07 พฤษภาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 7/05/2023

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ซาตานที่จะยกตนเป็นคนนำทางตาบอดรุ่นใหม่
ซึ่งทำหน้าที่เป็นแผงโซล่าเซลล์ให้มอดกันนั้น
ถูกมอดหลอกลวงให้เชื่อด้วย “เสียงที่ในหัว”
บางทีพวกมารรุ่นใหม่นี้จะเรียกว่า #เสียงภายใน
โดยเสียงในหัวกับเสียงภายในก็คือแบบเดียวกัน
 
วิธีการที่มอดทำแบบนี้กับ “เด็กรุ่นใหม่”
เป็นวิธีเดียวกันกับที่เคยใช้กับคนนำทางตาบอด
ให้หลงเชื่อจนตกเป็นทาสพวกมอดกันมาแล้ว
ตั้งแต่อดีตกาลนับพันปีที่ผ่านมาจนทุกวันนี้
ยิ่งเด็กน้อยคนที่ชอบเรื่องผีเรื่องสิ่งลี้ลับขึ้นสมอง
แต่บกพร่องทางด้านภูมิรู้ภูมิธรรมและภูมิปัญญา
ขณะจิตหยาบถูกกิเลสครอบงำเพราะยังมิได้ชำระ
จึงตกหลุมพราง “มอด” จากเสียงในหัวนี่แหละ
 
พวกมารที่เป็น “ซาตาน” รุ่นใหม่
ไม่เคยนึกที่จะคิดถามตนเองด้วยปัญญาว่า
เสียงที่ได้ยินอยู่ในหัวคือเสียงตัวเองหรือเสียงใคร
มันเป็นเสียงที่มีแหล่งกำเนิดมาจากไหนจากใคร
ทำไมคนทั้งโลกไม่ได้ยินได้ยินแค่ตนกับบางคน
เสียชาติเกิดที่เป็นคนรุ่นใหม่แต่คิดวิเคราะห์ไม่เป็น
จึงติดกับดักของมอดและตกหลุมพรางมอดกันไป
เพราะเชื่อว่าตนเป็น “ผู้วิเศษ” เหนือมนุษย์คนอื่น
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไปของเสียงในหัวนั้นเลย
 
ในทางการแพทย์นั้น
จิตแพทย์จะวิเคราะห์อาการแบบนี้ว่าเจ้านี่ “ป่วย”
เป็นอาการป่วยด้วยโรค “หูแว่ว” นี่แหละ
จิตแพทย์จะให้ยาวิทยาศาสตร์มารับประทาน
เพื่อบำบัดแก้ไขอาการป่วยด้วยโรคหูแว่วให้หาย
ใครป่วยด้วยโรคนี้แม้กินยาอาการก็จะไม่หายขาด
ขาดยาเมื่อไหร่อาการหูแว่วก็จะกลับมาเป็นได้อีก
 
สังเกตจากอาการเสียงแว่วที่หูได้ยินอยู่ในหัวว่า
ถ้าเป็นแบบ “หูหาเรื่อง” เช่น ได้ยินคนนั้นคนนี้
เขาด่าเขาติฉินนินทาว่าร้ายฉันอย่างนั้นอย่างนี้
อาการหูแว่วแบบหาเรื่องตามลักษณะที่ว่านี้
ก็เชื่อว่าเป็นการป่วยด้วยโรคกรรมตามสนองแน่ๆ
เพราะเป็นการป่วยจากผลกรรมที่ก่อมาในอดีต
จากการเป็นคน “หูเบา” เชื่อคำหลอกลวงยุยง
โดยไม่ใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้แน่ชัดก่อนเชื่อ
จนทำให้ตัดสินคนอื่นผิดเพราะหูเบาและโง่ง่าย
ยังผลให้บางคนถูกตนทำร้ายจนเจ็บจิตคิดแค้น
เป็นเหตุให้คนอื่นๆเสียหายเสียใจเสียสมดุลไป
ซึ่งคนๆนั้นประพฤติผิดแบบนี้มาตลอดทั้งชีวิต
 
