พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
มนุษย์โลกกับสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นนั้น
มีโครงสร้างหลักแบ่งได้เป็น 2 อย่าง คือ
1.โครงสร้างทางกายภาพ
อันหมายถึง “ตัวตนรูปลักษณ์” ของกายหยาบ
ประกอบด้วย กระดูกสันหลัง แขน ขา ศีรษะ ลำตัว
เนื้อ หนัง เกล็ด เขี้ยว ฟัน มือ เท้า หาง หนวด
สีผิว สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม ดูดี ขี้เหร่
กลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า ผมหรือขน เป็นต้น
โครงสร้างทางกายภาพที่ว่านี้
คุณสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยกลไกอายตนะ
ได้อย่างชัดเจนและง่ายดายมาก
มีเพียงอย่างเดียวคือ “อวัยวะภายใน” ทุกชิ้นส่วน
รวมทั้งก้อนสมองเท่านั้นที่มองไม่เห็น
สังเกตได้ว่าแค่ว่าฉลาดมากฉลาดน้อยเท่านั้น
2.โครงสร้างทางพลังงาน
ถ้าเป็นมนุษย์โลกจะต่างจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
ก็ตรงที่มนุษย์ทุกคนจะมีสองภาคในตนเอง
ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งจะเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
อันหมายถึงจิตจักรวาลดวงเล็กซึ่งอยู่ในมิติที่ 11D
เพราะมีรูปทรงเรขาคณิตเป็นสิบเอ็ดเหลี่ยมมุม
โดยพระบิดาหรือพระเจ้าทรงเรียกว่า “พระบุตร”
ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งนี้
ได้แบ่งภาคตนเองออกมาเป็น #จิตวิญญาณ
ซึ่งมีรูปธรรมเป็นรูปทรงเรขาคณิต 6 เหลี่ยมมุม
หรือเป็นรูปธรรมที่อยู่ในมิติที่
6D
นั่นเอง
พระบิดาหรือพระเจ้าทรงเรียกว่า
“พระจิต”
พระจิตจึงเป็นตัวตนภาคที่สองของพระบุตรนั่นเอง
โดยตัวตนภาคแรกที่สูงส่งนี้
ปัจจุบันก็ยังคงดำรงอยู่กับพระเจ้าในแดนสุญตา
ซึ่งเป็นดินแดนของผู้ที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง
นอกระบบเอกภพที่เป็นห้องทดลองของพระเจ้า
เมื่อพระบุตรส่งพระจิตเป็นตัวแทนเข้ามาเกิด
เพื่อทำหน้าที่แทนพระเจ้าในเอกภพอันไพศาลนี้
จิตวิญญาณของพระบุตรจะแบ่งภาคตนเอง
ออกมาเป็นกลุ่มพลังงานที่เรียกว่า #จิตหยาบ
เพื่อให้จิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณทุกสิ่ง
โดยผลการกระทำไม่ว่าดีหรือชั่วผิดหรือถูกก็ตาม
จิตวิญญาณหรือพระจิตจะรับผิดชอบมันทั้งหมด
เหมือนกับตนเป็นผู้กระทำกรรมนั้นด้วยตนเอง
ภายใต้เงื่อนไขของ #กฎแห่งกรรม ของโลกเสรี
พระเจ้าทรงออกแบบกำหนดให้มนุษย์โลก
ต้องใช้ “จิตหยาบ” ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ขณะที่สัตว์ทั่วไปและสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นไม่มี
ก็เพื่อป้องกันมิให้มนุษย์ใช้อภิญญฤทธิ์พร่ำเพรื่อ
เพราะจิตวิญญาณในมิติที่ 6D นั้นจะมีฤทธิ์มาก
ชาวดาวอื่นจิตวิญญาณจึงตกชั้นเหลือ
5D
แล้ว
เพราะพวกเขามีแต่จิตใต้สำนึกไม่มีจิตสามนึกใช้
จึงใช้กันพร่ำเพรื่อใช้ไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์
