10 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 10/03/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ความฉลาดทางปัญญาของสมองซีกขวานั้น

จะอยู่ในลักษณะของ #การคิดสร้างสรรค์

ซึ่งคุณจะเข้าถึงได้ก็ด้วยวิธีการ “กดปุ่ม” เช่นกัน

 

แต่เพื่อให้พวกคุณสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ว่า

คุณมีความฉลาดของสมองซีกขวาที่รอการใช้อยู่

พระองค์จึงทรงออกแบบให้คุณใช้ได้ด้วยวิธีฟลุ้ค

 

คำว่า “ฟลุ้ค” ในที่นี้ เราหมายถึง

คุณสามารถเข้าถึงความคิดสร้างสรรค์กันเองได้

โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการกดปุ่มให้มากความเลย

คุณเพียงแค่ “นึก” ด้วยจิตเพื่อคิดด้วยสมองไปเรื่อยๆ

เดี๋ยวก็ได้ความคิดแปลกใหม่ที่น่าอัศจรรย์นั้นแล้ว

 

คำว่า “ความคิดสร้างสรรค์” ในที่นี้เราหมายถึง

สิ่งใหม่ ความรู้ใหม่ ที่ยังไม่เคยมีใครคิดรู้ได้มาก่อน

มีคุณคนเดียวเท่านั้นที่นึกคิดขึ้นมาได้เป็นรายแรก

คำว่า #เป็นรายแรก ก็คือคิดออกคิดได้ก่อนใครอื่น

#ก่อนใครอื่น ก็คือก่อนทุกคนบนโลกนี้เขาจะคิดได้

 

ดังนั้น

ความคิดสร้างสรรค์ในความหมายแรกจึงหมายถึง

ผลผลิตทางจิตปัญญาในการคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์

ซึ่งเป็นผลึกจากการสังเคราะห์องค์ธรรมจากธรรมชาติ

เพื่อนำมาใช้เป็นสัจธรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ที่พวกคุณรู้จักกันว่ามันคือ #โลกุตรธรรม นั่นเอง

โดยที่โลกุตรธรรมนั้นจะแฝงเร้นอยู่กับ “โลกียะธรรม”

คุณจะต้องฝึกการ “นึกเอง” ซึ่งเป็นหนึ่งในจิตสามนึก

ด้วยการฉลาดแปลความหมายของธรรมชาติที่รู้เห็น

แปลให้ได้แปลความหมายให้เป็นแปลได้อย่างถูกตรง

เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตร่วมกันต่อไป

 

สัจธรรมความจริงในระดับ “โลกุตรธรรม” ดังกล่าวนี้

จึงต้องได้จากพลังปัญญาของสมองซีกขวาของคุณ

โดยต้องใช้ “วัตถุดิบ” ที่สติปัญญาของสมองซีกซ้าย

คิดวิเคราะห์เพื่อเรียนรู้ได้จากที่อายตนะส่งข้อมูลให้

ซึ่งคุณจะต้องมี #คุณสมบัติทองคำเฉพาะตน ดังนี้

 

1.คุณต้องเป็นผู้ “นึกเอง” ซึ่งเป็น 1 ในจิต 3 นึกเท่านั้น

โดยต้องระวัง “การนึกเอง” เอาไว้ด้วยว่าอย่าใช้มั่วซั่ว

หากคุณนึกเองด้วยการนึกคิดแทนผู้อื่นขึ้นมาเมื่อไหร่

ไม่ว่าจะนึกบวกหรือนึกลบก็จะผิดบาปฐานก้าวล่วงได้

 

2.คุณจะต้อง “นึกเอง” บนพื้นฐานความจริงและความรัก

ในการสัมผัสรู้ดูเห็นได้จากธรรมชาติของสิ่งต่างๆเท่านั้น

โดยมีเป้าหมายหลักที่สำคัญเพื่อ #การเรียนรู้ สัจธรรม

เป็นการเรียนรู้ด้วยการมองโลกเพื่อให้เห็นความจริงนั้น

มิใช่มองโลกไปตามอำนาจของ #กิเลสตัณหา พาไป

ซึ่งจุดจบจะกลายเป็นผิดบาปเพราะเกิดการก้าวล่วงผู้อื่น

 

