28 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/03/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

การใช้พลังทางจิตวิญญาณของพวกคุณนั้น

ถ้าใช้ด้วยการกระทำผ่านจิตสามนึกตามปกติ

ในชีวิตประจำวันทั้งเพื่อตนเองและคนที่คุณรัก

เช่น พ่อแม่ลูกหลานสามีภรรยาแล้ว

พลังจิตใต้สำนึกของคุณจะไม่เสื่อมคลาย

เพราะพระบิดาแห่งจิตวิญญาณจะไม่ทรงเก็บคืน

เนื่องจากเป็นการแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์

ที่ตามปกติในธรรมชาติของพวกคุณนั้น

มิติของแก่นแท้มันเป็นของมันแบบนั้นอยู่แล้ว

 

ตัวอย่างเช่น

เมื่อลูกหลานคุณหกล้มแขนขาถลอกเป็นแผล

คุณก็จะเอามือจับสัมผัสบริเวณแขนขาที่บาดเจ็บ

แล้วกลั้นหายใจนิดหนึ่งก่อนที่จะเป่าลมไปที่แผล

พร้อมกับกล่าวคำว่า “โอม เพี้ยง!หายไม่เจ็บๆ”

ด้วยจิตสำนึกที่เชื่อว่าจะช่วยให้หายเจ็บได้จริงๆ

 

หรือเมื่อคุณถูกมีดบาดนิ้วเป็นแผลจนเลือดไหลซิบ

คุณก็จะใช้นิ้วมือกดที่แผลนั้นไว้ด้วยความกลัวว่า

เลือดจะไหลออกมาไม่หยุดหรือกลัวเลือดที่มีสีแดง

แล้วคุณก็กลั้นลมหายใจกำหนดจิตนึกคำว่า #หาย

ก่อนจะเป่าลมที่กลั้นไว้นั้นลงไปบริเวณจุดบาดเจ็บ

ด้วยคำว่า “โอม...เพี้ยงหาย” สามครั้งต่อเนื่องกัน

จากนั้นคุณก็จะปล่อยนิ้วที่กดแผลไว้ออกโดยเชื่อว่า

แผลนั้นจะติดโลหิตก็จะหยุดคุณจะลืมมันไปเลย

 

วิธีการที่คุณปฏิบัติเหล่านี้

หลายคนอาจทำได้เองเหมือนเป็นอัตโนมัติ

เพราะจิตวิญญาณถือรหัสนี้ติดตัวมาจากอดีตชาติ

หรืออาจเป็นเพราะพ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยทำกับตนมา

ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงในอดีตของชาติภพนี้ก็ได้

 

หากคุณสังเกตให้ดีมันจะมีอยู่ 3 กรณีก็คือ

1.การกำหนดจิตกลั้นลมหายใจไว้

2.การเป่าลมที่กลั้นไว้นั้นลงไปบริเวณจุดเจ็บ

3.การกล่าวสัจจะว่า “โอม...เพี้ยง! หาย!”

 

พฤติกรรมที่คุณทำทั้ง 3 กรณีดังกล่าวนี้

ไม่ว่าจะทำกับตนเองหรือคนในครอบครัวที่คุณรัก

ผลปรากฏว่าอาการบาดเจ็บนั้นจะพลันหายได้จริง

หรือไม่ก็จะบรรเทาลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

จนหลายคนอาจมองว่ามันเป็นอวิชาแบบมูเตลูก็ได้

แท้จริงแล้วการกำหนดจิตกลั้นลมหายใจไว้ชั่วครู่

ก่อนที่จะเป่าลมที่กลั้นไว้นั้นออกมาพร้อมคำกล่าว

ที่เป็นสัจจะว่าโอมเพี้ยงหายหรือทำนองนี้ก็คือ

 

การใช้จิตรู้สำนึกของคุณว่า

 

#คุณกำลังทำอะไร

#คุณกำลังทำเพื่อใคร

#คุณกำลังจะทำเพื่อเป้าหมายอะไร

#คุณกำลังจะทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไร

 

