#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
#ธรรมชาติเป็นโลกุตรธรรมความจริงของ #พระบิดา
#ธรรมดาเป็นโลกียะธรรมความจริงของ #คนสองมิติ
คำว่า
“ธรรมดา” เป็น #โลกียะธรรม ของ
“คนสองมิติ”
ในที่นี้องค์จิตจักรวาลทรงหมายถึงสัจธรรมความจริง
ที่อายตนะภายนอกทั้งห้าคือตาหูจมูกลิ้นและกายสัมผัส
สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็ง
ซึ่งเป็น
“เงามายา” ของสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างไว้นั้นได้
รวมทั้งเรื่องราว
เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ต่างๆด้วย
ความจริงที่คุณสัมผัสรู้ด้วยอายตนะภายนอกทั้งห้าได้นี้
จัดเป็นสัจธรรมความจริงที่เป็น
#โลกียะธรรม ทั้งสิ้น
ฝนกำลังจะตกฟ้าจะมืด
ขณะฝนกำลังตกฟ้าจะร้อง
พอฝนตกผ่านไปแล้วฟ้าจะสว่างใส
หนังท้องตึงหนังตาก็จะหย่อน
ถ้าอดหลับอดนอนก็จะง่วงจะหาว
ยามใดหิวท้องก็จะร้อง
อาหารไม่ย่อยจะเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
อาหารเป็นพิษจะเกิดอาการท้องเสีย
พูดดีเป็นศรีแก่ปาก
ถ้าพูดมากปากอาจจะมีสี
คนชมเท่าผืนหนัง
คนชังเท่าผืนเสื่อ
ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
ชั่วช่างชี
ดีช่างสงฆ์
ที่อยากจำกลับลืมมันได้ง่าย
ที่อยากลืมกลับจำมันไว้อย่างแม่นยำ
ตัวอย่างทั้งหมดที่กล่าวมา
ล้วนเป็นสัจธรรมความจริงที่เป็นโลกียะธรรม
ซึ่งพวกคุณพบเห็นหรือเผชิญกันในชีวิตประจำวัน
เพียงแค่คุณต้องเป็นคน
“ช่างสังเกต” เท่านั้น
การเป็นคนช่างสังเกตในที่นี้เราหมายถึง
คุณต้องฝึกตนเองให้เป็นคนตาไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ
ต้องฝึกตนเองให้เป็นคนหูไวต่อสิ่งที่ได้ยินเสมอ
โดยไม่ทำตนเป็นคนประเภท
#หูหนาตาเซ่อ
เพราะบันทึกเอาไว้ในสัญญาขันธ์มาจากอดีตชาติ
ด้วยการหลงผิดปิดอายตนะทั้งหกที่ดีอยู่เอาไว้
ทำตนเป็นคน
“ไม่อะไรกับอะไร” เสียจนเคยตัว
เนื่องจากหลงผิดคิดว่าการปฏิบัติตนดังกล่าวนั้น
มันเป็นการปฏิบัติธรรมของคนชอบธรรมที่ต้องทำ
เพราะเข้าใจว่าเป็นวิธี
“นิพพานกิเลส” ทำให้จิตสงบ
จากการฝึกตนเองให้
“จิตนิ่ง” โดยไม่อะไรกับอะไร
คำว่า
“จิตนิ่ง” คือการไม่รับรู้ใดๆในสิ่งเร้าทั้งหลาย
ด้วยวิธีการปิดหน้าต่างภายนอกทั้งห้าบานเอาไว้
มิให้มีสิ่งเร้าใด
“เล็ดลอด” เข้าไปถึงอายตนะภายใน
ก็คือ
“จิตหยาบ” ของตนได้ง่ายๆ
เพราะฝึกตนเป็นคน
“วางเฉย” หรือเฉยเมยต่อสิ่งเร้า
ติดต่อกันมายาวนานหลายภพชาติจากการหลงผิด
เมื่อมาเกิดใหม่ในชาติปัจจุบันนี้สิ่งที่ถือติดตัวมาก็คือ
จิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะถือเอารหัสนั้นมาด้วย
ขณะที่หูดีตาดีอยู่แท้ๆแต่กลายเป็นคนไม่ช่างสังเกต
#สิ่งที่คนอื่นๆมองเห็นแต่ตนเองกลับแลไม่เห็น
#สิ่งที่คนอื่นๆได้ยินแต่ตนเองกลับไม่ได้ยิน
ที่เรียกว่าเป็นคนจำพวก
“หูหนาตาเซ่อ” นั่นเอง
ซึ่งเป็น
“เวรกรรม” ที่เกิดจากจิตหยาบในอดีตชาติ
เคยกระทำผิดบาปในอดีตต่อจิตวิญญาณของตนไว้
ด้วยการมีกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าอยู่แต่ไม่ใช้
โดยปิดมันไว้ทั้งห้าจนทำให้สั่นสะเทือนขันธ์ห้าไม่ได้
เพราะไม่มีสิ่งเร้าภายนอกช่วยกระตุ้นจิตหยาบให้
จนมาถึงภพชาติปัจจุบันจิตวิญญาณของคนผู้นั้น
ก็กลายเป็นบุคคลจำพวก
“เอ๋อ” หรือ “เหวอ” ไป
บุคคลจำพวกที่ฝึกจิตหยาบแบบผิดๆกันมาเหล่านี้
จะกลายเป็นคนเสมือนว่าจิตสงบไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร
โดยยังมีความทุกข์ที่เร้นอยู่ข้างในอยู่เช่นเดิม
นั่นคือจิตหยาบของเขายังมีกิเลสนอนเนื่องอยู่ข้างใน
ซึ่งเขาพร้อมจะแสดงออกมาเสมอทันทีที่ถูกปลุกเร้า
เพราะการเป็นคนหูหนาตาเซ่อทำให้รู้ไม่ทันคนอื่นนี้
มันเป็นบทเรียนจาก
