18 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 18/03/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

คำว่า “ธรรมชาติ” กับคำว่า “ธรรมดา”

ทั้งสองคำนี้มีนัยความหมายที่แตกต่างกัน

แม้จะมีคำว่า #ธรรม นำหน้าอยู่ด้วยกันทั้งคู่

 

คำว่า “ธรรมชาติ” เป็นของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ก็คือ #องค์จิตจักรวาล พระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ

ผู้ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง

อันหมายถึง #พระผู้เป็นเจ้า หรือ “พระเจ้า” นั่นเอง

 

พระองค์ทรงฝากแฝง “สัจธรรม” ความเป็นจริง

ไว้กับทุกสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นอย่างแยบยล

ซึ่งเป็นเงามายาที่เป็นทั้งคุณสมบัติและปรากฏการณ์

ของสิ่งต่างๆทั้งหลายนั้นภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน

โดยกฎเกณฑ์ที่ว่านั้นก็คือ “กฎธรรมชาติ” นั่นเอง

 

ตัวอย่างเช่น

 

1.#น้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ

เปรียบได้กับมนุษย์ผู้ที่มีมากกว่า

จะมีหน้าที่ต้องแบ่งปันถ่ายเทให้แก่ผู้ที่มีน้อยกว่า

 

2.#น้ำใสเมื่อกวนแล้วจะกลายเป็นน้ำขุ่น

เปรียบได้กับจิตมนุษย์ที่ยังไม่ใสบริสุทธิ์แท้จริง

เพราะมันยังมีตะกอนนอนก้นหรือแขวนลอยอยู่

เมื่อถูก “กวน” คือทำให้มันสั่นสะเทือนขึ้นเมื่อไหร่

จิตมนุษย์ก็จะเกิดความ “ขุ่นมัว” คือเสียสมดุลเสมอ

เนื่องจากขยะที่เป็นตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิต

มันจะเกิดอาการ “ฟุ้งกระจาย” ปรากฏขึ้นมาทันที

 

3.#น้ำนิ่งไหลลึก

เปรียบได้กับจิตหยาบของมนุษย์แต่ละคน

ที่มีการสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกนึกคิดอยู่ภายใน

ยังไม่สำแดงอาการออกมาปรากฏให้เห็นภายนอก

หากไม่สังเกตให้ถ้วนถี่หรือไม่พิจารณากันให้ดีแล้ว

คุณก็จะไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคนนั้นนึกคิดรู้สึกอย่างไร

โบราณจึงต้องเตือนพวกคุณเอาไว้ตลอดมาว่า

อย่าประมาทคนที่ “นิ่งเฉย” เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ภายในจิตใจของเขาอาจไม่นิ่งสงบเหมือนที่คุณเห็น

 

ไม่ต่างจากลมพายุก่อนที่มันจะพัดถล่มเข้ามา

ท้องฟ้าก็จะสงบใสไร้วี่แววของฝนกับลมพายุเสมอ

เหตุการณ์ไม่สงบหรือความวุ่นวายใดๆในชีวิตก็เช่นกัน

มักจะเกิดขึ้นให้คุณเผชิญกับมันโดยไม่อาจรู้ล่วงหน้า

โดยเฉพาะ #บททดสอบจิตสามนึก จากคนรอบข้าง

ที่คุณต้องใช้เป็น #บทเรียนโลก สำหรับการเรียนรู้

เพื่อใช้เป็นประสบการณ์ชีวิตตามที่จิตวิญญาณต้องการ

จะเป็นเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ไม่คาดฝันเสมอ

ไม่ว่าบททดสอบกับบทเรียนนั้นจะเป็นด้านลบหรือบวก

 

คุณเคยผ่านชีวิตนักเรียนกันมาแล้วว่า

การสอบทุกครั้งคือการวัดผลการเรียนว่าคุณรู้อะไรบ้าง

ตรวจวัดผลว่าคุณรู้มากแค่ไหนและคุณเก่งจริงหรือไม่

โดยที่ครูจะไม่บอกหรือไม่เปิดเผยข้อสอบให้รู้ล่วงหน้า

เพียงแต่ครูมีหน้าที่สอนให้รู้และสอนให้คุณเข้าใจก่อน

เพราะถ้าบอกข้อสอบให้นักเรียนรู้ล่วงหน้าเสียก่อนแล้ว

มันจะวัดผลการเรียนรู้และวัดความเข้าใจอะไรไม่ได้

เนื่องจากนักเรียนจะเลือกใช้วิธีท่องจำโดยไม่เข้าใจแทน

 

