#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำว่า
“ธรรมชาติ” กับคำว่า “ธรรมดา”
ทั้งสองคำนี้มีนัยความหมายที่แตกต่างกัน
แม้จะมีคำว่า
#ธรรม นำหน้าอยู่ด้วยกันทั้งคู่
คำว่า
“ธรรมชาติ” เป็นของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ก็คือ
#องค์จิตจักรวาล พระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ
ผู้ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
อันหมายถึง
#พระผู้เป็นเจ้า หรือ “พระเจ้า” นั่นเอง
พระองค์ทรงฝากแฝง
“สัจธรรม” ความเป็นจริง
ไว้กับทุกสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นอย่างแยบยล
ซึ่งเป็นเงามายาที่เป็นทั้งคุณสมบัติและปรากฏการณ์
ของสิ่งต่างๆทั้งหลายนั้นภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน
โดยกฎเกณฑ์ที่ว่านั้นก็คือ
“กฎธรรมชาติ” นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น
1.#น้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ
เปรียบได้กับมนุษย์ผู้ที่มีมากกว่า
จะมีหน้าที่ต้องแบ่งปันถ่ายเทให้แก่ผู้ที่มีน้อยกว่า
2.#น้ำใสเมื่อกวนแล้วจะกลายเป็นน้ำขุ่น
เปรียบได้กับจิตมนุษย์ที่ยังไม่ใสบริสุทธิ์แท้จริง
เพราะมันยังมีตะกอนนอนก้นหรือแขวนลอยอยู่
เมื่อถูก
“กวน” คือทำให้มันสั่นสะเทือนขึ้นเมื่อไหร่
จิตมนุษย์ก็จะเกิดความ
“ขุ่นมัว” คือเสียสมดุลเสมอ
เนื่องจากขยะที่เป็นตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิต
มันจะเกิดอาการ
“ฟุ้งกระจาย” ปรากฏขึ้นมาทันที
เปรียบได้กับจิตหยาบของมนุษย์แต่ละคน
ที่มีการสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกนึกคิดอยู่ภายใน
ยังไม่สำแดงอาการออกมาปรากฏให้เห็นภายนอก
หากไม่สังเกตให้ถ้วนถี่หรือไม่พิจารณากันให้ดีแล้ว
คุณก็จะไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคนนั้นนึกคิดรู้สึกอย่างไร
โบราณจึงต้องเตือนพวกคุณเอาไว้ตลอดมาว่า
อย่าประมาทคนที่
“นิ่งเฉย” เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภายในจิตใจของเขาอาจไม่นิ่งสงบเหมือนที่คุณเห็น
ไม่ต่างจากลมพายุก่อนที่มันจะพัดถล่มเข้ามา
ท้องฟ้าก็จะสงบใสไร้วี่แววของฝนกับลมพายุเสมอ
เหตุการณ์ไม่สงบหรือความวุ่นวายใดๆในชีวิตก็เช่นกัน
มักจะเกิดขึ้นให้คุณเผชิญกับมันโดยไม่อาจรู้ล่วงหน้า
โดยเฉพาะ
#บททดสอบจิตสามนึก จากคนรอบข้าง
ที่คุณต้องใช้เป็น
#บทเรียนโลก สำหรับการเรียนรู้
เพื่อใช้เป็นประสบการณ์ชีวิตตามที่จิตวิญญาณต้องการ
จะเป็นเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ไม่คาดฝันเสมอ
ไม่ว่าบททดสอบกับบทเรียนนั้นจะเป็นด้านลบหรือบวก
คุณเคยผ่านชีวิตนักเรียนกันมาแล้วว่า
การสอบทุกครั้งคือการวัดผลการเรียนว่าคุณรู้อะไรบ้าง
