#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าคุณปรารถนาจะเป็นคนชอบธรรมที่แท้จริง
คุณยังต้องรู้ความจริงในสิ่งต่อไปกันนี้อีกด้วยก็คือ
#คุณจะต้องหมุนธรรมจักรร่วมกับทุกคนให้จงได้
มันจะเป็น
“ตัวชี้วัด” ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
ที่แสดงให้โลกรู้และแสดงให้พระบิดาทรงทราบว่า
จิตวิญญาณโดยจิตหยาบของผู้ใดทำตนไม่เอาไหน
เมื่อได้โอกาสมาเกิดแล้วใครทำตนเสียชาติเกิดบ้าง
สำหรับการหมุนธรรมจักรร่วมกับคนอื่นๆทุกคนนั้น
แท้จริงแล้วเป็นปฏิบัติการที่ไม่ยากลำบากอะไรเลย
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หมุนธรรมจักรในตนเองได้แล้ว
คุณจะร่วมกันหมุนธรรมจักรกับใครก็ได้ง่ายมากเลย
เพราะเพียงแค่คุณจะต้องปฏิบัติตนดังนี้
คือ
1.คุณจะต้องเป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการนี้ก่อนเสมอ
เพราะตามกฎของพระเจ้านั้นผู้ใดเริ่มต้นผู้นั้นสิ้นสุด
แปลว่าถ้าคุณเป็นผู้เริ่มต้นในการหมุนธรรมจักรแล้ว
คนรอบข้างเขาก็จะพากันหมุนธรรมจักรตามคุณด้วย
หมายถึงหากคุณประพฤติดีหรือทำดีกับเขาเมื่อไหร่
พวกเขาก็จะพากันประพฤติดีหรือทำดีกับคุณเมื่อนั้น
ตราบใดที่คุณยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกับพวกเขาอยู่
ตราบนั้นเขาก็จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกับคุณอยู่ต่อไป
ตามคำกล่าวที่ว่า
#ผู้เริ่มต้นสิ่งใดผู้นั้นจะต้องเป็นผู้สิ้นสุดมันเสมอ
2.คุณจะต้องเป็นผู้มีจิตสะอาดปราศจากกิเลส
เพราะ
“กิเลส” เป็นมารที่ซ่อนซุกอยู่ภายในจิตคุณ
มันจะคอยเป็นอุปสรรคในการสั่นสะเทือนด้านบวก
ทำให้เข้าถึงความฉลาดทางจิตที่เรียกกันว่ารักไม่ได้
ทำให้เข้าถึงความฉลาดทางปัญญาของสมองไม่ได้
จิตหยาบที่เสพติดกิเลสเป็นเพราะว่า
หลงมายาของสรรพสิ่งเข้าใจว่าเป็นตัวตนที่แท้จริง
ทั้งๆที่พระเจ้าทรงยอมให้ทุกสิ่งมีมายาเป็นของตนเอง
เพื่อบ่งชี้คุณสมบัติของแก่นแท้ตัวจริงที่เร้นอยู่ข้างใน
โดยให้มายาที่คุณรู้เห็นนั้นทำหน้าที่เป็นเปลือกนอก
เพื่อคอยหุ้มห่อแก่นแท้ที่เป็นพลังงานเอาไว้ข้างใน
เพราะรูปธรรมทางพลังงานซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้นั้น
จะดำรงตนเองอยู่อย่างอิสระโดยไม่มีเปลือกหุ้มไม่ได้
เมื่อจิตหยาบของคุณ
สัมผัสกับมายาของสรรพสิ่งนั้นๆแล้ว
เกิดการหลงผิดเพราะคิดว่าเป็นตัวตนที่แท้จริงเข้า
จิตหยาบคุณจึงเกิดการปรุงแต่งสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นนั้น
เป็นสวยไม่สวย
เป็นชอบไม่ชอบหรือเป็นความลังเล
โดยที่ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าเรียกว่า
#ความรูสึก
แต่ต่อมาพวกคุณกล่าวเพี้ยนไปเป็น
#ความรู้สึก แทน
ความรูสึกหรือความรู้สึกนี้มาจากสาเหตุที่
พวกคุณใช้อายตนะภายนอกทั้งห้าช่องทาง
คือตาหูจมูกลิ้นและกายสัมผัสรวมทั้งหมดเป็น
“ห้ารู”
สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้าจากภายนอกแล้วส่งต่อให้จิตรับ
แทนที่จิตจะทำการ
“รับรู้เพื่อเรียนรู้” ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
เพื่อเรียนรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรอย่างไรกันเท่านั้น
แต่จิตหยาบเมื่อรับรู้แล้วกลับ
#รับเอา มาปรุงแต่งต่อ
จนเกิดเป็นความรู้สึกสวยไม่สวยชอบไม่ชอบนั่นแหละ