พระเจ้าจึงทรงดูดซับกลับคืนไปทุกครั้งที่ใช้ผิด
ขณะที่สัตว์ประจำโลกแม้จะมีแต่จิตวิญญาณ
พวกเขาก็ถูกออกแบบให้ใช้ “จิตสัญชาตญาณ”
ในการดำเนินชีวิตร่วมกันเป็นสัตว์สังคมเท่านั้น
พวกเขาจึงแสดงอภิญญฤทธิ์แบบอวดอุตริไม่ได้
นอกจากใช้เพื่อการดำเนินชีวิตบนโลกเท่านั้น
ดังนั้น
ชาวโลกเสรีทั้งหลาย
จึงเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่จะต้องกลับบ้าน
โดยขามามีเพียงหนึ่งเดียว คือ “จิตวิญญาณ”
แต่ขากลับบ้านนั้นจะต้องเป็นสองในหนึ่งเดียวกัน
นั่นคือคุณจะต้องยกระดับจิตหยาบ
ที่แต่เดิมเป็นแค่กลุ่มพลังงาน 189 กลุ่ม
เพื่อให้กลายเป็น
“กล่องพลังงาน” ที่มี 6D ให้ได้
พวกคุณมีเวลายกระดับจิตหยาบ
ด้วยการหมุนธรรมจักรร่วมกันให้จงได้ในทุกกรณี
โดยรักได้ให้อภัยเป็นไม่เห็นแก่ตัวไม่ปลีกวิเวก
ไม่ปิดอายตนะภายนอกเพื่อแสร้งทำให้มันพิการ
พระเจ้าทรงให้เวลาพวกคุณทุกคนนาน 6 หมื่นปี
โดยเกิดแล้วไม่ต้องตายจะได้ยกระดับให้ต่อเนื่อง
แปลว่าทรงประทานชีวิตอมตะให้จิตวิญญาณคุณ
ตั้งแต่แรกอาสาเข้ามาเกิดเป็นคนสองมิติแล้ว
ถ้าจิตหยาบของคุณสั่นสะเทือนด้านบวก
ด้วยความรักเพื่อให้แบบรักไร้เงื่อนไขในทุกครั้ง
ภารกิจของจิตวิญญาณในการหมุนธรรมจักร
เพื่อมอบพลังงานความรักค้ำจุนโลกให้สมดุล
ก็จะประสบผลสำเร็จไปทุกครั้งด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้นจิตหยาบของคุณและของทุกคน
ก็จะค่อยๆยกระดับสู่การเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณของพวกคุณด้วยกันเอง
ตามสมการพลังงาน ∑βₓ อีกต่างหากด้วย
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
11/05/2566
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
มนุษย์โลกกับสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นนั้น
มีโครงสร้างหลักแบ่งได้เป็น 2 อย่าง คือ
1.โครงสร้างทางกายภาพ
อันหมายถึง “ตัวตนรูปลักษณ์” ของกายหยาบ
ประกอบด้วย กระดูกสันหลัง แขน ขา ศีรษะ ลำตัว
เนื้อ หนัง เกล็ด เขี้ยว ฟัน มือ เท้า หาง หนวด
สีผิว สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม ดูดี ขี้เหร่
กลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า ผมหรือขน เป็นต้น
โครงสร้างทางกายภาพที่ว่านี้
คุณสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยกลไกอายตนะ
ได้อย่างชัดเจนและง่ายดายมาก
มีเพียงอย่างเดียวคือ “อวัยวะภายใน” ทุกชิ้นส่วน
รวมทั้งก้อนสมองเท่านั้นที่มองไม่เห็น
สังเกตได้ว่าแค่ว่าฉลาดมากฉลาดน้อยเท่านั้น
2.โครงสร้างทางพลังงาน
ถ้าเป็นมนุษย์โลกจะต่างจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
ก็ตรงที่มนุษย์ทุกคนจะมีสองภาคในตนเอง
ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งจะเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
อันหมายถึงจิตจักรวาลดวงเล็กซึ่งอยู่ในมิติที่ 11D
โดยพระบิดาหรือพระเจ้าทรงเรียกว่า “พระบุตร”
ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งนี้
ได้แบ่งภาคตนเองออกมาเป็น #จิตวิญญาณ
ซึ่งมีรูปธรรมเป็นรูปทรงเรขาคณิต 6 เหลี่ยมมุม
พระจิตจึงเป็นตัวตนภาคที่สองของพระบุตรนั่นเอง
โดยตัวตนภาคแรกที่สูงส่งนี้
ปัจจุบันก็ยังคงดำรงอยู่กับพระเจ้าในแดนสุญตา
ซึ่งเป็นดินแดนของผู้ที่อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง
นอกระบบเอกภพที่เป็นห้องทดลองของพระเจ้า
เมื่อพระบุตรส่งพระจิตเป็นตัวแทนเข้ามาเกิด
เพื่อทำหน้าที่แทนพระเจ้าในเอกภพอันไพศาลนี้
จิตวิญญาณของพระบุตรจะแบ่งภาคตนเอง
ออกมาเป็นกลุ่มพลังงานที่เรียกว่า #จิตหยาบ
เพื่อให้จิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณทุกสิ่ง
โดยผลการกระทำไม่ว่าดีหรือชั่วผิดหรือถูกก็ตาม
จิตวิญญาณหรือพระจิตจะรับผิดชอบมันทั้งหมด
เหมือนกับตนเป็นผู้กระทำกรรมนั้นด้วยตนเอง
ภายใต้เงื่อนไขของ #กฎแห่งกรรม ของโลกเสรี
พระเจ้าทรงออกแบบกำหนดให้มนุษย์โลก
ต้องใช้ “จิตหยาบ” ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ขณะที่สัตว์ทั่วไปและสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นไม่มี
ก็เพื่อป้องกันมิให้มนุษย์ใช้อภิญญฤทธิ์พร่ำเพรื่อ
เพราะจิตวิญญาณในมิติที่ 6D นั้นจะมีฤทธิ์มาก
จึงใช้กันพร่ำเพรื่อใช้ไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์
พระเจ้าจึงทรงดูดซับกลับคืนไปทุกครั้งที่ใช้ผิด
ขณะที่สัตว์ประจำโลกแม้จะมีแต่จิตวิญญาณ
พวกเขาก็ถูกออกแบบให้ใช้ “จิตสัญชาตญาณ”
ในการดำเนินชีวิตร่วมกันเป็นสัตว์สังคมเท่านั้น
พวกเขาจึงแสดงอภิญญฤทธิ์แบบอวดอุตริไม่ได้
นอกจากใช้เพื่อการดำเนินชีวิตบนโลกเท่านั้น
ดังนั้น
ชาวโลกเสรีทั้งหลาย
จึงเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่จะต้องกลับบ้าน
โดยขามามีเพียงหนึ่งเดียว คือ “จิตวิญญาณ”
แต่ขากลับบ้านนั้นจะต้องเป็นสองในหนึ่งเดียวกัน
นั่นคือคุณจะต้องยกระดับจิตหยาบ
ที่แต่เดิมเป็นแค่กลุ่มพลังงาน 189 กลุ่ม
พวกคุณมีเวลายกระดับจิตหยาบ
ด้วยการหมุนธรรมจักรร่วมกันให้จงได้ในทุกกรณี
โดยรักได้ให้อภัยเป็นไม่เห็นแก่ตัวไม่ปลีกวิเวก
ไม่ปิดอายตนะภายนอกเพื่อแสร้งทำให้มันพิการ
พระเจ้าทรงให้เวลาพวกคุณทุกคนนาน 6 หมื่นปี
แปลว่าทรงประทานชีวิตอมตะให้จิตวิญญาณคุณ
ตั้งแต่แรกอาสาเข้ามาเกิดเป็นคนสองมิติแล้ว
ถ้าจิตหยาบของคุณสั่นสะเทือนด้านบวก
ด้วยความรักเพื่อให้แบบรักไร้เงื่อนไขในทุกครั้ง
ภารกิจของจิตวิญญาณในการหมุนธรรมจักร
เพื่อมอบพลังงานความรักค้ำจุนโลกให้สมดุล
ก็จะประสบผลสำเร็จไปทุกครั้งด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้นจิตหยาบของคุณและของทุกคน
ก็จะค่อยๆยกระดับสู่การเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณของพวกคุณด้วยกันเอง
ตามสมการพลังงาน ∑βₓ อีกต่างหากด้วย
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
11/05/2566