#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
วันนี้คือวันศุกร์...
เป็นวันสำคัญสำหรับพี่น้องชาวคริสต์อีกวันหนึ่ง
เพราะเป็นวันระลึกถึงพระทรมานของพระคริสต์
ที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางแขนโดยเชื่อต่อกันมาว่า
พระองค์ทรงเสด็จมาจุติเพื่อ
“ไถ่บาป” ให้มนุษย์
การที่ทรงแบกไม้กางแขนของพระองค์
เชื่อกันมาว่าเป็นลักษณะของการ
#แบกบาป
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางแขนคือการ
#ไถ่บาป
อันเป็นบาปชั่วที่มนุษย์โลกทุกคนเป็นผู้ก่อไว้
โดยทรงรับความเจ็บปวดและทรมานนั้นไว้เอง
เพื่อช่วยให้ทุกคนไม่ต้องรับบาปรับทุกข์นั้น
พี่น้องแห่งเราทั้งหลายจำนวนมากเชื่อกันว่า
พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์เสด็จมาจุติ
เพื่อจะมารับบาปรับทุกข์และทรมานแทนชาวโลก
จึงหยิบเอาการถูกทำร้ายให้ต้องสิ้นพระชนมชีพ
ยกมาเชื่อมโยงกับแนวความเชื่อของตนตลอดมา
ทำให้ผู้คนที่เชื่อในพระบิดาผู้ศรัทธาในพระคริสต์
พากันคล้อยตามอย่างว่าง่าย
เนื่องจากหลังพระคริสต์สิ้นพระชนมชีพแล้ว
ยังไม่มีพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์รูปธรรมใด
ที่เสด็จเข้ามาจุติในระบบโลกในพระนามพระเจ้า
เพื่อทำหน้าที่
#พระบุตรเอก ของพระองค์ต่ออีก
จึงไม่มีผู้ใดสื่อสารกับพระเจ้าเหมือนพระคริสต์ได้
สิ่งที่เป็น
#ความเชื่อ ที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
จึงเป็นได้แค่ความเชื่อจากความรู้สึกที่มิใช่ความจริง
มนุษย์มีจิตสามนึกคือนึกออกนึกเอาและนึกเอง
ทุกคนจึงใช้จิตสามนึกขับเคลื่อนการคิดของตนได้
พวกผู้นำทางความคิดที่คนส่วนใหญ่เชื่อตามกันอยู่
จะใช้จิตสามนึกของตนชี้นำให้ผู้อื่นคล้อยตามเสมอ
ทุกยุคทุกสมัยเมื่อผู้นำว่าอย่างไรผู้ตามก็ว่าอย่างนั้น
ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำทางจิตวิญญาณก็เป็นแบบเดียวกัน
โดยเป็นมาในทุกยุคทุกสมัยไม่มีใครแปรเปลี่ยน
จึงยังผลให้ศาสนาใช้ศรัทธากับความเชื่อเป็นสำคัญ
ด้วยการเชื่อตามผู้นำทางของศาสนานั้นๆเป็นหลัก
ข้อเสียหายก็คือถ้าคนนำทางเหล่านั้นตาบอดเสียแล้ว
คนที่ก้าวตามก็หลับหูหลับตาเดินตามผู้นำตาบอดด้วย
มันจะไม่พากันเดินสะเปะสะปะสะดุดตกหกล้มได้ยังไง
สิ่งที่ขาดพร่องไปก็คือ
“ตาบอด”
คำว่าตาบอดหมายถึงขาดความฉลาดทางปัญญา
เพราะขาดการฉุกคิดด้วยหลักการและเหตุผล
จะเป็นเพราะคิดว่าจะไม่คิดหรือเพราะว่าคิดไม่เป็น
จึงต้องใช้
“ความเชื่อ” ในสารรูปหรือบุคลิกของผู้นำ
หรือตัดสินใจเชื่อในตัวตนของคนที่กล่าวจูงใจนั้น
แทนที่จะยึดถือเหตุผลในสิ่งที่เขากล่าวนั้นว่าจริงไหม