ตรวจวัดผลว่าคุณรู้มากแค่ไหนและคุณเก่งจริงหรือไม่
โดยที่ครูจะไม่บอกหรือไม่เปิดเผยข้อสอบให้รู้ล่วงหน้า
เพียงแต่ครูมีหน้าที่สอนให้รู้และสอนให้คุณเข้าใจก่อน
เพราะถ้าบอกข้อสอบให้นักเรียนรู้ล่วงหน้าเสียก่อนแล้ว
มันจะวัดผลการเรียนรู้และวัดความเข้าใจอะไรไม่ได้
เนื่องจากนักเรียนจะเลือกใช้วิธีท่องจำโดยไม่เข้าใจแทน
4.#ต้นหญ้ากับป่าไม้จะขึ้นอยู่ร่วมกันจำนวนมาก
เปรียบได้กับพวกคุณที่เป็นมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบ
“สัตว์สังคม” ให้ได้
ต้นไม้ทั้งป่าหรือต้นหญ้าทุกต้นที่ขึ้นอยู่ในสนามหญ้า
จะต้องเติบโตอยู่ร่วมกันได้อย่างอิสระเสรีและมีสันติสุข
แม้ต้นไม้ใหญ่จะมีกิ่งก้านใบที่สอบกัน
มีรากแก้วรากแขนงรากฝอยเกยก่ายกันเพื่อหยัดยืน
รากของแต่ละต้นจะแย่งกันดูดซับรับน้ำกับแร่ธาตุในดิน
ต่างต้นต่างกอก็จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ไม่มีปัญหาอะไร
ต่างจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและแบ่งปันกันอย่างลงตัว
ทั้ง
4 ตัวอย่างที่เรายกมากล่าวเอาไว้ในที่นี้
เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติของพระบิดาหรือพระผู้สร้าง
ที่ทรงฝากแฝงไว้กับสรรพสิ่งที่กำหนดสร้างไว้ให้เรียนรู้
ใครมีตาจะต้องดูใครมีหูจะต้องรับฟังกันเอาไว้
เมื่อได้รับรู้แล้วก็จะต้องเรียนรู้ด้วยปัญญาของสมอง
เพื่อให้รู้ว่า
“อะไรเป็นอะไรและอย่างไร” กันต่อไป
นอกจาก
“ธรรมชาติแล้ว” ยังมีธรรมะอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งเป็นแบบที่ควรจะเรียกว่า
“ธรรมดา” กันก็ได้
เพราะว่า
“ธรรมชาติ” นั้นเป็นความจริงของพระบิดา
ส่วน
“ธรรมดา” เป็นความจริงสำหรับมนุษย์เท่านั้น
ซึ่งอาจจะเหมือนกันหรือว่าไม่เหมือนกันก็เป็นได้
ตัวอย่างเช่น
#การเกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่อง #ธรรมดา ของมนุษย์
เพราะทุกวันนี้มนุษย์โลกทุกคนต่างเกิดแก่เจ็บตาย
ทุกคนต้องมีอายุขัยไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ต้องตาย
ทุกคนจึงต้องมีภพชาติต้องมีสังสารวัฏด้วยกันทั้งสิ้น
จึงไม่มีจิตวิญญาณมนุษย์คนไหนจะหนีตายไปได้พ้น
แต่เนื่องจากมนุษย์โลกทั้งหลายเข้าไม่ถึงความจริงว่า
ทั้งต้นหญ้าและต้นไม้ใหญ่ในธรรมชาติที่ดำรงอยู่รวมกัน
พวกเขาต่างล้วนถูกพระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นมา
เมื่อเกิดแล้วจะไม่มีหน้าที่ต้องตายมีแต่เติบโตได้เท่านั้น
เพราะเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างไว้
แต่เป็นเพราะเหตุว่ามนุษย์ปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตรงธรรม
จึงทำให้พวกคุณมีอายุขัยโดยจิตวิญญาณจะต้องตาย
จะใช้ชีวิตอยู่อย่างยาวนานตาม
