#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าคุณปรารถนาจะเป็นคนชอบธรรมที่แท้จริง
คุณจะต้องหมุนธรรมจักรร่วมกับทุกคนให้จงได้
โดยใช้จิตสามนึกให้ได้ใช้ให้เป็นและใช้ให้ถูกต้อง
คำว่า
“จิตสามนึก” หมายถึง
จิตที่ทำหน้าที่สำคัญ
3 อย่าง คือ
โดยนึกออกก็คือนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้
หรือจำเรื่องราวบางสิ่งในอดีตที่ผ่านมาแล้วได้
นึกเอาก็คือการผุดขึ้นมาของบางสิ่งที่ในจิต
โดยมีตัวกระตุ้นต่อมคิดเป็นเหตุแห่งการนึกนั้น
ไม่ต่างจากดอกบัวที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นมาให้เห็นเหนือน้ำ
ซึ่งกอบัวนั้นเดิมอยู่ใต้น้ำไม่อาจจะมองเห็นได้
ไม่ต่างจากการ
“นึกเอา” ของคุณนั่นแหละ
ถ้าคุณไม่แสดงมันออกมาให้คนรอบข้างรู้
สิ่งที่คุณนึกเอานั้นก็จะจมอยู่ในจิตคุณดั่งบัวใต้น้ำ
เมื่อคุณเปิดเผยมันออกมานั่นแหละคนอื่นจึงจะรู้
โดยที่พวกเขาทั้งหลายและตัวคุณเองต่างก็ไม่รู้ว่า
สิ่งที่คุณนึกเอามาได้นั้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไร
ส่วนใหญ่คุณจะนึกถึงสิ่งนั้นเรื่องนั้นขึ้นมาลอยๆ
นึกถึงสิ่งนั้นเรื่องนั้นได้แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ถ้าสิ่งที่คุณนึกเอามานั้นเป็นเรื่องใหม่สิ่งใหม่
โดยที่ไม่มีใครบนโลกนี้เขานึกกันได้มาก่อนเลย
หากสิ่งนั้นเป็นเรื่องดีและมีประโยชน์แล้วละก็
พวกคุณจะเรียกกันว่า
#ความคิดสร้างสรรค์
ถ้านำความคิดสร้างสรรค์นั้นมาทำให้เป็นรูปธรรม
พวกคุณก็จะเรียกสิ่งสร้างสรรค์นั้นว่า
#นวัตกรรม
ส่วนการ
“นึกเอง” นั้นหมายถึง
การที่คุณไปนึกคิดแทนคนอื่นเขาเข้า
จากการ
“เดาใจ” หรือ “อ่านพฤติกรรม” คนอื่น
แล้วทึกทักสรุปเอาเองว่าเขาคนนั้น
ต้องนึกต้องคิดแบบที่คุณทึกทักเอาเองนั้นแน่ๆ
ซึ่งเป็นลักษณะของการ
“ประเมิน” หรือคาดการณ์
โดยโอกาสจะคาดผิดคิดผิดเดาผิดนั้นมีสูงมาก
ถ้าคุณไม่ใช่นักพฤติกรรมหรือนักจิตวิทยาแล้ว
คุณจะต้องไม่นึกคิดแทนคนอื่นหรือเดาเด็ดขาด
คุณจะต้องรู้ว่า
“จิตทั้งสามนึก” นี้นั้น
เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่พระเจ้าทรงติดตั้งไว้ให้
โดยจิตวิญญาณคุณแวะรับมันมาจากด่านนภาลัย
เพื่อให้
“จิตหยาบ” ได้ใช้ขณะมีภพชาติเป็นมนุษย์
ซึ่งต้องแวะด่านนภาลัยเพื่อส่งคืนอีกครั้ง
เมื่อจิตวิญญาณคุณบรรลุภารกิจในการมาเกิด
ก่อนที่จะหลุดพ้นออกไปจากเอกภพเพื่อกลับบ้าน
ที่จิตวิญญาณหรือตัวตนแก่นแท้ของคุณเองจากมา
จิตทั้งสามนึกหรือ
“จิตสามนึก” ดังกล่าวนี้