บางเรื่องที่สำคัญของศาสนาจึงใช้ความเชื่อนำปัญญา
ในวาระสำคัญของวันศุกร์นี้
เราจะขอกล่าวความจริงในอีกมุมหนึ่งของพระคริสต์
โดยกล่าวในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าต่อพวกคุณว่า
แม้พระคริสต์จะทรงรักเมตตาต่อมนุษย์มากแค่ไหน
แม้พระองค์จะทรงเป็นพระบุตรเอกของพระเจ้าก็ตาม
พวกคุณจงจำไว้เสมอว่าเมื่อเสด็จมาจุติในระบบโลก
พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสิทธิ์เป็นมนุษย์เช่นคุณ
จะทรงอยู่ภายใต้กฎจักรวาลทุกกฎเช่นเดียวกับคุณ
ไม่เว้นแม้แต่
“กฎแห่งกรรม” ที่พวกคุณเผชิญกันอยู่
พระองค์ไม่มีสิทธิพิเศษเป็น
“เด็กเส้น” ของพระเจ้า
ที่สามารถจะปฏิบัติตนนอกจารีตนอกกรอบอะไรได้
พระองค์จะต้องกินอยู่หลับนอนบนโลกเหมือนคนอื่นๆ
ยามหิวกระหายต้องทรงกินเองดื่มเองไม่กินไม่ดื่มมิได้
ถ้าทรงทำผิดก็จะได้รับโทษบาปตามกฎแห่งกรรมด้วย
พระศาสดาทุกศาสนาล้วนเป็นมนุษย์กันทุกพระองค์
จงอย่าได้คิดแบบจิตมนุษย์ว่าทรงเป็นผู้วิเศษเด็ดขาด
ดังนั้น
ความจริงที่เราจะกล่าวต่อไปนี้เกี่ยวกับพระคริสต์
เป็นความจริงของพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
ที่พระเจ้าทรงประทานอนุญาตให้เรากลับมากล่าว
เพื่อประกาศให้ชาวโลกทั้งหลายได้รู้ความจริงว่า
การยอมสละพระชนมชีพถูกตรึงบนไม้กางแขนนั้น
ก็เพื่อจะทรงสอนมนุษย์ว่าทุกคนต้องรักษาสัจจะ
โดยยอมเสียชีวิตแต่ต้องไม่ยอมเสียสัจจะเด็ดขาด
เพราะสัจจะสัญญานั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิต
เนื่องจากชีวิตที่เกิดมานั้นตายแล้วยังเกิดใหม่ได้
แต่สัจจะที่พวกคุณให้ไว้กับพระบิดาหรือพระเจ้า
ตั้งแต่ก่อนรับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติแรก
ที่เรียกว่า
#พันธะสัญญา รวม 6 ประการนั้น
เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วคุณจะละทิ้งสัจจะไม่ได้
พันธะสัญญา
6 ที่จิตวิญญาณคุณ
ได้ให้สัจจะไว้กับพระองค์ก็คือ
ถ้าทรงอนุญาตให้มาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้แล้ว
พวกคุณแต่ละคนจะปฏิบัติตนดังต่อไปนี้
1.จะมาทำหน้าที่เป็น #เพื่อนร่วมงานกับโลก
โดยจะอยู่ประจำที่โลกแห่งนี้ไม่มีการหนีไปอยู่ที่อื่น
ไม่ว่าจะตายจากโลกชั่วคราวหรือหายไปยาวนาน
ตลอด
6 หมื่นปีโลก คือ หนึ่งยุคพลังงานเก่า
การอยู่โยงและอยู่ยาวก็เพราะว่า
จิตวิญญาณถือภารกิจมาเกิดเป็นคนสองมิติ
เพื่อร่วมกันหมุนธรรมจักรด้วยเมตตาธรรมกับขันธ์ห้า
ผลิตสร้างพลังงานจิตค้ำจุนสมดุลโลกนั่นแหละ
เมื่อเป็นเพื่อนร่วมงานคุณก็จะทิ้งโลกไปที่อื่นไม่ได้