“ธรรมชาติ” กันไม่ได้
ถ้าไม่แก่ตายก็ป่วยตายอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ
พวกคุณไม่เคยรู้ว่า
จิตวิญญาณผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์กันนั้น
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง
ทรงกำหนดให้พวกคุณเข้ามาเกิดเพื่อทำหน้าที่สำคัญ
นั่นคือช่วยกัน
#ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลกเอาไว้
โดยใช้เวลาในการทำหน้าที่ยาวนาน
60,000
ปีโลก
ด้วยการแสดงบทบาทของ
#เพื่อนร่วมงานกับโลก
เป็นเพื่อนที่จะต้องคอยอยู่โยงประจำโลกตลอดวันเวลา
ในการ
#หมุนธรรมจักรร่วมกัน เพื่อผลิตพลังงานสะอาด
ในรูปพลังงานจิตที่เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กระบบหนึ่ง
ป้อนให้แกนแม่เหล็กโลกเพื่อจุดระเบิดอะตอมของแกน
ทำให้เกิดการบิดตัวจนโลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้
ภารกิจทางจิตวิญญาณ
ในการใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกดังกล่าวนี้
ต้องใช้ความรักเพื่อให้อันเป็นรักที่บริสุทธิ์
จำพวกความอดทน
อดกลั้น ให้อภัยที่คุณต้องมีต่อกัน
โดยคุณจะต้องให้กับทุกคนได้ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร
รวมทั้งต้องให้อย่างไม่มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนตอบแทนด้วย
ไม่เช่นนั้นขันธ์ห้าที่สั่นสะเทือนโดยจิตหยาบของคุณ
จะผลิตสร้างพลังงานด้านบวกที่ไม่สะอาดออกมา
ซึ่งเป็นพลังงานที่โลกและสรรพสิ่งต่างๆใช้ประโยชน์มิได้
ตัวอย่างเช่น
ทำบุญสุนทานแล้วไม่ต้องอธิษฐานขอส่วนบุญนั้นก็ได้
เพราะคุณเป็นคนทำบุญนั้นคุณต้องได้รับผลที่ทำอยู่แล้ว
ทำบุญสุนทานก็ไม่ต้องอธิษฐานแบ่งปันส่วนบุญให้พ่อแม่
เพราะพ่อแม่ลูกคล้ายคลึงกันด้านบุคลิกของจิตวิญญาณ
ใครเป็นคนทำพ่อแม่ลูกจะสั่นสะเทือนได้รับผลถึงกันหมด
ไม่ว่าใครคนไหนจะทำบุญทำบาปทำดีหรือทำชั่วก็ตาม
ต่างจะได้รับผลกรรมจากการกระทำนั้นกันอยู่แล้ว
พวกคุณพ่อแม่ลูกจึงไม่ต้องอุทิศบุญกุศลนั้นให้แก่กันก็ได้
พวกคุณจะต้องรู้ว่า
เพราะการทำบุญแล้วร้องขอผลบุญกุศลที่ตนทำนั้น
หรือทำบุญกุศลนั้นแล้วอุทิศให้พ่อแม่หรือผู้ใดก็ตาม
มันจะทำให้พลังงานด้านบวกที่พวกคุณก่อขึ้นด้วยขันธ์ห้า
กลายสภาพเป็น
#พลังงานกรรม ในมิติแก่นแท้ไปทั้งหมด
เนื่องจากเป็น
“พลังงานด้านบวก” ที่มีรหัสกรรม
เป็นคุณสมบัติทางพลังงานกำกับมันอยู่ด้วย
ซึ่งโลกและใครๆจะนำเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย
นอกจากเจ้าของพลังงานกรรมด้านบวกที่ถูกระบุไว้เท่านั้น
ดังนั้น
พลังงานกรรมด้านบวกที่ทำบุญแล้วเอาไปสร้างเบื้องบน
ทำบุญแล้วขอให้เกิดอานิสงส์ใดๆเพื่อตนเองในชาติหน้า
