21 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 21/03/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าคุณปรารถนาจะเป็นคนชอบธรรมที่แท้จริง

คุณจะต้องรู้ความจริงในสิ่งต่อไปนี้อีกด้วยก็คือ

 

1.#จะต้องรู้ว่าคุณเป็นคนสองมิติ

 

คำว่า “คนสองมิติ” หมายถึง

คุณมีเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ชายหญิง

ที่ประกอบด้วยมิติแห่งเนื้อหนังซึ่งเป็นกายสังขาร

กับมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างใน

ซึ่งแก่นแท้คือจิตวิญญาณผู้อาสามาเกิดถูกยึดรั้งไว้

แล้วมอบอำนาจให้จิตหยาบทำหน้าที่แทน

ขณะมีภพชาติหรือขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

 

หน้าที่หลักของ “จิตหยาบ” ก็คือ

สั่นสะเทือนจิตสามนึกให้เกิดกระบวนการ “ขันธ์ห้า”

อันประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ด้วยความรักเพื่อให้ เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย

เมื่ออายตนะภายนอกส่ง “สิ่งเร้า” จากการสัมผัสให้

เพื่อขับเคลื่อนพฤติกรรมทั้งภายนอกและภายใน

ที่เป็นกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมนั่นแหละ

พฤติกรรมทั้งหมดนั้นจะสั่นสะเทือนด้วย #จิตสามนึก

 

ขณะจิตหยาบของคุณสั่นสะเทือนเป็น “จิตสามนึก”

ซึ่งเป็นการสั่นสะเทือนในมิติทางกายภาพขึ้นเมื่อไหร่

จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของคุณที่ถูกยึดรั้งอยู่

จะมี #จิตใต้สำนึก คอยสั่นสะเทือนตามตลอดเวลา

เพื่อให้เกิดพฤติกรรมในมิติพลังงานด้านแก่นแท้ด้วย

เพราะจิตใต้สำนึกเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณคุณ

ที่พระเจ้าทรงออกแบบไว้ให้ทำงานร่วมกับจิตสามนึก

ซึ่งเป็นความจริงอีกเรื่องหนึ่งที่พวกคุณไม่รู้ว่าคุณไม่รู้

 

พวกคุณถูกคนนำทางตาบอดหลอกให้ปฏิบัติธรรม

ด้วยการแสร้งทำเป็นคนตาบอดหูหนวกหรือพิการ

เพื่อจงใจหลอกคุณให้ปิดหน้าต่างภายนอกทั้งห้า

มิให้ส่งสิ่งเร้าภายนอกเข้าไปยังจิตหยาบที่อยู่ข้างใน

ทำให้คุณปิดโอกาสแห่งการเรียนรู้โลกของพระเจ้าไว้

เนื่องจากคุณไม่อาจสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดเพื่อเรียนรู้เลย

 

คุณสังเกตหรือไม่ว่า

คนที่ใช้ชีวิตอยู่แบบเก็บตัวเงียบๆคนเดียว

กับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมกับผู้คนหมู่มากนั้น

คนทั้งสองพวกนี้จะมีความฉลาดรอบรู้ไม่เท่ากัน

 

คนบ้านนอกจะฉลาดรอบรู้น้อยกว่าคนในเมือง

คนที่เรียนสูงจะรู้มากฉลาดมากกว่าคนที่เรียนมาน้อย

คนที่ความรู้ท่วมหัวอาจเอาตัวไม่รอดถ้าขาดเพื่อน

 

หมายความว่า

คนชอบธรรมถูกหลอกให้ปิดหน้าต่างแห่งการเรียนรู้

เพื่อต้องการแกล้งคุณโดยทำให้คุณโง่เง่าเข้าไว้

ที่ปิดหูปิดตาปิดวาจาหรือปิดอายตนะทั้งห้าที่ดีๆไว้

เพราะทำให้คุณไม่มีสิ่งเร้าเป็น “ตัวกระตุ้นต่อมคิด”

ความฉลาดทางปัญญาของสมองเพื่อคิดจึงไม่พัฒนา

ความฉลาดทางจิตเพื่อฝึกรักและเมตตาจึงไม่บังเกิด

 

เพราะหลงผิดคิดว่า

การปฏิบัติธรรมที่ถูกตรงต้องแกล้งทำเป็นคนพิการ

โดยลืมฉุกคิดว่าทำไมคนที่มีอายตนะภายนอกพิการ

แค่เพียงพบว่าพิการอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

พระศาสดาก็ทรงห้ามมิให้ #บวชเรียน แล้ว

เนื่องจากผู้ที่มีอายตนะภายนอกบกพร่องนั้น

จะมีปัญหาหรือมีอุปสรรคด้านการเรียนรู้นั่นเอง

 

2.#ต้องรู้ว่าจิตสามนึกกับจิตใต้สำนึกทำงานอย่างไร

 

นี่ก็อีกเหมือนกัน

เพราะพวกคุณไม่เคยรู้ว่า

จิตสามนึกเป็นเครื่องมือของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์

มีหน้าที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมในมิติของเนื้อหนัง

ถ้าพวกคุณรู้ว่าตนเองเป็นมนุษย์หรือเป็นคนสองมิติ

คุณก็ต้องใช้จิตสามนึกในการดำเนินชีวิตกันเท่านั้น

 

