26 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 26/03/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

เมื่อคุณได้รู้กันแล้วว่า “จิตสามนึก” หมายถึง

จิตสามตัวที่ทำหน้าที่ นึกออก นึกเอาและนึกเอง

ซึ่งเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนพฤติกรรมมนุษย์นั้น

แบ่งออกได้เป็น 2 แบบก็คือ

 

แบบแรก

เป็น #จิตรู้สำนึก ที่ใช้ในการหมุน “ธรรมจักร”

 

แบบที่สอง

เป็น #จิตไร้สำนึก ที่ใช้ในการหมุน “กรรมจักร”

จนยังผลให้คุณต้องตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรม

นั่นคือจิตวิญญาณคุณ #ต้องตาย หรือมีชาติภพ

 

จิตวิญญาณ #ต้องมีสังสารวัฏ คือเวียนตายเวียนเกิด

ทั้งใน #ภพภูมิโลก เพื่อรับโอกาสกลับมาแก้ไขใหม่

ให้มีความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณกันต่อไปให้จงได้

 

ต้องไปเกิดใน #นรกภูมิ

เพื่อสร้างสติทางจิตวิญญาณจากอาการหลงมิติ

เพราะจิตหยาบพาหลงมิติจนเสพติดกิเลสหนาเตอะ

โดยให้ทีมงานท่านพญายมช่วยพยาบาลรักษาให้

ด้วยกระบวนการ “ไซโคโชว์” ในมุมกลับ

ในลักษณะการ “ทำทุกข์” เพื่อให้เกิดความเจ็บปวด

โดยใช้ความเจ็บปวดทรมานนั้นกระชากจิตสามนึก

เพื่อระลึกให้ได้ว่าตนทำผิดอะไรมาจึงต้องรับทุกข์นั้น

ถ้าสำนึกได้ถูกต้องการทำทุกข์นั้นก็จะยุติลงทันที

แปลว่าจิตวิญญาณนั้นหายป่วยด้วยสำนึกบกพร่อง

สำหรับกรณีบาปกรรมดังกล่าวนั้นเรียบร้อยแล้ว

 

จิตวิญญาณของพวกคุณจะถูกส่งลงไปในนรกภูมิ

เพื่อกระชากจิตสามนึกที่บกพร่องผิดพลาดกันทุกคน

โดยจะเรียงลำดับกรรมจากกรณีเบาๆลงไปหาหนัก

ด้วยการตกนรกขุมตื้นๆก่อนจึงค่อยลงขุมที่ลึกกว่า

แต่ถ้าตกนรกขุมที่ลึกกว่า 13 คือ 14 จนถึง 16 แล้ว

จิตวิญญาณรูปธรรมนั้นจะหมดโอกาสกลับขึ้นมา

เพื่อรับโอกาสให้เกิดเป็นมนุษย์อีกถือเป็นกรรมหนัก

จักต้องรับทุกข์ทรมานอยู่ในนั้นอย่างไม่รู้สิ้นสุดวาระ

ที่พวกคุณเรียกกันว่า “ตกนรกหมกไหม้” นั่นแหละ

 

นรกตั้งแต่ขุมที่ 13 ลงไปจนถึงขุมที่ 16 นั้น

จิตวิญญาณที่อยู่ในนั้นจะเป็นนักบวชในทุกศาสนา

ที่สอนธรรมะชาวบ้านแบบผิดๆเพราะอวดอุตริบ้าง

โดยเอาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นำปัญญาหาธรรมะไม่มี

เพราะรู้ไม่จริงบ้างเพราะกล่าวผิดหรือบิดเบือนบ้าง

ซึ่งมักจะเป็นพวกคนนำทางตาบอดกรรมกรของมาร

ที่ชักพาชาวบ้านหลงทางนิพพานแบบตาลยอดด้วน

ทั้งยังประพฤติตนแบบมือถือสากขณะที่ปากถือศีล

ไม่อาจทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีงามให้แก่ชาวบ้านได้

 

นอกจากนั้นก็จะเป็นจิตวิญญาณของประดาเจ้าลัทธิ

ที่ขายความเชื่อของตนโดยจูงใจให้คนอื่นเชื่อตาม

ซึ่งนับวันจะทวีจำนวนเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆแล้ว

เนื่องจากได้เวลาที่จิตวิญญาณจำพวกผีโสโครก

กับประดามอดตัวเป็นๆที่แฝงเร้นกันอยู่ในระบบโลก

ได้ลุกขึ้นมาจับมือกันสะสมกรรมกรแสงของพวกตน

ให้สนับสนุนภารกิจสุดท้ายของตนเพื่อความอยู่รอด

จากปฏิบัติการชำระโลกของพระเจ้าที่เข้มข้นมากขึ้น

ซึ่งเป็นปฏิบัติการชำระโลกครั้งที่สี่ที่จะรุนแรงยิ่งกว่า

ปฏิบัติการน้ำท่วมโลกในยุคของโนอาห์หลายเท่านัก

 

