พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สิ่งที่พวกคนนำทางตาบอดสอนผิดมานาน
ในเรื่องของ “อัตตา” กับ “อนัตตา” นั้น
มีอยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ “ขันธ์ 5” นี่แหละ
เป็นเรื่องที่มอดใช้วิชาของตนมาเสี้ยมสอน
เพราะมอดเข้าใจว่า “ตนเกิดจากขันธ์ห้า”
เนื่องจากมอดพบว่าจิตวิญญาณตนมีขันธ์ห้า
จึงคิดว่าขันธ์ห้าเป็นอัตตาต้นเหตุให้ตนเกิด
ขันธ์ห้าก็คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
ซึ่งคนชอบทำทั้งหลายที่เป็นชาวโลกรู้จักดี
แต่รู้จักแบบผิดๆรู้ไปตามที่มอดบิดเบือนให้รู้
ซึ่งพระพุทธองค์ผู้ทรงค้นพบ “ขันธ์ 5” ว่า
มันเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณมอดเท่านั้น
เพราะมอดเป็นดั่งสัตว์ทดลองของพระเจ้า
ที่ทรงทดลองสร้างเพื่อหาต้นแบบของมนุษย์
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นในสากลจักรวาล
มีแต่จิตวิญญาณตามที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้น
ถ้าจะให้มอดทำหน้าที่ 2 มิติได้จึงต้องมีขันธ์ 5
ไว้เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณเพื่อใช้งาน
โดยใช้สัญชาตญาณแบบสัตว์กับจิตใต้สำนึก
เป็นตัวการในการขับเคลื่อนขันธ์ห้าที่ว่านี้
ซึ่งมีกลไกอายตนะภายนอกกับสมองหนึ่งก้อน
เป็นเครื่องมือในการสั่นสะเทือนทั้งสองมิติ
โดยใช้ความรักระดับสัญชาติญาณขับเคลื่อน
นี่คือกระบวนการสองมิติของพวกต่างดาว
แต่เพราะสิ่งมีชีวิตจำพวกนี้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกเขานั้นมีอิสระ
มิได้ถูกกักบริเวณไว้เหมือนจิตวิญญาณมนุษย์
จิตวิญญาณพวกเขาแต่เดิมอยู่ในระดับ 6D
ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับจิตวิญญาณของมนุษย์
จึงอวดแสดงอิทธิฤทธิ์จากอภิญญา 6 ของตน
ที่เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณทุกแบบได้
เมื่อพวกเขาใช้จิตใต้สำนึกอวดฤทธิ์มากเกินไป
จึงทำให้พลังอำนาจทางจิตวิญญาณเสื่อมลง
โดยเดิมอยู่ในมิติที่ 6D ต้องลดเหลือ 5D แล้ว
เมื่อพระเจ้าทรงพบความจริงนี้เข้า
จึงทรงออกแบบให้มนุษย์โลกเสรีนี้มี 2 จิต
คือจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณเสีย
แล้วกำหนดให้จิตวิญญาณถูกจำกัดพื้นที่ไว้
ไม่ให้ออกมาแสดงฤทธิ์อำนาจวิเศษแบบมอด
พวกคุณชาวโลกจึงไม่สามารถอวดอุตริได้
นอกจากมีพวกมอดเข้าแฝงร่างกำบังกายอยู่
นอกจากนั้น
พระเจ้ายังทรงออกแบบให้การหมุนธรรมจักร
ด้วยความรักตั้งแต่จิตวิญญาณปฏิสนธิในครรภ์
โดยจิตวิญญาณของผู้มาเกิดใหม่และพ่อแม่
ต้องร่วมกันหมุนธรรมจักรด้วยความรักเพื่อให้
เพื่อใช้ความรักความเมตตาค้ำจุนสมดุลโลก
อีกทั้งยังช่วยยกระดับจิตหยาบของทารกน้อย
จากมิติที่ 0D ให้สูงขึ้นได้เรื่อยๆด้วย
กระบวนการของจิตหยาบมนุษย์