เพราะพวกคุณไม่เคยรู้ว่า

จิตใต้สำนึก” เป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ

ซึ่งจะคอยสั่นสะเทือนตามจิตสามนึกของคุณ

ด้วยการสั่นสะเทือนในระบบอัตโนมัติเสมอ

เพื่อทำให้การสั่นสะเทือนดังกล่าวของจิตหยาบ

เป็นการสั่นสะเทือนในมิติของแก่นแท้ไปด้วย

อีกทั้งยังจะทำให้ขันธ์ห้าผลิตพลังงานจิตออกมา

ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กได้อีกต่างหากด้วย

 

พลังจิตใต้สำนึกนั้นเป็นพลังอำนาจของจิตวิญญาณ

ถ้าใครใช้มันไม่เป็นและใช้กันอย่างไม่ถูกต้องแล้ว

พลังทางจิตวิญญาณนี้จะเสื่อมอำนาจลงไปเรื่อยๆ

 

การใช้อย่างไม่ถูกต้องหมายถึง

มิได้กระทำผ่านการสั่นสะเทือนของจิตสามนึก

แต่ไปสรรหาวิธีใช้โดย “เจาะ” จิตใต้สำนึกโดยตรง

เช่น การใช้ไสยเวทย์ มนต์ดำ ในรูปของคาถาอาคม

การใช้พลังจิตเพื่อการสาปแช่งทำร้ายบุคคลอื่น

ที่เป็นวิชามารซึ่งมิใช่วิชาพระอาทิตย์นั่นแหละ

 

ขณะเดียวกัน

พลังจิตใต้สำนึกที่เป็นพลังอำนาจของจิตวิญญาณนี้

จะสามารถเพิ่มพูนขึ้นมาจากเดิมได้เรื่อยๆเช่นกัน

ถ้าคุณหมั่นสั่นสะเทือนจิตสามนึกให้เกิดขันธ์ห้า

เพื่อการหมุนธรรมจักรในตนเองด้วยความรักเพื่อให้

โดยไม่หมุนกรรมจักรด้วยกิเลสได้เด็ดขาดแล้ว

 

พวกคุณจักต้องรู้ว่า

สิ่งมีชีวิตจากต่างเผ่าดาวทั้งที่คุณรู้จักและไม่รู้จัก

มีแต่จิตวิญญาณเท่านั้นไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทน

พวกนี้จึงใช้แต่ “จิตสามนึก” ของจิตวิญญาณ

โดยใช้จิตทำงานร่วมกันกับสมองแค่ก้อนเดียวกัน

แบ่งเป็นจิตรู้สำนึกจิตไร้สำนึกและจิตสัญชาติญาณ

ถ้าเผ่าดาวใดใช้แต่จิตไร้สำนึกกับจิตสัญชาตญาณ

เผ่าดาวนั้นก็จะถนัดใช้จิตปัญญาแบบไร้คุณธรรม

มักจะเป็นด้านการใช้อภิญญฤทธิ์ของจิตวิญญาณ

ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกว่า “อภิญญา 6” หรือวิชามารนั่นเอง

 

ที่ต้องเรียกว่าวิชามารก็เพราะเหตุว่า

เป็นวิชาที่มนุษย์หรือคนสองมิติไม่ควรใช้

เพราะยิ่งใช้จะทำให้พลังอำนาจของจิตวิญญาณตกต่ำ

ถ้าจิตวิญญาณของชาวต่างดาวนั้นไม่มีกายหยาบ

เช่น พวกจิตวิญญาณของผีโสโครกทั้งหลาย

ที่ชอบใช้อภิญญาหนึ่งในหกจูงใจมนุษย์ให้หลงเชื่อ

ไม่ว่าเชื่อเพราะเกิดกิเลสหรือให้เชื่อเพราะความกลัว

พลังอำนาจที่พวกนี้ใช้ไปจะทำให้จิตวิญญาณเสื่อม

เพราะไม่สามารถชาร์ทพลังที่ใช้ไปกลับคืนมาได้

จะยังผลให้จิตวิญญาณของพวกนี้มีมิติที่ต่ำลงจาก 6

ตกลงมาเหลือ 5D หรือ 4D ในที่สุด

 

เมื่อจิตวิญญาณลดพลังอำนาจลง

จำนวนเหลี่ยมมุมจากเดิมที่ปกติจะมี 6 เหลี่ยมมุม

ก็จะมีจำนวนเหลี่ยมมุมลดลงจากเดิมไปเรื่อยๆ

เพราะจิตวิญญาณนั้นมีแรงสั่นสะเทือนลดน้อยลง

ยิ่งใช้พลังมากเท่าใดพลังจะยิ่งลดลงไปมากเท่านั้น

ถ้าใครเหวี่ยงพลังออกมาข้างนอกมากเท่าไหร่

พระเจ้าก็จะทรงริบรับกลับคืนเอาไปทั้งหมดนั้น

คุณและต่างดาวมีชะตากรรมแบบเดียวกันนี่แหละ

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

21/03/2567