4.#ต้นหญ้ากับป่าไม้จะขึ้นอยู่ร่วมกันจำนวนมาก

 

เปรียบได้กับพวกคุณที่เป็นมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย

จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบ “สัตว์สังคม” ให้ได้

ต้นไม้ทั้งป่าหรือต้นหญ้าทุกต้นที่ขึ้นอยู่ในสนามหญ้า

จะต้องเติบโตอยู่ร่วมกันได้อย่างอิสระเสรีและมีสันติสุข

 

แม้ต้นไม้ใหญ่จะมีกิ่งก้านใบที่สอบกัน

มีรากแก้วรากแขนงรากฝอยเกยก่ายกันเพื่อหยัดยืน

รากของแต่ละต้นจะแย่งกันดูดซับรับน้ำกับแร่ธาตุในดิน

ต่างต้นต่างกอก็จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ไม่มีปัญหาอะไร

ต่างจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและแบ่งปันกันอย่างลงตัว

 

ทั้ง 4 ตัวอย่างที่เรายกมากล่าวเอาไว้ในที่นี้

เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติของพระบิดาหรือพระผู้สร้าง

ที่ทรงฝากแฝงไว้กับสรรพสิ่งที่กำหนดสร้างไว้ให้เรียนรู้

ใครมีตาจะต้องดูใครมีหูจะต้องรับฟังกันเอาไว้

เมื่อได้รับรู้แล้วก็จะต้องเรียนรู้ด้วยปัญญาของสมอง

เพื่อให้รู้ว่า “อะไรเป็นอะไรและอย่างไร” กันต่อไป

 

นอกจาก “ธรรมชาติแล้ว” ยังมีธรรมะอีกแบบหนึ่ง

ซึ่งเป็นแบบที่ควรจะเรียกว่า “ธรรมดา” กันก็ได้

เพราะว่า “ธรรมชาติ” นั้นเป็นความจริงของพระบิดา

ส่วน “ธรรมดา” เป็นความจริงสำหรับมนุษย์เท่านั้น

ซึ่งอาจจะเหมือนกันหรือว่าไม่เหมือนกันก็เป็นได้

 

ตัวอย่างเช่น

#การเกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่อง #ธรรมดา ของมนุษย์

เพราะทุกวันนี้มนุษย์โลกทุกคนต่างเกิดแก่เจ็บตาย

ทุกคนต้องมีอายุขัยไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ต้องตาย

ทุกคนจึงต้องมีภพชาติต้องมีสังสารวัฏด้วยกันทั้งสิ้น

จึงไม่มีจิตวิญญาณมนุษย์คนไหนจะหนีตายไปได้พ้น

 

แต่เนื่องจากมนุษย์โลกทั้งหลายเข้าไม่ถึงความจริงว่า

ทั้งต้นหญ้าและต้นไม้ใหญ่ในธรรมชาติที่ดำรงอยู่รวมกัน

พวกเขาต่างล้วนถูกพระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นมา

เมื่อเกิดแล้วจะไม่มีหน้าที่ต้องตายมีแต่เติบโตได้เท่านั้น

เพราะเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างไว้

แต่เป็นเพราะเหตุว่ามนุษย์ปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตรงธรรม

จึงทำให้พวกคุณมีอายุขัยโดยจิตวิญญาณจะต้องตาย

จะใช้ชีวิตอยู่อย่างยาวนานตาม “ธรรมชาติ” กันไม่ได้

ถ้าไม่แก่ตายก็ป่วยตายอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ

 