พอคุณปล่อยให้จิตตกคือจิตหยาบเกิดความไม่สงบ
เมื่อจิตนั้นสั่นไหวไปกับสิ่งเร้าที่กำลังสัมผัสรับรู้มันอยู่
แทนที่สภาวะจิตของคุณจะสงบเย็นเป็นปกติดังเดิม
ด้วยการรับรู้เพื่อเรียนรู้กลับรับรู้แล้วรับเอามาปรุงแต่ง
ซึ่งเป็นลักษณะอาการของคนที่อายตนะชำรุดสึกหรอ
พระเจ้าจึงทรงให้คุณเรียกอาการนี้ว่า
#เสียความรูสึก
แทนที่จะแค่สัมผัสรู้ดูเห็นว่าอะไรเป็นอะไรไปตามจริง
แต่กลับไปเห็นว่าสวยหรือเห็นว่าไม่สวยแทนเสียนี่
ถ้าไม่ใช่เป็นอายตนะภายนอกทั้งห้าชำรุดสึกหรอแล้ว
จะให้กล่าวเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรกัน
แต่เนื่องจากจิตหยาบที่เกิดความรู้สึกขึ้นมานั้น
จิตหยาบเองมันยังไม่อาจยึดติดจับต้องสิ่งนั้นๆได้
จิตหยาบจึงสั่นสะเทือนจนเป็นอาการของ
#ตัณหา
นั่นคือความอยากกับความไม่อยากตามมาอีก
เพื่อจะใช้ตัวตัณหายึดติดจับต้องมายานั้นไว้ให้ได้
จึงเป็นที่มาของคำว่าอยากเอากับไม่อยากเอา
คุณเห็นหรือยังว่าเพราะมีเอากับไม่เอานี่แหละ
สิ่งนั้นมันก็เกิดเป็นมีอัตตาตัวตนขึ้นมาที่ในจิตทันที
เจ้าตัวตนที่เกิดขึ้นในจิตพวกคุณนี่แหละน่ากลัวมาก
น่ากลัวกว่าเงามายาของสรรพสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นอยู่
ตัวตนมายาของสรรพสิ่งที่เป็นรูปธรรมภายนอก
คุณอาจสัมผัสได้คว้าได้จับต้องได้หรือหยิบฉวยได้
แต่คุณก็สามารถที่จะละวางมันลงได้ง่ายๆเหมือนกัน
แต่อัตตาของมายาที่จิตคุณหลงยึดติดมันเข้าให้นั้น
มันเป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นในจิตหยาบไม่มีตัวตนจริงๆ
พวกคุณจึงละวางหรือปล่อยวางมันลงยากยิ่งนัก
ถ้าถูกขัดอกขัดใจเมื่อไหร่
อารมณ์ขยะที่เกิดจากพอใจไม่พอใจก็จะเกิดขึ้นอีก
เช่น
คุณจะโลภเมื่อพอใจสิ่งนั้นมากเกินปกติ
จะโกรธเมื่อถูกขัดใจหรือมีอุปสรรคในการจะได้มา
จะลุ่มหลงเพราะกิเลสบดบังสติปัญญาไว้จนมืดบอด
จะงมงายจนใช้กิเลสตัณหาขับเคลื่อนพฤติกรรมแทน
3.คุณจะต้องรู้ว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลกไม่ได้
ถ้าใช้ความรักหมุนธรรมจักรอยู่ตามลำพังคนเดียว
สัตว์จึงต้องอยู่ร่วมกันเป็นฝูงไม่ว่าตัวใหญ่แบบช้าง
หรือว่าจะร่างเล็กแบบฝูงมดฝูงมอดหรือฝูงแมลง
มนุษย์อย่างพวกคุณก็เช่นเดียวกัน
จะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันเป็นสังคมให้จงได้
นั่นคือพวกคุณจะต้องยอมรับความแตกต่าง
ทั้งด้านดีและด้านเลวของกันและกันให้จงได้
ต้องยอมรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้ได้
ต้องยอมให้ความร่วมมือด้วยการทำตนให้น่ารัก
เพื่อให้คุณเป็นที่รักของบุคคลอื่นๆให้จงได้
ไม่เลือกว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนในบ้านหรือนอกบ้าน
โดยไม่มีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องดีกับคุณก่อนไหม
เพราะพลังงานด้านบวกจากจิตสามนึกพวกคุณนั้น
จะมีประสิทธิผลก็ต่อเมื่อต้องสั่นสะเทือนร่วมกัน
ตั้งแต่สามคนขึ้นไปบนพื้นที่
33.33
ตร.กม.นั่นเอง
โลกจึงจะมีแรงเหวี่ยงหมุนจากพลังของพวกคุณได้
จิตหยาบของพวกคุณจะยกระดับจาก
4D
ถึง 5D
จนเข้าถึง
6D
คือเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณได้
ตามที่พระเจ้าได้ทรงออกแบบไว้ในที่สุด
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
24/03/2567