จึงต่างจากกระบวนการทางจิตวิญญาณของมอด
ที่หนีมาจากต่างดาวแล้วเข้ามาแฝงตัวอยู่ในโลก
โดยพระเจ้าให้จิตหยาบมนุษย์เป็นผู้ยกระดับ
จากมิติศูนย์สู่มิติที่หกอันเป็นมิติเดียวกับแก่นแท้
ถ้ามนุษย์ยังยกระดับถึงมิติที่ห้าไม่ได้
ก็จะแสดงอภิญญฤทธิ์ 1 ใน 6 อวดใครยังไม่ได้
อภิญญฤทธิ์ที่ว่านี้ คือ คุณวิเศษหกประการ
ที่มอดมักเอามายั่วกิเลสมนุษย์ให้อยากนั่นแหละ
เราจึงกล่าวความจริงต่อพวกคุณตลอดมาว่า
“อย่าอยู่อย่างอยาก” เพราะคุณมาเกิดเป็นมนุษย์
มิใช่เกิดเป็น “อมนุษย์” ที่ต้องทำตนเหนือมนุษย์
พระพุทธองค์ก็ยังทรงตรัสเตือนสาวกเอาไว้ว่า
อย่าหาแสวงหาทำอุตริปาฏิหาริย์โดยเด็ดขาด
หากพวกคุณปฏิบัติดีประพฤติชอบไปเรื่อยๆแล้ว
จนจิตหยาบของคุณเข้าถึงมิติที่ 5D ได้เมื่อใด
อิทธิฤทธิ์เอยปาฏิหาริย์เอยมันก็จะเกิดขึ้นเอง
เพราะเป็นคุณสมบัติทางจิตวิญญาณอยู่แล้ว
โดยไม่ต้องใช้คาถาอาคมหรือเวทย์มนต์ด้วย
หญิงก็สำแดงได้ชายก็สำแดงได้ชาวบ้านก็ได้
ไม่จำกัดเพศและวัยจำกัดแค่ว่าต้อง 5D เท่านั้น
นี่เป็นอนุตรธรรมคัมภีร์ที่มอดและมนุษย์ไม่รู้
แถมพวกมอดมารพาลเกเรพวกนี้ยังไม่รู้ด้วยว่า
ที่ตนเองมีฤทธิ์แล้วฤทธิ์เสื่อมลงไปเพราะอะไร
ตนเสื่อมจากมิติที่ 6D เหลือแค่ 5D ได้ยังไง
แล้วอนาคตของตนจะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้
มอดรู้อย่างเดียวว่าถ้าตนจะมีชีวิตอยู่บนโลกได้
ต้องหลอกให้มนุษย์เสพกิเลสปฏิเสธความรักแท้
ต้องหลอกให้มนุษย์ทำตนเหมือนคนตายแล้ว
คือปฏิบัติทำตามคนนำทางตาบอดที่สอนให้ทำ
โดยสอนให้ทิ้งสังคมไปขังอยู่ใน #วิเวการาม
จะได้สร้างพลังงานร่วมที่เข้มข้นให้โลกไม่ได้
เพราะร่างกายมอดทนต่อสนามแม่เหล็กโลก
ที่มีความเข้มข้นสูงเกินกว่าระดับ 14 เก๊าส์ไม่ได้
มอดรู้อย่างเดียวว่าถ้าตนจะมีชีวิตอยู่บนโลกได้
ต้องลดจำนวนประชากรโลกให้น้อยลง
เพื่อเปิดที่ว่างให้พวกตนเข้ามาแทรกแฝงได้
จึงหลอกให้มนุษย์สร้างสวรรค์มายาขึ้นมา
เพื่อนำพาจิตวิญญาณตนเองขึ้นไปขังเอาไว้บนนั้น
โดยใช้อำนาจกิเลสที่ติดอยู่กับจิตหยาบนั่นแหละ
ทำให้จิตวิญญาณหลงมิติคล้อยตามเห็นงามด้วย
จนภูมิใจที่ได้ไปสถิตอยู่ในทิพยวิมานที่ไม่มีจริง
ไปเป็นเทพเทวดาที่เป็นรูปสมมุตินามสมมุติบนนั้น
เหมือนเด็กน้อยที่สนุกสนานในการ “เล่นกับเงา”
เมื่อหลุดลอยไปค้างบนสวรรค์มายานานจนลืม
ก็หลอกมนุษย์ว่าจิตวิญญาณนั้นนิพพานแล้ว
คือตายแล้วหายไปเลยแต่ไม่รู้ว่าหายไปไหน
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเตือนสติมนุษย์เอาไว้ว่า
มันเป็นแค่นิพพานแบบตาลยอดด้วนเท่านั้นเอง
เราหวังว่าพวกคุณคงจำพระวจนะบทนี้ได้ดีอยู่
สำหรับมนุษย์โลกทุกคนรวมทั้งเราด้วย
เมื่อแรกที่จิตวิญญาณเข้ามาเกิดในเอกภพนั้น
จะต้องแวะที่วิหารสีขาวตรงด่านนภาลัย
เพื่อวางแผนเขียนบทละครชะตาชีวิตร่วมกันขึ้น
ในแบบของการเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกัน
ใครจะแสดงบทไหนอย่างไรระหว่างพ่อแม่ลูก
ก็จะต้องวางแผนร่วมกันตรงวิหารสีขาวนั้น
จิตวิญญาณทุกรูปธรรม
จะต้องแบ่งภาคพลังงานตนเองออกมา
เป็นกลุ่มพลังงานจำนวนทั้งสิ้น 189 กลุ่ม
ซึ่งขันธ์ห้าเครื่องมือชิ้นสำคัญและจิตสามนึก
ก็รวมอยู่ใน 189 กลุ่มที่ว่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนจะแบกขนกันมา
ในลักษณะคล้ายแม่แมงมุมอุ้มถุงไข่ไว้
เมื่อได้รับโอกาสให้ปฏิสนธิในครรภ์มารดา
คลื่นพลังงานทั้ง 189 กลุ่มคือจิตหยาบที่ว่านี้
จะเป็นจิตหยาบที่อยู่ในมิติที่ 0D (มิติที่ศูนย์)
พวกคุณมีเวลาอยู่ในครรภ์มารดา 9 เดือน
มีเวลาตอนที่เป็นกุมารน้อยอีกราว 3 ขวบปี
ที่จะต้องเร่งยกระดับจิตหยาบให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยการหมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกับคนอื่นๆ
เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์ให้สำเร็จให้จงได้
ภายในไม่เกิน 6 หมื่นปีโลกโดยไม่ต้องตาย
จะได้ยกระดับจิตหยาบและสมองให้ต่อเนื่อง
เพื่อเป็นมนุษย์ให้เร็วที่สุดจะได้ฉุดช่วยโลกกัน
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาเป็นอนุตรธรรม
ที่พระเจ้าให้เรามาบอกพวกคุณที่เป็นมนุษย์
ผู้ปรารถนาจะหลุดพ้นกลับบ้านให้ทัน
ก่อนวันโลกมืดพร้อมกันทุกด้านนาน 8 ราตรี
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
2/05/2566
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สิ่งที่พวกคนนำทางตาบอดสอนผิดมานาน
ในเรื่องของ “อัตตา” กับ “อนัตตา” นั้น
มีอยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ “ขันธ์ 5” นี่แหละ
เป็นเรื่องที่มอดใช้วิชาของตนมาเสี้ยมสอน
เพราะมอดเข้าใจว่า “ตนเกิดจากขันธ์ห้า”
เนื่องจากมอดพบว่าจิตวิญญาณตนมีขันธ์ห้า
จึงคิดว่าขันธ์ห้าเป็นอัตตาต้นเหตุให้ตนเกิด
ขันธ์ห้าก็คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
ซึ่งคนชอบทำทั้งหลายที่เป็นชาวโลกรู้จักดี
แต่รู้จักแบบผิดๆรู้ไปตามที่มอดบิดเบือนให้รู้
ซึ่งพระพุทธองค์ผู้ทรงค้นพบ “ขันธ์ 5” ว่า
มันเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณมอดเท่านั้น
เพราะมอดเป็นดั่งสัตว์ทดลองของพระเจ้า
ที่ทรงทดลองสร้างเพื่อหาต้นแบบของมนุษย์
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นในสากลจักรวาล
มีแต่จิตวิญญาณตามที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้น
ถ้าจะให้มอดทำหน้าที่ 2 มิติได้จึงต้องมีขันธ์ 5
ไว้เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณเพื่อใช้งาน
โดยใช้สัญชาตญาณแบบสัตว์กับจิตใต้สำนึก
เป็นตัวการในการขับเคลื่อนขันธ์ห้าที่ว่านี้
