#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อคุณได้รู้กันแล้วว่า
“จิตสามนึก” หมายถึง
จิตสามตัวที่ทำหน้าที่
นึกออก นึกเอาและนึกเอง
ซึ่งเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนพฤติกรรมมนุษย์นั้น
แบ่งออกได้เป็น
2 แบบก็คือ
แบบแรก
เป็น
#จิตรู้สำนึก ที่ใช้ในการหมุน “ธรรมจักร”
แบบที่สอง
เป็น
#จิตไร้สำนึก ที่ใช้ในการหมุน “กรรมจักร”
จนยังผลให้คุณต้องตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรม
นั่นคือจิตวิญญาณคุณ
#ต้องตาย หรือมีชาติภพ
จิตวิญญาณ
#ต้องมีสังสารวัฏ คือเวียนตายเวียนเกิด
ทั้งใน
#ภพภูมิโลก เพื่อรับโอกาสกลับมาแก้ไขใหม่
ให้มีความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณกันต่อไปให้จงได้
ต้องไปเกิดใน
#นรกภูมิ
เพื่อสร้างสติทางจิตวิญญาณจากอาการหลงมิติ
เพราะจิตหยาบพาหลงมิติจนเสพติดกิเลสหนาเตอะ
โดยให้ทีมงานท่านพญายมช่วยพยาบาลรักษาให้
ด้วยกระบวนการ
“ไซโคโชว์” ในมุมกลับ
ในลักษณะการ
“ทำทุกข์” เพื่อให้เกิดความเจ็บปวด
โดยใช้ความเจ็บปวดทรมานนั้นกระชากจิตสามนึก
เพื่อระลึกให้ได้ว่าตนทำผิดอะไรมาจึงต้องรับทุกข์นั้น
ถ้าสำนึกได้ถูกต้องการทำทุกข์นั้นก็จะยุติลงทันที
แปลว่าจิตวิญญาณนั้นหายป่วยด้วยสำนึกบกพร่อง
สำหรับกรณีบาปกรรมดังกล่าวนั้นเรียบร้อยแล้ว
จิตวิญญาณของพวกคุณจะถูกส่งลงไปในนรกภูมิ
เพื่อกระชากจิตสามนึกที่บกพร่องผิดพลาดกันทุกคน
โดยจะเรียงลำดับกรรมจากกรณีเบาๆลงไปหาหนัก
ด้วยการตกนรกขุมตื้นๆก่อนจึงค่อยลงขุมที่ลึกกว่า
แต่ถ้าตกนรกขุมที่ลึกกว่า
13
คือ 14 จนถึง 16 แล้ว
จิตวิญญาณรูปธรรมนั้นจะหมดโอกาสกลับขึ้นมา
เพื่อรับโอกาสให้เกิดเป็นมนุษย์อีกถือเป็นกรรมหนัก
จักต้องรับทุกข์ทรมานอยู่ในนั้นอย่างไม่รู้สิ้นสุดวาระ
ที่พวกคุณเรียกกันว่า
“ตกนรกหมกไหม้” นั่นแหละ
นรกตั้งแต่ขุมที่
13
ลงไปจนถึงขุมที่ 16 นั้น
จิตวิญญาณที่อยู่ในนั้นจะเป็นนักบวชในทุกศาสนา
ที่สอนธรรมะชาวบ้านแบบผิดๆเพราะอวดอุตริบ้าง
โดยเอาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นำปัญญาหาธรรมะไม่มี
เพราะรู้ไม่จริงบ้างเพราะกล่าวผิดหรือบิดเบือนบ้าง
ซึ่งมักจะเป็นพวกคนนำทางตาบอดกรรมกรของมาร
ที่ชักพาชาวบ้านหลงทางนิพพานแบบตาลยอดด้วน
ทั้งยังประพฤติตนแบบมือถือสากขณะที่ปากถือศีล
ไม่อาจทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีงามให้แก่ชาวบ้านได้
นอกจากนั้นก็จะเป็นจิตวิญญาณของประดาเจ้าลัทธิ
ที่ขายความเชื่อของตนโดยจูงใจให้คนอื่นเชื่อตาม
ซึ่งนับวันจะทวีจำนวนเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆแล้ว
เนื่องจากได้เวลาที่จิตวิญญาณจำพวกผีโสโครก
กับประดามอดตัวเป็นๆที่แฝงเร้นกันอยู่ในระบบโลก
ได้ลุกขึ้นมาจับมือกันสะสมกรรมกรแสงของพวกตน
ให้สนับสนุนภารกิจสุดท้ายของตนเพื่อความอยู่รอด
จากปฏิบัติการชำระโลกของพระเจ้าที่เข้มข้นมากขึ้น