#กฎแห่งกรรม ที่ทำผิดบาปไว้
ให้เขาได้เรียนรู้คุณค่าของอายตนะทั้งห้าว่า
1.ถ้ามี “ตา” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น
ผลลัพธ์ก็คือ
“โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น
ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งตาไว้ให้ถึงสองข้าง
เผื่อตาบอดสนิทเสียข้างหนึ่งจะได้ใช้อีกข้างแทนได้
2.ถ้ามี “หู” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น
ผลลัพธ์ก็คือ
“โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น
ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งหูไว้ให้ถึงสองข้าง
เผื่อหูตึงหูบอดเสียข้างหนึ่งจะได้ใช้อีกข้างแทนได้
3.ถ้ามี “จมูก” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น
ผลลัพธ์ก็คือ
“โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น
ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งจมูกไว้ให้ถึงสองรู
เผื่อจมูกบอดเสียรูหนึ่งจะได้ใช้อีกรูหนึ่งแทนได้
เพราะถ้ารูจมูกตันทั้งสองรูคุณก็ต้องตายสถานเดียว
เนื่องจากรับเอาออกซิเจนเข้าไปสู่ปอดไม่ได้
4.ถ้ามี “ลิ้น” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น
ผลลัพธ์ก็คือ
“โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น
ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งลิ้นไว้ให้ถึงสองลิ้น
ลิ้นภายนอกคือ
“ลิ้นคน” ที่ใช้รับรู้รสชาติของสรรพสิ่ง
ขณะกำลังเคี้ยวคลุกเคล้าสิ่งที่ทานเข้าไปก่อนกลืน
แถมลิ้นคนยังมีหน้าที่สนับสนุนลิ้นที่อยู่ข้างในด้วย
ลิ้นข้างในก็คือ
“ลิ้นไก่” ทรงกำหนดให้ใช้พูดสื่อสาร
ถ้าลิ้นไก่แข็งกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ก็พูดเป็นคำไม่ได้
ถ้าลิ้นภายนอกไม่ช่วยกระดิกด้วยบางคำก็พูดไม่ชัด
เช่น
ตัวควบกล้ำ ตัวรอเรือและตัวลอลิง เป็นต้น
เพราะปากมิได้มีหน้าที่ดื่มกินอยู่อย่างเดียวเท่านั้น
แต่ปากถูกกำหนดสร้างไว้เพื่อใช้พูดสื่อสารกันด้วย
5.ถ้ามี “มือ” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น
ผลลัพธ์ก็คือ
“โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น
ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งเอาไว้ให้ถึงสองมือ
เผื่อมือเสียไปข้างหนึ่งจะได้ใช้อีกข้างหนึ่งแทนได้
จึงทรงกำหนดให้มือหรือฝ่ามือของพวกคุณ
ในการใช้หยิบจับฉวยสรรพสิ่งเข้าปากเพื่อรับประทาน
ผู้
#ประทาน ให้คุณได้รับก็คือ
#องค์จิตจักรวาล
พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งหรือพระผู้เป็นเจ้าหรือพระเจ้า
ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของพวกคุณนั่นเอง
เนื่องจากต้องใช้มือหยิบฉวยเพื่อรับประทานอยู่แล้ว
จึงทรงออกแบบให้ฝ่ามือทำหน้าที่สัมผัสกับเงามายา
ที่เป็นคุณสมบัติของสรรพสิ่งต่างๆนั้นควบคู่กันด้วย
ทั้งเย็นร้อนอ่อนแข็งนิ่มลื่นสากหนักและเบา
เป็นต้น
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ดีนะที่พวกเขาเหล่านี้ไม่สามารถที่จะปิดจิตตนเองได้
เพราะการปิดจิตมิให้ทำงานคือการ
“ตาย” นั่นแหละ
โลกมนุษย์คงจะวุ่นวายกันยกใหญ่มากขึ้นอีกเลยทีนี้
พวกเขาจึงทำได้แค่
“กดข่มจิต” ให้มันผิดธรรมชาติ
ด้วยการทำเป็นไม่อะไรกับอะไรต่อสิ่งที่จิตมันนึกอยู่
เนื่องจากจิตหยาบมีสามนึกแต่ละจิตยังนึกบวกนึกลบ
ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตสามนึกอีกต่างหากด้วย
ขณะฝึกจึงวุ่นวายอยู่กับการกดข่มจิตที่มันสารพัดนึก
จนไม่ว่างที่จะไปหาทำอย่างอื่นให้เกิดประโยชน์แล้ว
เช่น
#ไม่ว่างที่จะเรียนรู้โลก ด้วยการตื่นรู้นั่นแหละ
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
5/03/2567