จะหนีไปอยู่สวรรค์มายาที่พระองค์มิได้สร้างก็ไม่ได้
คุณต้องถามตนเองว่าทำยังไงคุณจะไม่ต้องตาย
ที่คุณต้องตายหรืออายุขัยสั้นมันเป็นเพราะเหตุใด
นี่ก็เป็นการผิดสัจจะต่อพระองค์เป็นเรื่องแรกแล้ว
2.จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่น
หมายถึงคุณจะทำตนให้เป็นคนที่น่ารัก
เพื่อจะได้เป็นที่รักของคนอื่นเสมอ
โดยจะทำตนเป็นเงื่อนไขด้านบวกของคนรอบข้าง
ถ้าคุณเป็นเงื่อนไขด้านบวกของใครไม่ได้
คุณก็จะไม่ทำตนให้เป็นเงื่อนไขใดๆของผู้อื่น
แต่ปรากฏว่าพวกคุณส่วนใหญ่ถือตนเองเป็นที่ตั้ง
โดยใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางในทุกเรื่องทุกสิ่ง
อยากให้คนอื่นรักแต่กลับทำตนไม่น่ารัก
อยากให้คนอื่นรักแต่ไม่เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น
รักคนไม่น่ารักไม่ได้อภัยคนที่ไม่น่าให้อภัยไม่เป็น
นี่ก็ผิดต่อพันธะสัญญา
6 ที่เคยให้สัจจะไว้อีกแล้ว
3.จะร่วมกันหมุนธรรมจักร
เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้
เดิมจิตหยาบเป็นกลุ่มพลังงานจำนวน
189
กลุ่ม
ที่จิตวิญญาณคุณแบ่งภาคออกมาเมื่อแรกปฏิสนธิ
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ยังเป็นอนัตตาอยู่
ยังไม่มีรูปทรงเรขาคณิตอะไรที่ชัดเจนคือมีศูนย์มิติ
หน้าที่ของจิตวิญญาณคุณรวมกับแม่และพ่อ
จะต้องร่วมกันหมุนธรรมจักรด้วยความรักบริสุทธิ์
ช่วยกันฟูมฟักจิตหยาบที่ยังไร้เหลี่ยมมุมคือ
0D
นานเก้าเดือนจิตหยาบคุณก็จะโตเป็นตัวตนขึ้นได้
โดยจิตหยาบจะเป็นกล่องพลังงานมี
3 เหลี่ยมมุม
กายหยาบก็จะเป็นอัตตาตัวตนของทารกให้เห็น
เหมือนดั่งกาฟักไข่ที่ฟักจนออกมาเป็นตัวนั่นแหละ
ตอนที่คุณตกฟากออกมาเป็นทารกแรกเกิด
และเติบโตจนเป็นกุมารน้อยวิ่งเล่นปีนป่ายได้แล้ว
จิตหยาบของคุณจะเป็นกล่องพลังงานที่มี
4 มิติ
“สี่มิติ” ก็คือเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่มีสี่เหลี่ยมมุม
โดยกายสังขารจะมีความกว้างยาวหนาและสูง
ให้ปรากฏในมิติแห่งเนื้อหนังห่อหุ้มจิตหยาบด้วย
จิตหยาบกับกายหยาบพัฒนาการได้ด้วยความรัก
ที่จิตวิญญาณคือตัวคุณเองกับพ่อแม่มอบให้
รวมทั้งจากความเมตตาในหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู
ของหนูน้อยอย่างคุณที่มีผู้คนตั้งแต่สามคนขึ้นไป
ร่วมกันหมุนธรรมจักรช่วยเหลือคุณกันตลอดมา
เมื่อครบสามขวบแล้วคุณก็ถูกปิดบังและบิดเบือน
ไม่ให้รู้เรื่องสำคัญในการหมุนธรรมจักรอีกเลย
แถมยังถูกบิดเบือนว่าธรรมจักรคือ
“อริยะสัจสี่”
นี่ก็ผิดสัจจะต่อพระองค์กันอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
4.จะไม่เบียดเบียนกันเอง
