05 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 5/03/2567

 

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

#ธรรมชาติเป็นโลกุตรธรรมความจริงของ #พระบิดา

#ธรรมดาเป็นโลกียะธรรมความจริงของ #คนสองมิติ

 

คำว่า “ธรรมดา” เป็น #โลกียะธรรม ของ “คนสองมิติ”

ในที่นี้องค์จิตจักรวาลทรงหมายถึงสัจธรรมความจริง

ที่อายตนะภายนอกทั้งห้าคือตาหูจมูกลิ้นและกายสัมผัส

สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็ง

ซึ่งเป็น “เงามายา” ของสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างไว้นั้นได้

รวมทั้งเรื่องราว เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ต่างๆด้วย

ความจริงที่คุณสัมผัสรู้ด้วยอายตนะภายนอกทั้งห้าได้นี้

จัดเป็นสัจธรรมความจริงที่เป็น #โลกียะธรรม ทั้งสิ้น

 

ฝนกำลังจะตกฟ้าจะมืด

ขณะฝนกำลังตกฟ้าจะร้อง

พอฝนตกผ่านไปแล้วฟ้าจะสว่างใส

 

หนังท้องตึงหนังตาก็จะหย่อน

ถ้าอดหลับอดนอนก็จะง่วงจะหาว

ยามใดหิวท้องก็จะร้อง

อาหารไม่ย่อยจะเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ

อาหารเป็นพิษจะเกิดอาการท้องเสีย

 

พูดดีเป็นศรีแก่ปาก

ถ้าพูดมากปากอาจจะมีสี

 

คนชมเท่าผืนหนัง

คนชังเท่าผืนเสื่อ

 

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์

 

ที่อยากจำกลับลืมมันได้ง่าย

ที่อยากลืมกลับจำมันไว้อย่างแม่นยำ

 

ตัวอย่างทั้งหมดที่กล่าวมา

ล้วนเป็นสัจธรรมความจริงที่เป็นโลกียะธรรม

ซึ่งพวกคุณพบเห็นหรือเผชิญกันในชีวิตประจำวัน

เพียงแค่คุณต้องเป็นคน “ช่างสังเกต” เท่านั้น

 

การเป็นคนช่างสังเกตในที่นี้เราหมายถึง

คุณต้องฝึกตนเองให้เป็นคนตาไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ

ต้องฝึกตนเองให้เป็นคนหูไวต่อสิ่งที่ได้ยินเสมอ

โดยไม่ทำตนเป็นคนประเภท #หูหนาตาเซ่อ

เพราะบันทึกเอาไว้ในสัญญาขันธ์มาจากอดีตชาติ

ด้วยการหลงผิดปิดอายตนะทั้งหกที่ดีอยู่เอาไว้

ทำตนเป็นคน “ไม่อะไรกับอะไร” เสียจนเคยตัว

 

เนื่องจากหลงผิดคิดว่าการปฏิบัติตนดังกล่าวนั้น

มันเป็นการปฏิบัติธรรมของคนชอบธรรมที่ต้องทำ

เพราะเข้าใจว่าเป็นวิธี “นิพพานกิเลส” ทำให้จิตสงบ

จากการฝึกตนเองให้ “จิตนิ่ง” โดยไม่อะไรกับอะไร

คำว่า “จิตนิ่ง” คือการไม่รับรู้ใดๆในสิ่งเร้าทั้งหลาย

ด้วยวิธีการปิดหน้าต่างภายนอกทั้งห้าบานเอาไว้

มิให้มีสิ่งเร้าใด “เล็ดลอด” เข้าไปถึงอายตนะภายใน

ก็คือ “จิตหยาบ” ของตนได้ง่ายๆ

 

เพราะฝึกตนเป็นคน “วางเฉย” หรือเฉยเมยต่อสิ่งเร้า

ติดต่อกันมายาวนานหลายภพชาติจากการหลงผิด

เมื่อมาเกิดใหม่ในชาติปัจจุบันนี้สิ่งที่ถือติดตัวมาก็คือ

จิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะถือเอารหัสนั้นมาด้วย

ขณะที่หูดีตาดีอยู่แท้ๆแต่กลายเป็นคนไม่ช่างสังเกต

 

#สิ่งที่คนอื่นๆมองเห็นแต่ตนเองกลับแลไม่เห็น

#สิ่งที่คนอื่นๆได้ยินแต่ตนเองกลับไม่ได้ยิน

ที่เรียกว่าเป็นคนจำพวก “หูหนาตาเซ่อ” นั่นเอง

ซึ่งเป็น “เวรกรรม” ที่เกิดจากจิตหยาบในอดีตชาติ

เคยกระทำผิดบาปในอดีตต่อจิตวิญญาณของตนไว้

ด้วยการมีกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าอยู่แต่ไม่ใช้

โดยปิดมันไว้ทั้งห้าจนทำให้สั่นสะเทือนขันธ์ห้าไม่ได้

เพราะไม่มีสิ่งเร้าภายนอกช่วยกระตุ้นจิตหยาบให้

จนมาถึงภพชาติปัจจุบันจิตวิญญาณของคนผู้นั้น

ก็กลายเป็นบุคคลจำพวก “เอ๋อ” หรือ “เหวอ” ไป

 

บุคคลจำพวกที่ฝึกจิตหยาบแบบผิดๆกันมาเหล่านี้

จะกลายเป็นคนเสมือนว่าจิตสงบไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร

โดยยังมีความทุกข์ที่เร้นอยู่ข้างในอยู่เช่นเดิม

นั่นคือจิตหยาบของเขายังมีกิเลสนอนเนื่องอยู่ข้างใน

ซึ่งเขาพร้อมจะแสดงออกมาเสมอทันทีที่ถูกปลุกเร้า

เพราะการเป็นคนหูหนาตาเซ่อทำให้รู้ไม่ทันคนอื่นนี้

มันเป็นบทเรียนจาก #กฎแห่งกรรม ที่ทำผิดบาปไว้

ให้เขาได้เรียนรู้คุณค่าของอายตนะทั้งห้าว่า

 

1.ถ้ามี “ตา” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น

ผลลัพธ์ก็คือ “โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น

ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งตาไว้ให้ถึงสองข้าง

เผื่อตาบอดสนิทเสียข้างหนึ่งจะได้ใช้อีกข้างแทนได้

 

2.ถ้ามี “หู” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น

ผลลัพธ์ก็คือ “โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น

ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งหูไว้ให้ถึงสองข้าง

เผื่อหูตึงหูบอดเสียข้างหนึ่งจะได้ใช้อีกข้างแทนได้

 

3.ถ้ามี “จมูก” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น

ผลลัพธ์ก็คือ “โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น

ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งจมูกไว้ให้ถึงสองรู

เผื่อจมูกบอดเสียรูหนึ่งจะได้ใช้อีกรูหนึ่งแทนได้

เพราะถ้ารูจมูกตันทั้งสองรูคุณก็ต้องตายสถานเดียว

เนื่องจากรับเอาออกซิเจนเข้าไปสู่ปอดไม่ได้

 

4.ถ้ามี “ลิ้น” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น

ผลลัพธ์ก็คือ “โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น

ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งลิ้นไว้ให้ถึงสองลิ้น

ลิ้นภายนอกคือ “ลิ้นคน” ที่ใช้รับรู้รสชาติของสรรพสิ่ง

ขณะกำลังเคี้ยวคลุกเคล้าสิ่งที่ทานเข้าไปก่อนกลืน

แถมลิ้นคนยังมีหน้าที่สนับสนุนลิ้นที่อยู่ข้างในด้วย

 

ลิ้นข้างในก็คือ “ลิ้นไก่” ทรงกำหนดให้ใช้พูดสื่อสาร

ถ้าลิ้นไก่แข็งกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ก็พูดเป็นคำไม่ได้

ถ้าลิ้นภายนอกไม่ช่วยกระดิกด้วยบางคำก็พูดไม่ชัด

เช่น ตัวควบกล้ำ ตัวรอเรือและตัวลอลิง เป็นต้น

เพราะปากมิได้มีหน้าที่ดื่มกินอยู่อย่างเดียวเท่านั้น

แต่ปากถูกกำหนดสร้างไว้เพื่อใช้พูดสื่อสารกันด้วย

 

5.ถ้ามี “มือ” ดีอยู่แต่ไม่ใช้มันหรือใช้มันไม่เป็น

ผลลัพธ์ก็คือ “โง่” เพราะ #รักไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็น

ทั้งๆที่มันสำคัญยิ่งจึงทรงติดตั้งเอาไว้ให้ถึงสองมือ

เผื่อมือเสียไปข้างหนึ่งจะได้ใช้อีกข้างหนึ่งแทนได้

จึงทรงกำหนดให้มือหรือฝ่ามือของพวกคุณ

ในการใช้หยิบจับฉวยสรรพสิ่งเข้าปากเพื่อรับประทาน

ผู้ #ประทาน ให้คุณได้รับก็คือ #องค์จิตจักรวาล

พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งหรือพระผู้เป็นเจ้าหรือพระเจ้า

ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของพวกคุณนั่นเอง

เนื่องจากต้องใช้มือหยิบฉวยเพื่อรับประทานอยู่แล้ว

จึงทรงออกแบบให้ฝ่ามือทำหน้าที่สัมผัสกับเงามายา

ที่เป็นคุณสมบัติของสรรพสิ่งต่างๆนั้นควบคู่กันด้วย

ทั้งเย็นร้อนอ่อนแข็งนิ่มลื่นสากหนักและเบา เป็นต้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ดีนะที่พวกเขาเหล่านี้ไม่สามารถที่จะปิดจิตตนเองได้

เพราะการปิดจิตมิให้ทำงานคือการ “ตาย” นั่นแหละ

โลกมนุษย์คงจะวุ่นวายกันยกใหญ่มากขึ้นอีกเลยทีนี้

พวกเขาจึงทำได้แค่ “กดข่มจิต” ให้มันผิดธรรมชาติ

ด้วยการทำเป็นไม่อะไรกับอะไรต่อสิ่งที่จิตมันนึกอยู่

เนื่องจากจิตหยาบมีสามนึกแต่ละจิตยังนึกบวกนึกลบ

ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตสามนึกอีกต่างหากด้วย

ขณะฝึกจึงวุ่นวายอยู่กับการกดข่มจิตที่มันสารพัดนึก

จนไม่ว่างที่จะไปหาทำอย่างอื่นให้เกิดประโยชน์แล้ว

เช่น #ไม่ว่างที่จะเรียนรู้โลก ด้วยการตื่นรู้นั่นแหละ

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

5/03/2567