02 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 2/03/2567

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

วิธีที่ #องค์จิตจักรวาล ทรงกำหนดสร้างสิ่งต่างๆ

พระองค์จะทรงสร้างสิ่งนั้นไปตามที่ทรงกำหนดไว้

เนื่องจากพระองค์มีคุณสมบัติเป็น #มหาสุญตา

เพราะทรงมี #ต้นธาตุโดยรวมของแก่นแท้ของทุกสิ่ง

จึงทรงสามารถที่จะเป็น #พระผู้สร้าง อะไรขึ้นมาก็ได้

เพียงแค่ทรงกำหนดพระจิตเพื่อ “นึก” ถึงสิ่งนั้น

โดยทรงกำหนดคุณสมบัติของสิ่งนั้นในสองมิติเอาไว้

สิ่งที่ทรงกำหนดนึกนั้นก็จะปรากฏเกิดขึ้นมาทันที

กระบวนการสร้างที่ว่านี้ก็คือ #การเนรมิต นั่นเอง

 

ตัวอย่างเช่น

ทรงกำหนดนึกในพระจิตของพระองค์ว่า

ทรงต้องการจะให้มีอีกรูปธรรมหนึ่ง

ซึ่งรูปธรรมที่ว่านั้นมีตัวตนรูปลักษณ์และคุณสมบัติ

เป็นเช่นเดียวกันและเหมือนกันกับที่พระองค์เป็นอยู่

ทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงเนรมิตรูปธรรมใหม่ขึ้นมาได้

โดยรูปธรรมทางพลังงานที่ทรงสร้างใหม่ดังกล่าว

จะเป็นรูปธรรมทางพลังงานเหมือนกับพระองค์

 

สิ่งใหม่ที่ทรงเนรมิตสร้างหรือกำหนดสร้างนั้น

เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีรูปทรง 12 เหลี่ยมมุม

มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ดวงใหญ่อีกดวงหนึ่ง

เมื่อพระองค์ทรงสั่นสะเทือนเพื่อเปล่งสุรเสียงว่าอะไร

รูปธรรมที่สร้างใหม่ก็จะเปล่งสุรเสียงเช่นว่านั้นเช่นกัน

นี่จึงเป็นที่มาของประสบการณ์แรกในการสร้าง

ที่ทรงใช้เป็น “ต้นแบบ” ในการสร้างทุกสิ่งในจักรวาล

 

นั่นคือ

ทุกสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างต้องมี “เงา” เสมอ

โดยเงาที่ว่านี้มี 2 แบบ คือ “เงามายา” กับ “เงาเสียง”

ซึ่งเงามายาของสิ่งที่ทรงสร้างคือคุณสมบัติของสิ่งนั้น

ที่แก่นแท้ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เร้นอยู่ข้างใน

แสดงคุณสมบัติของตนออกมาให้ปรากฏภายนอก

เป็นตัวตนรูปลักษณ์ทั้งรูปธรรมรสชาติกลิ่นเสียงเป็นต้น

เพื่อบ่งบอกให้พวกคุณรู้ว่าตัวตนแก่นแท้คือสิ่งนั้น

มีคุณสมบัติจำเพาะตนเป็นอย่างที่พวกคุณสัมผัสรู้กันอยู่

 

ตัวอย่างการกำหนดสร้างของพระองค์อีกอย่างก็คือ #น้ำ

ทรงกำหนดสร้างน้ำขึ้นมาหลังจากทรงสร้างต้นไม้แล้ว

เพราะทรงพบว่าต้นไม้ของพระองค์พากันยืนต้น “ตาย”

แม้ในดินพระองค์จะทรงกำหนดสร้างแร่ธาตุอาหารไว้ให้

ปรากฏว่ารากของต้นไม้ทั้งหลายยังดูดรับแร่ธาตุนั้นไม่ได้

เนื่องจากแผ่นดินโลกของพระองค์ยังไม่มี “น้ำ” อยู่เลย

รากพืชจึงดูดซับรับเอาแร่ธาตุเข้าไปผลิตอาหารไม่ได้

เพราะแร่ธาตุในดินที่เข้มข้นกว่าซึมผ่านรากเข้าไปไม่ได้

 

พระองค์จึงต้องทรงออกแบบให้มีน้ำบนแผ่นดินโลก

เพื่อให้น้ำช่วยทำละลายแร่ธาตุในดินนั้นมีความเจือจาง

จะได้สามารถซึมผ่านเยื่อบางๆของรากของต้นไม้

ซึ่งภายในรากจะมีความเข้มข้นกว่าเพื่อดูดซับเข้าไปได้

อันเป็นที่มาของกระบวนการ #ออสโมซิส นั่นแหละ

 

สาระสำคัญที่ทรงกำหนดสร้างน้ำขึ้นมาก็คือ

1.ต้องการสร้างสิ่งที่เป็น “ของเหลว”

2.ให้เป็นของเหลวที่สามารถทำละลาย

แร่ธาตุในดินที่เข้มข้นให้เป็นสารละลายที่เจือจาง

เพื่อให้ต้นไม้ของพระองค์ดูดซับอาหารกันได้

 

3.ให้เป็นของเหลวที่สามารถเปลี่ยนสถานะได้

โดยเปลี่ยนจากน้ำที่เหลวๆไปเป็น “น้ำแข็ง” ได้

เมื่ออุณหภูมิเกิดการลดต่ำลงไปจากปกติ

เพื่อทำการอนุรักษ์น้ำบนโลกเอาไว้

 