พวกคุณไม่เคยรู้ว่า

จิตวิญญาณผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์กันนั้น

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง

ทรงกำหนดให้พวกคุณเข้ามาเกิดเพื่อทำหน้าที่สำคัญ

นั่นคือช่วยกัน #ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลกเอาไว้

โดยใช้เวลาในการทำหน้าที่ยาวนาน 60,000 ปีโลก

ด้วยการแสดงบทบาทของ #เพื่อนร่วมงานกับโลก

เป็นเพื่อนที่จะต้องคอยอยู่โยงประจำโลกตลอดวันเวลา

ในการ #หมุนธรรมจักรร่วมกัน เพื่อผลิตพลังงานสะอาด

ในรูปพลังงานจิตที่เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กระบบหนึ่ง

ป้อนให้แกนแม่เหล็กโลกเพื่อจุดระเบิดอะตอมของแกน

ทำให้เกิดการบิดตัวจนโลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้

 

ภารกิจทางจิตวิญญาณ

ในการใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกดังกล่าวนี้

ต้องใช้ความรักเพื่อให้อันเป็นรักที่บริสุทธิ์

จำพวกความอดทน อดกลั้น ให้อภัยที่คุณต้องมีต่อกัน

โดยคุณจะต้องให้กับทุกคนได้ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร

รวมทั้งต้องให้อย่างไม่มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนตอบแทนด้วย

ไม่เช่นนั้นขันธ์ห้าที่สั่นสะเทือนโดยจิตหยาบของคุณ

จะผลิตสร้างพลังงานด้านบวกที่ไม่สะอาดออกมา

ซึ่งเป็นพลังงานที่โลกและสรรพสิ่งต่างๆใช้ประโยชน์มิได้

 

ตัวอย่างเช่น

ทำบุญสุนทานแล้วไม่ต้องอธิษฐานขอส่วนบุญนั้นก็ได้

เพราะคุณเป็นคนทำบุญนั้นคุณต้องได้รับผลที่ทำอยู่แล้ว

ทำบุญสุนทานก็ไม่ต้องอธิษฐานแบ่งปันส่วนบุญให้พ่อแม่

เพราะพ่อแม่ลูกคล้ายคลึงกันด้านบุคลิกของจิตวิญญาณ

ใครเป็นคนทำพ่อแม่ลูกจะสั่นสะเทือนได้รับผลถึงกันหมด

ไม่ว่าใครคนไหนจะทำบุญทำบาปทำดีหรือทำชั่วก็ตาม

ต่างจะได้รับผลกรรมจากการกระทำนั้นกันอยู่แล้ว

พวกคุณพ่อแม่ลูกจึงไม่ต้องอุทิศบุญกุศลนั้นให้แก่กันก็ได้

 

พวกคุณจะต้องรู้ว่า

เพราะการทำบุญแล้วร้องขอผลบุญกุศลที่ตนทำนั้น

หรือทำบุญกุศลนั้นแล้วอุทิศให้พ่อแม่หรือผู้ใดก็ตาม

มันจะทำให้พลังงานด้านบวกที่พวกคุณก่อขึ้นด้วยขันธ์ห้า

กลายสภาพเป็น #พลังงานกรรม ในมิติแก่นแท้ไปทั้งหมด

เนื่องจากเป็น “พลังงานด้านบวก” ที่มีรหัสกรรม

เป็นคุณสมบัติทางพลังงานกำกับมันอยู่ด้วย

ซึ่งโลกและใครๆจะนำเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย

นอกจากเจ้าของพลังงานกรรมด้านบวกที่ถูกระบุไว้เท่านั้น

 

ดังนั้น

พลังงานกรรมด้านบวกที่ทำบุญแล้วเอาไปสร้างเบื้องบน

ทำบุญแล้วขอให้เกิดอานิสงส์ใดๆเพื่อตนเองในชาติหน้า

ทำบุญแล้วมีการอุทิศให้แก่พ่อแม่ผู้มีพระคุณหรือใครอื่น

มันล้วนเป็นการถูกผีโสโครกหลอกให้คุณหมุนกรรมจักร

เพื่อทำบุญสร้างกุศลด้วยกิเลสจากจิตไม่บริสุทธิ์นั่นแหละ

พลังงานกรรมด้านบวกจึงเป็นได้แค่พลังงานขยะ

ที่จะล่องลอยอยู่ในบรรยากาศโลกเพื่อรอให้เจ้าของตาย

แล้วค่อยรับเอาไปเป็นเจ้าของตามสัจจะที่ได้ลั่นเอาไว้

 