ทางออกที่ฉลาดและรอบครอบในเรื่องนี้ก็คือ

คุณควรมองโลกเพื่อนึกเองตามแนวการคิดสร้างสรรค์

โดยให้คุณเลือกมองเฉพาะแต่เหตุการณ์ปรากฏการณ์

รวมทั้งสรรพสิ่งใดๆที่อายตนะภายนอกของคุณสัมผัสได้

จากธรรมชาติแวดล้อมที่พระบิดาทรงสร้างเอาไว้ให้ก็พอ

ซึ่งพระองค์ทรงฝากแฝงสัจธรรมเอาไว้ให้อย่างดาษดื่น

โดยสัจธรรมในธรรมชาตินั้นมีมากมายกว่าในพระคัมภีร์

ที่พวกคุณค้นคว้ามาบันทึกรวมกันไว้เป็นตำราเสียอีก

 

3.คุณจะต้องไม่เผลอไปใช้วิธี “นึกออก”

ด้วยการนำความคิดหรือความรู้ของผู้อื่นที่เขาคิดไว้ก่อน

มานึกคิดในลักษณะของการ “นึกซ้ำ คิดซ้ำ” และทำซ้ำ

เพราะสิ่งที่คุณนึกคิดเพื่อทำอยู่นั้นมิใช่สิ่งใหม่เรื่องใหม่

มันจะกลายเป็น #ลอกเลียนแบบ หรือ “ก้อปปี้” แทน

 

ยกเว้นคุณนึกออกแล้วนำสิ่งที่คุณจำของคนอื่นได้นั้น

มาทำการ #นึกคิดต่อยอด เพื่อดัดแปลงให้มันดีงามขึ้น

ดัดแปลงให้มันเหมาะสมดีมีประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม

จึงจะเรียกว่าเป็นการคิดสร้างสรรค์กันได้อย่างเต็มคำ

คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ที่ใช้ชีวิตกันอยู่ในสังคมทั่วไป

จะไม่เก่งนึกไม่เก่งคิดแต่เก่งก้อปปี้คือลอกเลียนแบบ

จึงมีคดีความเรื่องลิขสิทธิ์สิทธิบัตรขึ้นศาลอยู่เนืองๆ

คงเห็นว่าลอกเขามาไม่ต้องคิดเองมันสบายและง่ายดี

เพราะเป็น “สันดาน” ของคนพวกหน้าด้านที่มักง่าย

คืออยากสำเร็จโดยที่ตนเองไม่ต้องออกแรงนั่นแหละ

 

4.คุณต้องฝึกนิสัยไม่ชอบเลียนแบบใครเอาไว้เสมอ

เพราะการก้อปปี้ของคนอื่นมีแต่จะทำให้คุณเสียหน้า

แถมยังสอบตกอีกเรื่องเนื่องจากลักขโมยของเขามา

ทำเสมือนหนึ่งว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นของตน

โดยไม่ยอมอ้างอิงว่าไปเอามาจากใครหรือจากที่ไหน

 

ใครที่ชอบทำตนแบบนี้มันบ่งชี้ว่า “เป็นคนสิ้นคิด”

อีกไม่ช้านานคนพวกนี้จะมีแต่ความเสื่อมมากยิ่งขึ้น

เพราะจะล้มละลายในความน่าเชื่อถือและความศรัทธา

ในสายตาของคนรอบข้างทั่วทั้งโลกหรือสังคมของเขา

หากคุณมีความเป็นผู้นำในตนเองและรักเกียรติจริง

ก็จงอย่าหาทำหาสันดานไม่ดีแบบนี้มาเพาะบ่มไว้เลย

โบราณว่าไว้ #ซื่อกินได้ไม่หมด คดกินได้ไม่นาน!

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

 

#จิตจักรวาลสถานธรรม ภูกระต่าย

#สถาบันสร้างเสริมจิตปัญญา #HBMI

อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์

10/03/2567