(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
อำนาจภายในตนเองของพวกคุณทุกคนนั้น
พระเจ้าทรงติดตั้งเครื่องสร้างพลังอำนาจให้แล้ว
มันจึงขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรู้จักวิธีใช้งานหรือไม่
หรือรู้ว่าอวัยวะที่เป็นกลไกนั้นคืออะไรหรือเปล่า
หากไม่รู้ทั้งสองอย่างนี้ก็ไม่อาจนำมันออกมา
ใช้สร้างประโยชน์สุขและสร้างความสำเร็จ
ให้แก่ทั้งตนเองผู้อื่นและดาวโลกเสรีดวงนี้ได้
#อำนาจในตนเองของมนุษย์อยู่ที่จิตและสมอง
คำว่า “จิต” ในที่นี้เราหมายถึง #จิตหยาบ
อำนาจของจิตหยาบได้จาก “จิตสามนึกด้านบวก”
หมายถึง นึกออก นึกเอา และ นึกเองในด้านบวก
นั่นคือ #การมองโลกหรือมองผู้อื่นในแง่ดี นั่นเอง
เมื่อคุณฝึกนิสัยมองโลกแง่ดีจนเป็นคุณสมบัติได้
คุณก็จะสามารถเข้าถึง #การรักผู้อื่น ได้โดยง่าย
จะทำให้คุณกับทุกคนสร้างโลกร่วมกันอย่างลงตัว
โดยใช้อำนาจแห่งความรัก #เหนี่ยวรั้งกันไว้
แต่พวกคุณต้องรู้ว่า
การนึกด้านบวกคือนึกออกนึกเอาและนึกเองนั้น
มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสภาวะจิตในปัจจุบันขณะ
ต้องว่างไปจากกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะทุกสิ่ง
โดยต้องว่างจาก “ขยะ” เหล่านี้อย่างสิ้นเชิงด้วย
จึงเป็นที่มาของการปฏิบัติธรรมเพื่อนิพพานเบื้องต้น
ด้วยการ #นิพพานกิเลส ซึ่งเป็น “นิพพานก่อนตาย”
เพราะถ้าจิตหยาบไม่ว่างไปจากขยะเหล่านี้
จิตหยาบของคุณจะเข้าถึงความรักบริสุทธิ์ไม่ได้
เมื่อคุณเข้าถึงความรักบริสุทธิ์ไม่ได้
คุณก็จะสั่นสะเทือนขันธ์ 5 เพื่อหมุนธรรมจักรไม่ได้
เพราะจิตหยาบจะพาให้ลื่นไหลไปตามกิเลส
จนชวนกัน “หมุนกรรมจักร” ขึ้นมาแทนในที่สุด
ดังนั้น
อำนาจในตนเองของคุณ #ด้านพลังจิต
ตัวชี้วัดก็คือ #ความรักบริสุทธิ์ หริอ รักที่ไร้เงื่อนไข
ตัวอย่างเช่นความรักระหว่างพ่อแม่ลูกในครอบครัว
ที่จะทำให้สมการ ∑βx สมการพลังงานร่วมของจิต
เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้เพราะตัวเอ็กซ์มีค่าเท่ากับสาม
อันเกิดจากคนสามคนรักกันด้วยจิตบริสุทธิ์ที่แท้จริง
จนสามารถผลิตพลังงานในแบบที่โลกต้องการ
ใช้ค้ำจุนสมดุลโลกหรือช่วยให้โลกหมุนต่อเนื่องได้
หลายคนถูกคนนำทางตาบอดสอนให้หลงผิดว่า
ความรักระหว่างพ่อแม่ลูกยังเป็นความรักที่ไม่บริสุทธิ์
เพราะมีเงื่อนไขของอัตตาในการเป็นพ่อแม่ลูกอยู่
นี่แน่ะ...เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า
พวกคุณที่กำลังจะคนตนเองเพื่อเป็นมนุษย์อยู่นี้
กำลังใช้ #จิตหยาบ ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณกันอยู่
