่
ของพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์รูปธรรมเดิมในชาติใหม่
โดยจะเสด็จกลับมาจุติใหม่นั้นอีกนานสักเท่าใดก็ไม่รู้
แต่มิใช่แค่สองสามวันหลังสิ้นพระชนม์แน่นอน
เหตุที่กำหนดไว้โดยนับเป็นจำนวนวันได้เพื่อยืนยันว่า
พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์นั้นจะเสด็จกลับมาจุติแน่นอน
นี่จึงเป็นนัย
“ความจริง” เรื่อง #การตายแล้วเกิดใหม่
ซึ่งเป็นคนละอย่างกันกับความเชื่อของใครหลายคน
พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ปัสกาที่ศักดิ์สิทธิ์
เรียกว่า
#วันอีสเตอร์ (Easter Day)
เป็นวันสุดท้ายใน
40
วัน ของเทศกาลมหาพรต
ซึ่งเรามีทั้งความเชื่อของพวกคุณมาจากอดีต
และความจริงของพระเจ้าที่เราจะกล่าวให้คุณรู้
ในบทต่อไปขอเชิญติดตามต่อกันได้
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
30/03/2567