4.ให้น้ำเปลี่ยนสถานะกลายเป็นไอได้เมื่อร้อนขึ้น

โดยไอน้ำที่ลอยสูงขึ้นให้รวมตัวกันเป็น “ก้อนเมฆ”

เมื่อ “ไอน้ำ” ลอยขึ้นไปสู่เบื้องสูงที่เย็นกว่าแล้ว

ก็ให้ “ไอน้ำ” นั้นเปลี่ยนสถานะด้วยการ “ควบแน่น”

กลายเป็น “น้ำฝน” ตกลงมายังพื้นโลกได้อีกครั้ง

เพื่อทำให้แผ่นดินโลกไม่แล้งน้ำนั่นเอง

 

ตัวอย่างทั้งสองที่เรายกมากล่าวแสดงนี้

จะเป็นตัวอย่างการ “กำหนดสร้าง” ของพระองค์

ซึ่งตรงกับความสามารถในการ “นึก” ของพวกคุณ

ที่ทรงให้จิตวิญญาณพวกคุณรับเอาคุณสมบัตินี้ไว้

จากการแวะที่วิหารสีขาวตรง #ด่านนภาลัย

เพื่อทำการวางแผนเขียนบทละครร่วมกันมาแสดง

เป็นครอบครัวผัวเมียลูกในชาติแรกที่ได้รับโอกาส

โดยทรงติดตั้งให้พวกคุณมี #จิตสามนึก

 

จิตสามนึก” ประกอบด้วย

 

1.นึกออกหรือ “นึกได้”

2.นึกเอาหรือ “นึกเพื่อคิด”

3.นึกเองหรือ “ทึกทักเอา”

 

เพราะพวกคุณมี #จิต ซึ่งทำหน้าที่ได้ทั้งสามนึก

มนุษย์โลกทุกคนจึงมี “จิตสามนึก” ให้ใช้งาน

เพื่อขับเคลื่อนพฤติกรรมของเครื่องยนต์แห่งกรรม

ทั้งพฤติกรรมภายในที่เป็นมโนกรรม

แล้วใช้มโนกรรมขับเคลื่อนกายกรรมกับวจีกรรม

ซึ่งเป็นพฤติกรรมภายนอกที่เป็นมายาชั่วคราวต่อไป

ตามคำกล่าวที่ว่า #จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว นั่นเอง

 

เพราะพวกคุณมีจิตสามนึกนี่แหละ

ถ้าคุณปล่อยให้มันทำหน้าที่อย่างไม่เป็นระบบ

คุณก็จะเกิดอาการเป็นคน “สารพัดนึก”

จนไม่อาจเข้าถึงพลังอำนาจทางปัญญาของสมองได้

เพราะเดี๋ยวนึกนั่นนึกโน่นนึกนี่ให้วุ่นวายสับสน

แถมยังมีทั้งนึกบวกนึกลบนึกให้นึกเอาในแต่ละนึกอีก

พระองค์ทรงสร้างให้จิตทำงานได้ทีละอย่าง

เมื่อเกิดความวุ่นวายสับสนก็ทำให้พลังจิตถดถอย

ความฉลาดทางจิตตปัญญาจึงถดถอยต้อยต่ำ

เพราะใช้จิตสามนึกที่มีอยู่ไม่ได้ใช้มันไม่เป็น

 

ดังนั้น

เมื่อพวกคุณบกพร่องด้านจิตสามนึก

จึงหมุนธรรมจักรในตนเองด้วยจิตตปัญญาไม่ได้

ชวนคนใกล้ตัวมาร่วมหมุนธรรมจักรด้วยกันไม่ได้

ใช้จิตตปัญญาในการคิดสร้างสรรค์ก็ไม่ได้

ใช้ปัญญาแก้ปัญหาบททดสอบจิตสามนึกก็ไม่เป็น

จนต้องตกเป็นทาสของกิเลสมารตลอดมา

ทำให้จิตวิญญาณตนต้องแบกเวรกรรมไว้ตลอด

เพราะสอบตกบททดสอบจึงต้องสอบตกซ้ำชั้น

หนีการเวียนว่ายตายเกิดไปไม่พ้น

 

พวกคุณจึงต้องฉลาดที่จะ #กำหนดนึก

ด้วยการไม่ปล่อยให้จิตสามนึกมันทำงานมั่วๆ

คุณต้องเป็นผู้กำหนดจิตในการนึกของคุณเสมอ

เช่น จะเลือกนึกออกก็คือนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา

หรือจะเลือกนึกเอาก็คือนึกเพื่อกำหนดให้สมองคิด

หรือจะเลือกนึกเองก็คือ “การคิดแทนคนอื่น”

ก็ให้เลือกที่จะนึกมันไปทีละอย่าง

คุณต้องจัดระเบียบการนึกของจิตให้ได้ก่อน

จะนึกแบบไหนก่อนหลังก็ต้องมีความชัดเจน

 

ที่สำคัญก็คือจงอย่านึกไปตามอารมณ์และกิเลส

เพราะมันจะเป็นเหตุให้จิตวิญญาณคุณ

ถ้าไม่ตกลงไปในบ่อย่ำองุ่นก็ตกลงไปในบึงไฟ

ไม่ว่าจะตกอะไรก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณทั้งสิ้น

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์


2/03/2567