มิได้ใช้จิตวิญญาณผู้ขันอาสามาเกิดในการดำเนินชีวิต
สำนึกรู้ของจิตหยาบในบาปบุญคุณโทษถูกผิดดีชั่ว
ตัวฉันตัวเธอตัวเขาตัวใครของฉันของเธอหรือของใคร
เป็น “คุณสมบัติ” ของจิตหยาบที่จิตวิญญาณถือมาให้
ใช้ทำหน้าที่เป็นคนสองมิติขณะมีภพชาติเป็นมนุษย์
โดยถือมาจาก “ด่านนภาลัย” ประตูมิติของเอกภพ
ซึ่งจะต้องนำไปคืนที่นั่นเมื่อก่อนจะหลุดพ้นกลับบ้าน
การสำนึกรู้ในความจริงเหล่านี้
จิตหยาบจะต้องมีจะต้องใช้ตลอดเวลาขณะเป็นมนุษย์
ถ้าไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้จะทำให้การเป็นพ่อแม่และลูก
จะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมมีปัญหาขึ้นมาทันที
เช่น ถ้าพ่อแม่ลูกไม่มีสำนึกในการเป็นพ่อแม่ลูกของตน
ทุกครอบครัวจะเต็มไปด้วยปัญหาวุ่นวายไม่รู้สงบแน่ๆ
คำว่า “สำนึกรู้” จึงมิได้ข้องเกี่ยวกับเรื่อง “อัตตา”
จนทำให้ความรักที่มีต่อกันนั้นไม่บริสุทธิ์แท้ไปได้เลย
ขอให้พวกคุณเพ่งตรงลงไปที่คำว่า “รักที่ไร้เงื่อนไข”
ด้วยการทำความเข้าใจในความจริงตรงนี้กันด้วยว่า
คำว่า “รักไม่มีเงื่อนไข” นี้นั้น เราหมายถึง
รักได้โดยไม่ต้องการหรือหวังสิ่งใดตอบแทนต่างหาก
ในอดีตกาลเรายังเคยกล่าวขยายความไว้แล้วด้วยว่า
รักที่ไร้เงื่อนไขหมายถึงต้องรักลูกหลานคนข้างบ้าน
เหมือนกับที่รักลูกหลานของพวกคุณเองกันนั่นแหละ
คำว่า “บริสุทธิ์” จึงมีด้วยกันสามนัยก็คือ
1.รักโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
2.รักได้โดยไม่ต้องร้องของ้อวอนอ้อนให้รัก
3.รักทุกคนได้เท่ากันและเหมือนกันเสมอ
จงเลิกเชื่อคนนำทางตาบอดที่พาหลงทางว่า
ความรักแบบพ่อแม่ลูกเป็นรักที่ยังมีอัตตาอยู่
จึงเป็นความรักที่ไม่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงอีกต่อไป
เพราะนี่เป็นการรักด้วยจิตสามนึกของจิตหยาบ
ตามคุณสมบัติที่แท้จริงของพ่อแม่ลูกเท่านั้น
มิใช่ความรักที่เกิดจากกิเลสตัณหาราคะจริต
หรือรักด้วยอารมณ์ขยะแบบมอดมารแต่อย่างใด
เราได้ถอดรหัสแห่งอัตตาเพื่อทำความเข้าใจแล้วว่า
#รักลูกหลานคนข้างบ้านเท่ากับรักลูกหลานตนเอง
แปลตามตรงอย่างชัดเจนก็คือมิได้ยึดติดอัตตาว่า
ลูกหลานคุณหรือลูกหลานใครคุณก็รักได้ทั้งนั้น
ถ้าพวกคุณสามารถนิพพานกิเลสได้จนหมดสิ้น
จิตหยาบของคุณก็จะเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดได้
เพราะสามารถสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงได้
เนื่องจากไม่มีสนิมกิเลสกับบริวารกิเลสคอยถ่วงรั้ง
จิตหยาบจึงสามารถจะสั่นสะเทือนอย่างเป็นอิสระ
จนเข้าถึงคลื่นความถี่ในระดับความรักที่บริสุทธิ์ได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพระพุทธองค์จึงทรงสอนให้