เนื่องจากพวกคุณเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสองมิติ

โดยมีมิติแห่งเนื้อหนังเป็นมิติโลกทางกายภาพ

ซึ่งเป็นเครื่องหุ้มห่อแก่นแท้ในมิติทางพลังงาน

ที่เป็นจิตวิญญาณเอาไว้ภายในอีกทีหนึ่ง

โดยมีจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ที่เป็น “จิตสามนึก”

ทำหน้าที่สั่นสะเทือนทั้งสองมิติแทนจิตวิญญาณ

 

เมื่อใดที่คุณสั่นสะเทือนจิตสามนึกจนเกิดขันธ์ห้า

ไม่ว่าจะสั่นด้วยจิตไร้สำนึกเพื่อหมุน “กรรมจักร”

หรือสั่นด้วยจิตรู้สำนึกเพื่อหมุน “ธรรมจักร” ก็ตาม

จิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของพวกคุณทุกคน

จะมีกลไกสำคัญชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า #จิตใต้สำนึก

เฝ้าคอยทำหน้าที่สั่นสะเทือนตามจิตสามนึกเสมอ

เพื่อรับรู้การสั่นสะเทือนของจิตหยาบในมิติโลก

แล้วแปลงเป็นการสั่นสะเทือนในมิติของแก่นแท้ด้วย

ไม่ว่าจิตสามนึกนั้นจะสั่นสะเทือนเป็นลบหรือบวก

จิตใต้สำนึกจะมีหน้าที่สั่นสะเทือนตามอย่างเดียว

เพราะจิตใต้สำนึกนั้นนึกเองไม่เป็นสำนึกดีชั่วก็ไม่ได้

เนื่องจากพวกคุณถูกออกแบบให้เป็นคนสองมิติไว้

 

ปฏิบัติการในแบบคนสองมิติของพวกคุณนี้

มันจะเริ่มทำงานอย่างจริงจังเมื่อคุณอายุครบสามปี

ทันทีที่สมองซีกซ้ายเชื่อมต่อกันกับสมองซีกขวาแล้ว

โดยกฎแห่งกรรมของคุณจะเริ่มทำงานของมันทันที

และคุณสามารถจะก่อเวรกรรมกระทำผิดบาป

จนเกิดเป็นบุรพกรรมหรือเกิดเป็นวิบากกรรม

หรือว่าจะเกี่ยวกรรมกับมนุษย์คนอื่นๆได้เสมอ

ตั้งแต่คุณมีอายุขัยครบสามขวบปีขึ้นไปนั่นแหละ

 

คุณจะต้องจำเอาไว้ด้วยว่า

คุณมีหน้าที่สั่นสะเทือนจิตสามนึกด้วย “จิตรู้สำนึก”

ในรูปของความสงบและสั่นสะเทือนเป็นรักเพื่อให้

เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย เมตตา กรุณา มุทิตา

จนกระทั่งจิตสงบเป็นอุเบกขาคือเป็นบวกสูงสุดนั่น

เมื่อคนใกล้ตัวหรือใครก็ตามหยิบยื่นเงื่อนไขมาให้

เพื่อให้จิตใต้สำนึกสั่นสะเทือนด้านบวกเท่านั้น

เพราะนอกจากจะช่วยยกระดับจิตหยาบสู่มิติที่สูงขึ้น

โดยปลอดภัยจากกฎแห่งกรรมและการเกี่ยวกรรมได้

ยังจะช่วยเติมเต็มพลังทางจิตวิญญาณในส่วนที่ขาด

จากการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้องได้อีกด้วย

 

เป้าหมายหลักก็คือ

จิตหยาบต้องยกระดับจากมิติที่ 4 ถึงมิติที่ 6 ให้ได้

จิตหยาบจะต้องใช้ขันธ์ห้าผลิตพลังงานด้านบวก

ช่วยค้ำจุนสมดุลโลกให้ยั่งยืนตลอดกาลให้ได้ด้วย

และต้องช่วยเติมเติมเต็มพลังอำนาจของจิตใต้สำนึก

ส่วนที่เป็นพลังจิตวิญญาณเอาไว้ให้สมดุลอยู่เสมอ

เพราะพลังอำนาจของจิตใต้สำนึกของคุณนี้

จะเป็นพลังงานชั้นนอกสุดของจิตวิญญาณ

ที่เรียกว่า “เมอร์คขะบาห์” ผู้ทำหน้าที่เป็นเปลือกไข่

ที่คอยหุ้มห่อพระพี่เลี้ยงหรือแม่นมของจิตวิญญาณ

ผู้ทำหน้าที่เป็นไข่ขาวหุ้มห่อไข่แดงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง

โดยเมอร์คขะบาห์จะเป็นพาหนะของจิตวิญญาณ

ซึ่งจะใช้พลังดีดตนเองออกไปยังจุดหมายที่จะไป

ด้วยความเร็วในแบบ “อัตราเร่ง” ยิ่งไกลยิ่งไปไว

 

ถ้าเป็นรูปธรรมจิตวิญญาณขณะอิสระอยู่ในระบบโลก

จะเคลื่อนที่เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางนั้นๆ

ด้วยความเร็วแสงที่เปลี่ยนค่าเป็นสองเท่าในทุกวินาที

แต่ถ้าเป็นพลังจิตใต้สำนึกขณะมีสังขารเป็นคนสองมิติ

พลังจิตที่ว่างจากกิเลสจะเดินทางไปยังเป้าหมาย

ด้วยอัตราเร็วที่เป็นอัตราเร่งได้เท่ากันกับที่กล่าวนั้น

 

พลังจิตใต้สำนึกของพวกคุณแต่ละคน

นอกจากจะทำหน้าที่ในการสื่อสารทางจิตของคุณ

ระหว่างคุณกับเพื่อนมนุษย์หรือสัตว์ประจำโลก

ระหว่างคุณที่เป็นมนุษย์กับจิตวิญญาณที่ล่องลอยอยู่

ระหว่างคุณกับพวกที่มีชีวิตในต่างดาวทั่วจักรวาล

จะเป็นการสื่อสารทางจิตในระบบจิตสู่จิตแนวระนาบ

เรียกว่า Horizontal Telepathy เหมือนกันทั้งสิ้น

โดยทุกคนจะสื่อสารระบบนี้ได้ตามธรรมชาติอยู่แล้ว

แต่จะรับรู้กันได้หรือไม่ได้ก็ต้องฝึกฝนฝึกสื่อกันด้วย

 

ตัวอย่างเช่น

พ่อแม่ลูกหลานญาติพี่น้องที่เป็นสายเลือดเดียวกัน

จะมีพลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์ใกล้เคียงกันอยู่

พวกคุณจะรับรู้แรงสั่นสะเทือนถึงกันและกันได้ดีมาก

จิตวิญญาณพวกคุณจะเหนี่ยวรั้งกันไว้ด้วยพลังแห่งรัก

ความเป็นครอบครัวสามีภรรยาพ่อแม่ลูกหลานบริวาร

จะคงมั่นนิรันดรได้อย่างยั่งยืนยาวนานสักแค่ไหน

ก็ขึ้นอยู่กับการเหนี่ยวรั้งด้วยพลังเมอร์คขะบาห์ทั้งสิ้น

ถ้าสองคนผัวเมียแม้จะยังรักกันดีอยู่เหมือนเดิม

แต่ถ้าใครคนใดคนหนึ่งมีพลังทางจิตวิญญาณเสื่อมลง

ความเป็นผัวเมียกันก็จะระหองระแหงมีปัญหาเสมอ

ในที่สุดอาจถึงขั้น “บ้านแตกสาแหรกขาด” ได้เลย

 

สังคมมนุษย์ในยุคนี้

จะมีครอบครัวผัวเมียที่หย่าร้างกันสูงมาก

มีครอบครัวที่ทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันเพิ่มขึ้น

จนไม่อาจกัดกินก้อนเกลือทนลำบากไปด้วยกันได้

ก็เป็นเพราะพลังเมอร์คขะบาห์ถดถอยน้อยลงนั่นเอง

 

สาเหตุที่พลังน้อยลงมีดังนี้

 

1.ไม่หมุนธรรมจักรแต่หมุนกรรมจักรอยู่เป็นประจำ

2.ครอบครัวพ่อแม่ลูกไม่รักกันไม่เสริมแรงกัน

ลูกหลานไม่กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า

 

3.เสพติดกิเลสเสียจนเคยตัว

ทำให้จิตวิญญาณของตนเกิดการหลงมิติอยู่ซ้ำซาก

ยังผลให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดนับภพชาติไม่ถ้วน

 

4.ใครบางคนฝักใฝ่แต่อุตริอวิชาแนว “มู”

ซึ่งเป็นวิชามารของพวกผีโสโครกเสียจนงมงาย

ยิ่งใช้ยิ่งทำให้พลังจิตวิญญาณเสื่อมลงไปเรื่อยๆ

เพราะใช้จิตใต้สำนึกด้วยจิตไร้สำนึกแทนจิตรู้สำนึก

จนเป็นเหตุให้จิตวิญญาณคือเมอร์คขะบาห์มีรูรั่ว

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

26/03/2567