ทำบุญแล้วมีการอุทิศให้แก่พ่อแม่ผู้มีพระคุณหรือใครอื่น
มันล้วนเป็นการถูกผีโสโครกหลอกให้คุณหมุนกรรมจักร
เพื่อทำบุญสร้างกุศลด้วยกิเลสจากจิตไม่บริสุทธิ์นั่นแหละ
พลังงานกรรมด้านบวกจึงเป็นได้แค่พลังงานขยะ
ที่จะล่องลอยอยู่ในบรรยากาศโลกเพื่อรอให้เจ้าของตาย
แล้วค่อยรับเอาไปเป็นเจ้าของตามสัจจะที่ได้ลั่นเอาไว้
พฤติกรรมการทำบุญอย่างมีเงื่อนไขที่กล่าวมา
กับพฤติกรรมการทำบุญโดยหวังอะไรบางสิ่งตอบแทน
แทนที่จะให้พระบิดาประทานรางวัลที่เหมาะสมให้เอง
ล้วนเป็นพฤติกรรมการทำบุญที่ผิดธรรมชาติของพระบิดา
จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์อย่างพวกคุณไป
ในชีวิตพวกคุณที่หลงผิดคิดว่าธรรมดาเป็นธรรมชาตินั้น
ยังมีที่ไม่ถูกต้องตรงธรรมชาติอยู่อีกมากมายนัก
พวกคุณจะต้องเรียนรู้กันต่อไปให้กระจ่าง
ตัวอย่างที่เห็นจากภาพกิจกรรมไซโคโชว์ของปริญญา
ที่เรานำมาแนบไว้ประกอบบทนิพนธ์ของเราในตอนนี้นั้น
ชื่อกิจกรรมก็คือ
#ยอดนักดูด
วิธีการก็คือให้ผู้เล่นใช้หลอดดูดเพื่อยกย้ายลูกกวาด
จากภาชนะบรรจุไปยังภาชนะอีกใบหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป
โดยทั้งหมดวางอยู่บนโต๊ะยาวที่มีพื้นโต๊ะลื่นเป็นมันวาว
ผู้เล่นทุกคนจะใช้วิธี
“ดูด” ลูกกวาดเม็ดนั้นด้วยแรงลมดูด
เพื่อย้ายจากภาชนะบรรจุไปยังภาชนะเป้าหมายทั้งสิ้น
ไม่มีใครดูดออกมาวางบนโต๊ะตรงจุดเริ่มต้นที่กำกับไว้
แล้วใช้หลอดดูดนั้นเป่าลมออกมาเพื่อขับดันลูกกวาด
ให้เคลื่อนที่ไปยังเป้าหมายที่ทำเป็นสัญลักษณ์เอาไว้เลย
ทั้งๆที่เมื่อเลิกเล่นด้วยการดูดแล้วลองใช้วิธีเป่าดูบ้าง
ทุกคนก็พบว่าจะทำงานนี้ได้ง่ายกว่าการดูดที่ตนทำมาก
ที่เขาทำเรื่องง่ายให้มันกลายเป็นเรื่องยาก
แทนที่จะเป่าลมออกมาเพื่อช่วยให้ลูกกวาดเคลื่อนที่ไป
แต่กลับใช้วิธีดูดลูกกวาดด้วยหลอดดูดตั้งแต่ต้นนั้น
เพราะคนส่วนใหญ่มีนิสัยเคยตัวกับการ
“ดูดเอา” เข้ามา
ไม่มีทักษะความชำนาญในการ
“เป็นผู้ให้” นั่นเอง
ทั้งๆที่การให้คือการเป่าลมดันลูกกวาดเคลื่อนสู่จุดหมาย
เป็นวิธีการปฏิบัติที่ง่ายกว่าการดูดเข้ามาหาตัวที่ชัดเจนกว่า
คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า
คนส่วนใหญ่ถนัดที่จะทำเรื่องง่ายให้มันเป็นเรื่องยาก
ไม่ต่างจากการเป็นคนประพฤติดีทำดีที่แสนจะง่าย
แต่หลายคนกลับเห็นว่าเป็นคนดีทำดีนั้นแสนยากยิ่ง
เพราะขาดทักษะความชำนาญในการทำดีปฏิบัติชอบ
ไม่ต่างจากการถนัดดูดมากกว่าถนัดเป่านี่แหละ
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
18/03/2567
หมายเหตุ:
ขอขอบคุณ
"คุณอนันต์" ศิษย์จิตจักรวาลของเรา
ที่เอื้อเฟื้อภาพนี้ให้นำมาแสดงประกอบบทนิพนธ์
ที่สื่อถ่ายทอดมาจากองค์จิตจักรวาลสู่ชาวโลก
เพื่อนำทางจิตวิญญาณมนุษย์หลุดพ้นกลับบ้านในชาตินี้