ซึ่งมีกลไกอายตนะภายนอกกับสมองหนึ่งก้อน
เป็นเครื่องมือในการสั่นสะเทือนทั้งสองมิติ
โดยใช้ความรักระดับสัญชาติญาณขับเคลื่อน
นี่คือกระบวนการสองมิติของพวกต่างดาว
แต่เพราะสิ่งมีชีวิตจำพวกนี้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกเขานั้นมีอิสระ
มิได้ถูกกักบริเวณไว้เหมือนจิตวิญญาณมนุษย์
จิตวิญญาณพวกเขาแต่เดิมอยู่ในระดับ 6D
จึงอวดแสดงอิทธิฤทธิ์จากอภิญญา 6 ของตน
ที่เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณทุกแบบได้
เมื่อพวกเขาใช้จิตใต้สำนึกอวดฤทธิ์มากเกินไป
จึงทำให้พลังอำนาจทางจิตวิญญาณเสื่อมลง
โดยเดิมอยู่ในมิติที่ 6D ต้องลดเหลือ 5D แล้ว
เมื่อพระเจ้าทรงพบความจริงนี้เข้า
จึงทรงออกแบบให้มนุษย์โลกเสรีนี้มี 2 จิต
คือจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณเสีย
แล้วกำหนดให้จิตวิญญาณถูกจำกัดพื้นที่ไว้
ไม่ให้ออกมาแสดงฤทธิ์อำนาจวิเศษแบบมอด
พวกคุณชาวโลกจึงไม่สามารถอวดอุตริได้
นอกจากมีพวกมอดเข้าแฝงร่างกำบังกายอยู่
นอกจากนั้น
พระเจ้ายังทรงออกแบบให้การหมุนธรรมจักร
ด้วยความรักตั้งแต่จิตวิญญาณปฏิสนธิในครรภ์
โดยจิตวิญญาณของผู้มาเกิดใหม่และพ่อแม่
ต้องร่วมกันหมุนธรรมจักรด้วยความรักเพื่อให้
เพื่อใช้ความรักความเมตตาค้ำจุนสมดุลโลก
อีกทั้งยังช่วยยกระดับจิตหยาบของทารกน้อย
จากมิติที่ 0D ให้สูงขึ้นได้เรื่อยๆด้วย
กระบวนการของจิตหยาบมนุษย์
จึงต่างจากกระบวนการทางจิตวิญญาณของมอด
ที่หนีมาจากต่างดาวแล้วเข้ามาแฝงตัวอยู่ในโลก
โดยพระเจ้าให้จิตหยาบมนุษย์เป็นผู้ยกระดับ
จากมิติศูนย์สู่มิติที่หกอันเป็นมิติเดียวกับแก่นแท้
ถ้ามนุษย์ยังยกระดับถึงมิติที่ห้าไม่ได้
ก็จะแสดงอภิญญฤทธิ์ 1 ใน 6 อวดใครยังไม่ได้
อภิญญฤทธิ์ที่ว่านี้ คือ คุณวิเศษหกประการ
ที่มอดมักเอามายั่วกิเลสมนุษย์ให้อยากนั่นแหละ
เราจึงกล่าวความจริงต่อพวกคุณตลอดมาว่า
“อย่าอยู่อย่างอยาก” เพราะคุณมาเกิดเป็นมนุษย์
มิใช่เกิดเป็น “อมนุษย์” ที่ต้องทำตนเหนือมนุษย์
พระพุทธองค์ก็ยังทรงตรัสเตือนสาวกเอาไว้ว่า
อย่าหาแสวงหาทำอุตริปาฏิหาริย์โดยเด็ดขาด
หากพวกคุณปฏิบัติดีประพฤติชอบไปเรื่อยๆแล้ว
จนจิตหยาบของคุณเข้าถึงมิติที่ 5D ได้เมื่อใด
เพราะเป็นคุณสมบัติทางจิตวิญญาณอยู่แล้ว
โดยไม่ต้องใช้คาถาอาคมหรือเวทย์มนต์ด้วย
หญิงก็สำแดงได้ชายก็สำแดงได้ชาวบ้านก็ได้
ไม่จำกัดเพศและวัยจำกัดแค่ว่าต้อง 5D เท่านั้น
นี่เป็นอนุตรธรรมคัมภีร์ที่มอดและมนุษย์ไม่รู้
แถมพวกมอดมารพาลเกเรพวกนี้ยังไม่รู้ด้วยว่า
ที่ตนเองมีฤทธิ์แล้วฤทธิ์เสื่อมลงไปเพราะอะไร
ตนเสื่อมจากมิติที่ 6D เหลือแค่ 5D ได้ยังไง
มอดรู้อย่างเดียวว่าถ้าตนจะมีชีวิตอยู่บนโลกได้
ต้องหลอกให้มนุษย์เสพกิเลสปฏิเสธความรักแท้
ต้องหลอกให้มนุษย์ทำตนเหมือนคนตายแล้ว