คำตอบที่เป็นสัจจะหรือความจริงแท้ก็คือ

 

1.คุณกำลังทำเพื่อให้มิใช่ทำเพื่อเอา

2.คุณกำลังทำเพื่อคนที่คุณรัก

3.เป้าหมายที่คุณทำคือบาดแผลที่บาดเจ็บนั้น

4.วัตถุประสงค์ที่ทำก็คือให้แผลติดแผลหาย

ให้บรรเทาความเจ็บปวดได้หรือหายปวดทันที

 

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งยังผลให้

การกระทำของคุณศักดิ์สิทธิ์สัมฤทธิผลได้จริงคือ

 

1.เพราะคุณและผู้ที่คุณช่วยเหลือมี #ความเชื่อ

โดยเชื่อว่าจะหายหรือได้ผลตามต้องการแน่นอน

 

2.การกำหนดจิตกลั้นลมหายใจเอาไว้ในคอหรือปาก

มันคือการผสานพลังจิตกับพลังลมหายใจของคุณ

เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกันแล้วกำกับด้วยรหัสของสัจจะ

ที่ได้จากการกำหนดจิตของคุณอยู่ในขณะนั้นไว้ด้วย

 

3.การกล่าวคำว่า “โอม” ทำให้พลังงานทั้งหมดนั้น

เป็นพลังที่สามารถทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งจักรวาล

เพราะคำว่า “โอม” หรือ “อูม” มาจากคำว่า อะ-อุ-มะ

ซึ่งเป็นภาษาจิตที่เป็นภาษาสากลของจักรวาล

มิใช่มนตรามนต์ดำที่เป็นภาษาไสยเวทย์แต่อย่างใด

ที่จิตวิญญาณทุกรูปธรรมรับรู้และตอบสนองได้ดีมาก

เมื่อคุณเป่าลมบริเวณจุดเจ็บปวดที่ “เพี่ยง” ลงไป

ด้วยคุณสมบัติสามประการดังกล่าวนี้จึงทำให้ได้ผล

จึงบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ตามต้องการได้ในไม่ช้า

 

คุณจักต้องรู้ว่า

พลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์นี้เกิดได้จากพลังงานความรัก

ในแบบของความรักเพื่อให้มิใช่การรักเพื่อเอา

ซึ่งเป็นความรักที่สะอาดบริสุทธิ์โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ

และเกิดได้จากพลังของความเชื่อมั่นกับความศรัทธา

จนยังผลให้จิตสำนึกแห่งรักนั้นมีแรงสั่นสะเทือนสูงยิ่ง

ทำให้จิตใต้สำนึกของจิตวิญญาณทั้งสองฝ่าย

ทั้งของผู้ให้การช่วยเหลือและผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ

สั่นสะเทือนกันเป็นพลังร่วมแห่งรักอันบริสุทธิ์

ในมิติของแก่นแท้ที่สองตาเปล่าพวกคุณมองไม่เห็น

 

ถ้าทั้งสองฝ่ายมีคุณสมบัติในการปฏิบัติครบถ้วน

ผลลัพธ์ที่ต้องการจะศักดิ์สิทธิ์สัมฤทธิ์ผลเร็วยิ่งขึ้น

บาดเจ็บและบาดแผลจะหายสนิทอย่างไร้ร่องรอย

เพราะจิตวิญญาณโดยจิตใต้สำนึกของพวกคุณนั้น

เขามีสัญชาตญาณที่พร้อมจะสื่อสารสนับสนุนกันอยู่

โดยไม่ต้องวิชามูไม่ต้องพึ่งพามนตราแต่อย่างใด

พลังทางจิตวิญญาณคุณที่ไม่ข้องแวะมนตราวิชามู

นอกจากจะไม่เสื่อมพลังแล้วยังจะเพิ่มค่ามากขึ้นด้วย

เนื่องจากต่อมไทมัสจะรีชาร์จพลังให้ไว้ตลอดเวลา

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

28/03/2567