เมื่อเติบโตขึ้นคุณก็จะไม่เบียดเบียนกันเอง
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์หรือว่าสัตว์ประจำโลก
ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรโลกที่ทรงสร้างเอาไว้ให้
คุณก็สัญญาไว้กับพระองค์ว่าจะไม่เบียดเบียน
จะไม่ทำลายจะไม่ทำร้ายให้ทุกสิ่งต้องเสียสมดุล
แต่พวกคุณกลับผิดสัจจะที่สัญญาต่อพระองค์ไว้
ทำให้โลกต้องเสียสมดุลรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกวัน
พวกคุณกลับทำร้ายกันอย่างขาดสติได้โดยง่าย
พวกคุณทำศึกสงครามล้างผลาญกันอยู่เนืองๆ
พวกคุณเอาเปรียบด้านการค้าเศรษฐกิจการเมือง
ปรากฏให้เห็นกันอยู่ทั่วโลกตลอดมาไม่ว่างเว้น
พวกคุณใช้วัตถุเท็คโนโลยีและอาวุธที่สร้างขึ้นมา
ทำลายกันเพื่อการมีอำนาจเหนือและผลประโยชน์
นี่พวกคุณก็ผิดต่อพันธะสัญญาที่ให้ไว้อีกแล้ว
5.จะยกระดับกายจิตและจิตวิญญาณ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์
หมายถึงคุณจะใช้จิตวิญญาณในการดำเนินชีวิต
แปลว่าจะไม่คิดพูดทำทุกสิ่งด้วยจิตหยาบ
แต่จะใช้จิตหยาบที่มีคุณสมบัติเหมือนจิตวิญญาณ
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมในสองมิติให้จงได้
หมายถึงจะคนตนเองในสองมิติให้เป็นหนึ่งเดียว
ให้สำเร็จให้เร็วที่สุดให้จงได้เมื่อได้โอกาสมาเกิด
แต่พวกคุณถูกปิดบังความจริงในเรื่องนี้
พวกคุณจึงได้ผิดสัจจะต่อพระองค์อีกแล้ว
เพราะไม่มีใครรู้ความจริงในเรื่องนี้มาก่อนเลยว่า
ตนนั้นมีจิตหยาบเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
6.จะย้อนคืนกลับสู่แดนสุญตาที่คุณจากมา
ภายในเวลาหกหมื่นปีก่อนที่โลกนี้จะถึงกาลสิ้นยุค
โดยข้อนี้มันเป็นอนุตรธรรมที่พวกคุณยากจะหยั่งรู้
พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้เรากลับมาบอกให้รู้
เพื่อช่วยสร้างกฤตสติและสร้างสติทางวิญญาณให้
ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้
ล้วนเป็นสิ่งที่พระคริสต์ทรงทราบว่า
มนุษย์โลกละเลยไม่ใส่ใจเพราะความไม่รู้
มนุษย์โลกเหลวไหลเพราะมารบิดเบือนความจริง
จึงทรงแสดงให้เห็นว่าสัจจะนั้นสำคัญกว่าชีวิต
โดยเฉพาะสัจจะที่คุณให้ไว้ต่ององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงจำไว้ว่าไม่มีใครเติมเต็มความหิวให้คุณอิ่มได้
ไม่มีพี่น้องคนไหนทำผิดแล้วรับโทษแทนกันได้
แม้ว่าจะมีใครอาสาช่วยกินแทนรับโทษแทนให้
ความผิดบาปของพวกคุณชาวโลกก็เช่นกัน
พระคริสต์จะทรงแบกรับความผิดบาปนั้นแทน
เหมือนกับที่ทรงแบกไม้กางแขนไว้ก็เป็นไปไม่ได้
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
29/03/2567