เป็นเครื่องมือที่จิตหยาบใช้ขับเคลื่อนพฤติกรรม
ในนามของจิตวิญญาณแก่นแท้ของคุณเอง
ขณะได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็น
“คนสองมิติ”
เพื่อใช้ในการคนตนเองให้เป็นมนุษย์ให้จงได้
ซึ่งหมายถึงใช้ความรักเพื่อให้หมุนธรรมจักรนั่นเอง
พวกคุณจึงต้องรู้ไว้ด้วยว่า
เพราะจิตสามนึกนั้นมีอยู่ด้วยกัน
2 ประเภท คือ
ประเภทแรก
คือ “จิตรู้สำนึก”
ประเภทที่สอง
คือ “จิตไร้สำนึก”
จิตรู้สำนึก
คือ จิตที่ใสบริสุทธิ์
เป็นจิตที่ปราศจากกิเลสตัณหาอารมณ์ขยะทั้งปวง
ซึ่งคุณจะมีคุณสมบัติของจิตแบบที่ว่านี้ได้นั้น
คุณจะต้องสามารถ
“นิพพานกิเลส” ให้ได้ก่อน
โดยต้องครอง
#มหาสติ หรือ #ธรรมชาติสมาธิ
ตาม
#มรรควิถีจิตจักรวาล เอาไว้ให้ได้ในยามตื่น
คุณจึงจะ
“ดับการเกิดๆดับๆ” ของกิเลสทั้งปวงได้
หากจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของคุณ
สามารถดับการเกิดดับของกิเลสอย่างสิ้นเชิงได้
คุณก็จะมีสภาวะจิตที่ว่างจิตคุณจะมีพลังฌานสูง
คุณจะเข้าถึงพลังอำนาจแห่งรักและปัญญาได้สูง
เนื่องจากไม่มีกิเลสมารคอยเป็นอุปสรรคขวางกั้น
เพราะจิตมนุษย์นั้นจะทำหน้าที่ให้คุณได้ทีละอย่าง
ไม่อาจสั่นสะเทือนพร้อมกันทีละหลายๆอย่างได้
โดยจะนึกเพื่อคิดได้ทีละเรื่อง
จะเกิดอารมณ์และรู้สึกได้ทีละอย่างเท่านั้น
ถ้าจะเข้าถึงความรักของจิตและปัญญาของสมอง
เพื่อสั่นสะเทือนขันธ์ห้าในการหมุนธรรมจักรแล้ว
คุณต้องใช้
“จิตรู้สำนึก” สั่นสะเทือนจิตทั้งสามนึก
เพื่อสั่นสะเทือนเป็นพฤติกรรมภายในคือมโนกรรม
แล้วขับเคลื่อนออกมาเป็นวจีกรรมและกายกรรม
ซึ่งเป็นพฤติกรรมด้านบวกในมิติคู่ขนานกันให้ได้
จึงจะทำให้คุณกับคนรอบข้างของคุณทุกๆคน
สามารถหมุนธรรมจักรร่วมกันจนเป็นผลสำเร็จได้
จิตสามนึกประเภทที่สอง
คือ “จิตไร้สำนึก”
หมายถึง
จิตที่ถูกครอบงำเอาไว้ด้วย #กองกิเลส
โดยกองกิเลสนี้หมายถึง
ตัณหา ราคะ อารมณ์ขยะ
ซึ่งเป็นสาเหตุให้จิตหยาบเป็นจิตที่ไม่สงบระงับ
เป็นจิตหยาบที่จะสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่ต่ำๆ
มีพลังอำนาจของฌานและญาณอยู่ในระดับต่ำมาก
ไม่อาจสั่นสะเทือนขันธ์ห้าเพื่อจิตหยาบและโลกได้
ความหมายก็คือ
ไม่อาจยกระดับจิตหยาบให้มีมิติสูงขึ้นถีง
5-6D
ได้
จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะหลุดพ้นไม่ได้
ทั้งผลิตพลังงานสะอาดช่วยค้ำจุนสมดุลโลกก็ไม่ได้
แถมสร้างพลังงานสกปรกเป็นเมฆดำรกโลกอีกด้วย
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
25/03/2567