พฤติกรรมการทำบุญอย่างมีเงื่อนไขที่กล่าวมา

กับพฤติกรรมการทำบุญโดยหวังอะไรบางสิ่งตอบแทน

แทนที่จะให้พระบิดาประทานรางวัลที่เหมาะสมให้เอง

ล้วนเป็นพฤติกรรมการทำบุญที่ผิดธรรมชาติของพระบิดา

จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์อย่างพวกคุณไป

ในชีวิตพวกคุณที่หลงผิดคิดว่าธรรมดาเป็นธรรมชาตินั้น

ยังมีที่ไม่ถูกต้องตรงธรรมชาติอยู่อีกมากมายนัก

พวกคุณจะต้องเรียนรู้กันต่อไปให้กระจ่าง

 

ตัวอย่างที่เห็นจากภาพกิจกรรมไซโคโชว์ของปริญญา

ที่เรานำมาแนบไว้ประกอบบทนิพนธ์ของเราในตอนนี้นั้น

 

ชื่อกิจกรรมก็คือ #ยอดนักดูด

วิธีการก็คือให้ผู้เล่นใช้หลอดดูดเพื่อยกย้ายลูกกวาด

จากภาชนะบรรจุไปยังภาชนะอีกใบหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป

โดยทั้งหมดวางอยู่บนโต๊ะยาวที่มีพื้นโต๊ะลื่นเป็นมันวาว

ผู้เล่นทุกคนจะใช้วิธี “ดูด” ลูกกวาดเม็ดนั้นด้วยแรงลมดูด

เพื่อย้ายจากภาชนะบรรจุไปยังภาชนะเป้าหมายทั้งสิ้น

ไม่มีใครดูดออกมาวางบนโต๊ะตรงจุดเริ่มต้นที่กำกับไว้

แล้วใช้หลอดดูดนั้นเป่าลมออกมาเพื่อขับดันลูกกวาด

ให้เคลื่อนที่ไปยังเป้าหมายที่ทำเป็นสัญลักษณ์เอาไว้เลย

ทั้งๆที่เมื่อเลิกเล่นด้วยการดูดแล้วลองใช้วิธีเป่าดูบ้าง

ทุกคนก็พบว่าจะทำงานนี้ได้ง่ายกว่าการดูดที่ตนทำมาก

 

ที่เขาทำเรื่องง่ายให้มันกลายเป็นเรื่องยาก

แทนที่จะเป่าลมออกมาเพื่อช่วยให้ลูกกวาดเคลื่อนที่ไป

แต่กลับใช้วิธีดูดลูกกวาดด้วยหลอดดูดตั้งแต่ต้นนั้น

เพราะคนส่วนใหญ่มีนิสัยเคยตัวกับการ “ดูดเอา” เข้ามา

ไม่มีทักษะความชำนาญในการ “เป็นผู้ให้” นั่นเอง

ทั้งๆที่การให้คือการเป่าลมดันลูกกวาดเคลื่อนสู่จุดหมาย

เป็นวิธีการปฏิบัติที่ง่ายกว่าการดูดเข้ามาหาตัวที่ชัดเจนกว่า

 

คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า

คนส่วนใหญ่ถนัดที่จะทำเรื่องง่ายให้มันเป็นเรื่องยาก

ไม่ต่างจากการเป็นคนประพฤติดีทำดีที่แสนจะง่าย

แต่หลายคนกลับเห็นว่าเป็นคนดีทำดีนั้นแสนยากยิ่ง

เพราะขาดทักษะความชำนาญในการทำดีปฏิบัติชอบ

ไม่ต่างจากการถนัดดูดมากกว่าถนัดเป่านี่แหละ

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

18/03/2567

 

หมายเหตุ:

ขอขอบคุณ "คุณอนันต์" ศิษย์จิตจักรวาลของเรา

ที่เอื้อเฟื้อภาพนี้ให้นำมาแสดงประกอบบทนิพนธ์

ที่สื่อถ่ายทอดมาจากองค์จิตจักรวาลสู่ชาวโลก

เพื่อนำทางจิตวิญญาณมนุษย์หลุดพ้นกลับบ้านในชาตินี้