ซึ่งเป็นปฏิบัติการชำระโลกครั้งที่สี่ที่จะรุนแรงยิ่งกว่า
ปฏิบัติการน้ำท่วมโลกในยุคของโนอาห์หลายเท่านัก
เนื่องจากพวกคุณเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสองมิติ
โดยมีมิติแห่งเนื้อหนังเป็นมิติโลกทางกายภาพ
ซึ่งเป็นเครื่องหุ้มห่อแก่นแท้ในมิติทางพลังงาน
ที่เป็นจิตวิญญาณเอาไว้ภายในอีกทีหนึ่ง
โดยมีจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ที่เป็น
“จิตสามนึก”
ทำหน้าที่สั่นสะเทือนทั้งสองมิติแทนจิตวิญญาณ
เมื่อใดที่คุณสั่นสะเทือนจิตสามนึกจนเกิดขันธ์ห้า
ไม่ว่าจะสั่นด้วยจิตไร้สำนึกเพื่อหมุน
“กรรมจักร”
หรือสั่นด้วยจิตรู้สำนึกเพื่อหมุน
“ธรรมจักร” ก็ตาม
จิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของพวกคุณทุกคน
จะมีกลไกสำคัญชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า
#จิตใต้สำนึก
เฝ้าคอยทำหน้าที่สั่นสะเทือนตามจิตสามนึกเสมอ
เพื่อรับรู้การสั่นสะเทือนของจิตหยาบในมิติโลก
แล้วแปลงเป็นการสั่นสะเทือนในมิติของแก่นแท้ด้วย
ไม่ว่าจิตสามนึกนั้นจะสั่นสะเทือนเป็นลบหรือบวก
จิตใต้สำนึกจะมีหน้าที่สั่นสะเทือนตามอย่างเดียว
เพราะจิตใต้สำนึกนั้นนึกเองไม่เป็นสำนึกดีชั่วก็ไม่ได้
เนื่องจากพวกคุณถูกออกแบบให้เป็นคนสองมิติไว้
ปฏิบัติการในแบบคนสองมิติของพวกคุณนี้
มันจะเริ่มทำงานอย่างจริงจังเมื่อคุณอายุครบสามปี
ทันทีที่สมองซีกซ้ายเชื่อมต่อกันกับสมองซีกขวาแล้ว
โดยกฎแห่งกรรมของคุณจะเริ่มทำงานของมันทันที
และคุณสามารถจะก่อเวรกรรมกระทำผิดบาป
จนเกิดเป็นบุรพกรรมหรือเกิดเป็นวิบากกรรม
หรือว่าจะเกี่ยวกรรมกับมนุษย์คนอื่นๆได้เสมอ
ตั้งแต่คุณมีอายุขัยครบสามขวบปีขึ้นไปนั่นแหละ
คุณจะต้องจำเอาไว้ด้วยว่า
คุณมีหน้าที่สั่นสะเทือนจิตสามนึกด้วย
“จิตรู้สำนึก”
ในรูปของความสงบและสั่นสะเทือนเป็นรักเพื่อให้
เช่น
อดทน อดกลั้น ให้อภัย เมตตา กรุณา มุทิตา
จนกระทั่งจิตสงบเป็นอุเบกขาคือเป็นบวกสูงสุดนั่น
เมื่อคนใกล้ตัวหรือใครก็ตามหยิบยื่นเงื่อนไขมาให้
เพื่อให้จิตใต้สำนึกสั่นสะเทือนด้านบวกเท่านั้น
เพราะนอกจากจะช่วยยกระดับจิตหยาบสู่มิติที่สูงขึ้น
โดยปลอดภัยจากกฎแห่งกรรมและการเกี่ยวกรรมได้
ยังจะช่วยเติมเต็มพลังทางจิตวิญญาณในส่วนที่ขาด
จากการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้องได้อีกด้วย
เป้าหมายหลักก็คือ
จิตหยาบต้องยกระดับจากมิติที่
4 ถึงมิติที่ 6 ให้ได้
จิตหยาบจะต้องใช้ขันธ์ห้าผลิตพลังงานด้านบวก
ช่วยค้ำจุนสมดุลโลกให้ยั่งยืนตลอดกาลให้ได้ด้วย
และต้องช่วยเติมเติมเต็มพลังอำนาจของจิตใต้สำนึก
ส่วนที่เป็นพลังจิตวิญญาณเอาไว้ให้สมดุลอยู่เสมอ
เพราะพลังอำนาจของจิตใต้สำนึกของคุณนี้
จะเป็นพลังงานชั้นนอกสุดของจิตวิญญาณ
ที่เรียกว่า
“เมอร์คขะบาห์” ผู้ทำหน้าที่เป็นเปลือกไข่
ที่คอยหุ้มห่อพระพี่เลี้ยงหรือแม่นมของจิตวิญญาณ