พี่น้องชาวพุทธต้องหาวิธีนิพพานกิเลสให้หมดสิ้น
เพื่อให้จิตมี #ฌาน คือมีพลังอำนาจสูงสุดได้นั่นเอง
แต่เนื่องจากว่า
การชำระจิตหยาบให้ว่างจากกิเลส
ที่เรียกว่า “จิตหยาบนิพพานกิเลส” ที่ว่านี้
มันไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการให้มันสะอาดได้ง่ายดายนัก
เพราะมนุษย์ถูกหลอกให้เสพติดกิเลสกันตลอดมา
จนถูกบันทึกไว้ในสัญญาขันธ์เป็น “สันดาน” ไปแล้ว
ต้องใช้เวลาโลกจัดการชำระเพื่อนิพพานกันนานโข
พวกคุณจึงต้องปฏิบัติธรรมอีกทางหนึ่ง
ควบคู่ไปกับการชำระกิเลสในจิตพร้อมกันไปด้วย
นั่นคือการแสวงหาความฉลาดของสมองที่ตนมีอยู่
เพื่อนำสิ่งที่เรียกว่า #อำนาจทางปัญญา ออกมาใช้
ซึ่งคุณจะต้องฝึกการคิดรู้ด้วยสมองสองซีกที่มีอยู่
เพื่อการพึ่งพาอำนาจทางปัญญาของสมองของคุณ
โดยไม่ต้องเชื่อตามใครไม่ต้องถูกใครหลอกลวงอีก
ซึ่งคุณจะต้องเรียนรู้และฝึกฝนจนเกิดทักษะ
ในการใช้สมองสองซีกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยการรู้วิธีกดปุ่มใช้งานมิใช่คิดรู้ได้แบบอัตโนมัติ
พระเจ้าทรงติดตั้งสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
ให้คุณใช้มันได้แบบอัตโนมัติมาตั้งแต่อายุสามขวบ
ซึ่งคุณมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ว่าจะ “กดปุ่ม” อย่างไร
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคิดรู้ให้สูงสุดได้
พร้อมกับติดตั้งปัญญาญาณของสมองซีกขวาไว้ให้
ซึ่งคุณมีหน้าที่เรียนรู้ว่าจะ “กดปุ่ม” มันอย่างไรด้วย
เพื่อนำความรู้ที่ได้จากสมองซีกซ้ายมาสังเคราะห์
ก่อนจะนำมันออกมาใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป
พวกคุณจะแลเห็นได้ว่า
ไม่มีตอนไหนเลยที่เรามิได้แนะเน้นให้คุณ
ใช้ #จิตสามนึก ในการดำเนินชีวิต
ด้วยการหลอกลวงให้คุณใช้กิเลสดำเนินชีวิต
ทั้งๆที่มีจิตตปัญญาอันเป็นอำนาจแท้จริงให้ใช้
โดยหลอกให้คุณใช้ #สัญชาติญาณ ดำเนินชีวิต
เหมือนคุณมิได้เป็นมนุษย์แต่เป็นสัตว์ประจำโลก
หรือหลอกให้พวกคุณหันมาใช้ #จิตใต้สำนึก
แทนการใช้จิตสามนึกในการดำเนินชีวิตแทน
เพราะเรารู้ว่าคุณมิใช่สิ่งมีชีวิตในต่างระบบดาว
ที่มีแต่จิตวิญญาณเป็นผู้มาเกิดกันจิตเดียวเท่านั้น
พวกเขาไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
เพราะพวกนั้นไม่มีจิตหยาบดังเช่นมนุษย์
เพราะพวกนั้นไม่ต้องหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตา
คุณต้องใช้จิตสามนึกดำเนินชีวิตกันสถานเดียว
(ยังมีต่อในตอนต่อไป)
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
22/05/2566