คือปฏิบัติทำตามคนนำทางตาบอดที่สอนให้ทำ
โดยสอนให้ทิ้งสังคมไปขังอยู่ใน #วิเวการาม
จะได้สร้างพลังงานร่วมที่เข้มข้นให้โลกไม่ได้
เพราะร่างกายมอดทนต่อสนามแม่เหล็กโลก
ที่มีความเข้มข้นสูงเกินกว่าระดับ 14 เก๊าส์ไม่ได้
มอดรู้อย่างเดียวว่าถ้าตนจะมีชีวิตอยู่บนโลกได้
ต้องลดจำนวนประชากรโลกให้น้อยลง
เพื่อเปิดที่ว่างให้พวกตนเข้ามาแทรกแฝงได้
จึงหลอกให้มนุษย์สร้างสวรรค์มายาขึ้นมา
เพื่อนำพาจิตวิญญาณตนเองขึ้นไปขังเอาไว้บนนั้น
โดยใช้อำนาจกิเลสที่ติดอยู่กับจิตหยาบนั่นแหละ
ทำให้จิตวิญญาณหลงมิติคล้อยตามเห็นงามด้วย
จนภูมิใจที่ได้ไปสถิตอยู่ในทิพยวิมานที่ไม่มีจริง
ไปเป็นเทพเทวดาที่เป็นรูปสมมุตินามสมมุติบนนั้น
เหมือนเด็กน้อยที่สนุกสนานในการ “เล่นกับเงา”
เมื่อหลุดลอยไปค้างบนสวรรค์มายานานจนลืม
ก็หลอกมนุษย์ว่าจิตวิญญาณนั้นนิพพานแล้ว
คือตายแล้วหายไปเลยแต่ไม่รู้ว่าหายไปไหน
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเตือนสติมนุษย์เอาไว้ว่า
มันเป็นแค่นิพพานแบบตาลยอดด้วนเท่านั้นเอง
เราหวังว่าพวกคุณคงจำพระวจนะบทนี้ได้ดีอยู่
สำหรับมนุษย์โลกทุกคนรวมทั้งเราด้วย
เมื่อแรกที่จิตวิญญาณเข้ามาเกิดในเอกภพนั้น
จะต้องแวะที่วิหารสีขาวตรงด่านนภาลัย
เพื่อวางแผนเขียนบทละครชะตาชีวิตร่วมกันขึ้น
ในแบบของการเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกัน
ใครจะแสดงบทไหนอย่างไรระหว่างพ่อแม่ลูก
ก็จะต้องวางแผนร่วมกันตรงวิหารสีขาวนั้น
จิตวิญญาณทุกรูปธรรม
จะต้องแบ่งภาคพลังงานตนเองออกมา
เป็นกลุ่มพลังงานจำนวนทั้งสิ้น 189 กลุ่ม
ซึ่งขันธ์ห้าเครื่องมือชิ้นสำคัญและจิตสามนึก
ก็รวมอยู่ใน 189 กลุ่มที่ว่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนจะแบกขนกันมา
ในลักษณะคล้ายแม่แมงมุมอุ้มถุงไข่ไว้
เมื่อได้รับโอกาสให้ปฏิสนธิในครรภ์มารดา
คลื่นพลังงานทั้ง 189 กลุ่มคือจิตหยาบที่ว่านี้
จะเป็นจิตหยาบที่อยู่ในมิติที่ 0D (มิติที่ศูนย์)
พวกคุณมีเวลาอยู่ในครรภ์มารดา 9 เดือน
มีเวลาตอนที่เป็นกุมารน้อยอีกราว 3 ขวบปี
ที่จะต้องเร่งยกระดับจิตหยาบให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยการหมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกับคนอื่นๆ
เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์ให้สำเร็จให้จงได้
ภายในไม่เกิน 6 หมื่นปีโลกโดยไม่ต้องตาย
จะได้ยกระดับจิตหยาบและสมองให้ต่อเนื่อง
เพื่อเป็นมนุษย์ให้เร็วที่สุดจะได้ฉุดช่วยโลกกัน
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาเป็นอนุตรธรรม
ที่พระเจ้าให้เรามาบอกพวกคุณที่เป็นมนุษย์
ผู้ปรารถนาจะหลุดพ้นกลับบ้านให้ทัน
ก่อนวันโลกมืดพร้อมกันทุกด้านนาน 8 ราตรี
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
2/05/2566