ผู้ทำหน้าที่เป็นไข่ขาวหุ้มห่อไข่แดงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
โดยเมอร์คขะบาห์จะเป็นพาหนะของจิตวิญญาณ
ซึ่งจะใช้พลังดีดตนเองออกไปยังจุดหมายที่จะไป
ด้วยความเร็วในแบบ
“อัตราเร่ง” ยิ่งไกลยิ่งไปไว
ถ้าเป็นรูปธรรมจิตวิญญาณขณะอิสระอยู่ในระบบโลก
จะเคลื่อนที่เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางนั้นๆ
ด้วยความเร็วแสงที่เปลี่ยนค่าเป็นสองเท่าในทุกวินาที
แต่ถ้าเป็นพลังจิตใต้สำนึกขณะมีสังขารเป็นคนสองมิติ
พลังจิตที่ว่างจากกิเลสจะเดินทางไปยังเป้าหมาย
ด้วยอัตราเร็วที่เป็นอัตราเร่งได้เท่ากันกับที่กล่าวนั้น
พลังจิตใต้สำนึกของพวกคุณแต่ละคน
นอกจากจะทำหน้าที่ในการสื่อสารทางจิตของคุณ
ระหว่างคุณกับเพื่อนมนุษย์หรือสัตว์ประจำโลก
ระหว่างคุณที่เป็นมนุษย์กับจิตวิญญาณที่ล่องลอยอยู่
ระหว่างคุณกับพวกที่มีชีวิตในต่างดาวทั่วจักรวาล
จะเป็นการสื่อสารทางจิตในระบบจิตสู่จิตแนวระนาบ
เรียกว่า
Horizontal
Telepathy เหมือนกันทั้งสิ้น
โดยทุกคนจะสื่อสารระบบนี้ได้ตามธรรมชาติอยู่แล้ว
แต่จะรับรู้กันได้หรือไม่ได้ก็ต้องฝึกฝนฝึกสื่อกันด้วย
ตัวอย่างเช่น
พ่อแม่ลูกหลานญาติพี่น้องที่เป็นสายเลือดเดียวกัน
จะมีพลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์ใกล้เคียงกันอยู่
พวกคุณจะรับรู้แรงสั่นสะเทือนถึงกันและกันได้ดีมาก
จิตวิญญาณพวกคุณจะเหนี่ยวรั้งกันไว้ด้วยพลังแห่งรัก
ความเป็นครอบครัวสามีภรรยาพ่อแม่ลูกหลานบริวาร
จะคงมั่นนิรันดรได้อย่างยั่งยืนยาวนานสักแค่ไหน
ก็ขึ้นอยู่กับการเหนี่ยวรั้งด้วยพลังเมอร์คขะบาห์ทั้งสิ้น
ถ้าสองคนผัวเมียแม้จะยังรักกันดีอยู่เหมือนเดิม
แต่ถ้าใครคนใดคนหนึ่งมีพลังทางจิตวิญญาณเสื่อมลง
ความเป็นผัวเมียกันก็จะระหองระแหงมีปัญหาเสมอ
ในที่สุดอาจถึงขั้น
“บ้านแตกสาแหรกขาด” ได้เลย
สังคมมนุษย์ในยุคนี้
จะมีครอบครัวผัวเมียที่หย่าร้างกันสูงมาก
มีครอบครัวที่ทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันเพิ่มขึ้น
จนไม่อาจกัดกินก้อนเกลือทนลำบากไปด้วยกันได้
ก็เป็นเพราะพลังเมอร์คขะบาห์ถดถอยน้อยลงนั่นเอง
สาเหตุที่พลังน้อยลงมีดังนี้
1.ไม่หมุนธรรมจักรแต่หมุนกรรมจักรอยู่เป็นประจำ
2.ครอบครัวพ่อแม่ลูกไม่รักกันไม่เสริมแรงกัน
ลูกหลานไม่กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า
3.เสพติดกิเลสเสียจนเคยตัว
ทำให้จิตวิญญาณของตนเกิดการหลงมิติอยู่ซ้ำซาก
ยังผลให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดนับภพชาติไม่ถ้วน
4.ใครบางคนฝักใฝ่แต่อุตริอวิชาแนว “มู”
ซึ่งเป็นวิชามารของพวกผีโสโครกเสียจนงมงาย
ยิ่งใช้ยิ่งทำให้พลังจิตวิญญาณเสื่อมลงไปเรื่อยๆ
เพราะใช้จิตใต้สำนึกด้วยจิตไร้สำนึกแทนจิตรู้สำนึก
จนเป็นเหตุให้จิตวิญญาณคือเมอร์คขะบาห์มีรูรั่ว
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
26/03/2567