เมื่อมาเกิดชาติใหม่ในชาตินี้
จึงเข้าทำนองของสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
อาการ “หูแว่ว” เพราะป่วยทางจิตจึงต้องเกิดขึ้น
เพื่อให้ได้สติทางวิญญาณจากการเรียนรู้ว่า
การได้ยินคำนินทาว่าร้ายจากปากคนที่เขาเล่าว่า
โดยไม่รู้ว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
ประเภท “หูเบา” ใครเป่าหูก็ “เชื่อ” ไปตามนั้นแล้ว
เวรกรรมก็คือ “หูหาเรื่อง” เพราะคุณเชื่อว่าจริง
คนที่คุณเข้าใจผิดว่ามันเป็นคนนินทาว่าร้ายคุณน่ะ
แท้แล้วในอดีตชาติพวกมันคือคน “เป่าหู” คุณมา
กฎแห่งกรรมจึงยุติธรรมกับพวกคุณทุกคนแล้ว
 
แต่ถ้าเสียงแว่วในหัวในหูคุณที่ได้ยิน
มิใช่เรื่องของการนินทาว่าร้ายตามกฎแห่งกรรม
ดังตัวอย่างที่เรากล่าวเล่ามาข้างต้นแล้ว
อย่างนี้มันคือการส่งสัญญาณคลื่นเสียงจากมอด
ที่เป็นหนึ่งในอภิญญา 6 ที่พวกมันมีอยู่และใช้ได้
 
เพราะจิตวิญญาณมอดอยู่ในมิติที่ 6D และ 5D
ซึ่งมอดทุกตัวไม่มี “จิตหยาบ” ใช้ขณะที่มีชีวิตอยู่
แต่มนุษย์โลกต้องมีจิตหยาบแทนจิตวิญญาณ
เพราะพระเจ้าทรงให้จิตวิญญาณเก็บตัวในที่ลับ
เพื่อความปลอดภัยจากการถูกทำร้ายโดยมอดมาร
มนุษย์ทุกคนจึงแสดงอภิญญฤทธิ์แบบมอดไม่ได้
เพราะจิตหยาบกำลังยกระดับจาก 4D สู่ 5D อยู่
 
เมื่อจิตหยาบเข้าถึงมิติที่ 5D ได้เมื่อไหร่
หมายถึงจิตหยาบมิได้เป็นแค่กลุ่มพลังงานแล้ว
แต่สามารถสร้างตนเองให้เป็นกล่องพลังงาน
ที่เริ่มจะมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 5เหลี่ยมมุมได้แล้ว
จิตหยาบของมนุษย์จะเริ่มเกิดอภิญญฤทธิ์ได้บ้าง
พระพุทธองค์จึงทรงห้ามไว้ว่าอย่าอวดอิทธิฤทธิ์
เพราะจะทำให้จิตหยาบเสื่อมพลังอำนาจลงทันที
จนไม่สามารถจะก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องต่อไปได้
ประดา “เจ้ากู” ทั้งหลายที่มีฤทธิ์แล้วเสื่อมฤทธิ์
เพราะไม่เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ทั้งนั้น
 
ส่วนใหญ่สิ่งที่ได้ยินก้องดังอยู่ในหัวหรือในหู
หากมอดกระทำการสื่อสารให้คนนำทางตาบอดรู้
รวมทั้งสื่อสารกับกรรมกรแสงพวกซาตานรุ่นใหม่
จะสื่อสารทางเดียวคือ One way Communication
โดยมอดจะเป็นผู้สื่อเสียงมาให้อยู่ข้างเดียวเท่านั้น
ผู้รับเสียงอยากจะถามอะไรอีกฝ่ายหนึ่งก็ถามไม่ได้
นอกจากจะนึกถามนึกสงสัยด้วยจิตเอาเองเท่านั้น
 
พวกมอดจะใช้วิธี “เพ่งกสิณลม”
ตรงเข้าไปยัง “ก้านสมอง” ของคนๆนั้นโดยตรง
เพื่อสื่อคลื่นเสียงเป็นรหัสที่ตนต้องการจะสื่อให้
เพราะก้านสมองส่วนท้ายทอยของมนุษย์
เป็นสมองที่จิตสามนึกของมนุษย์สั่งการไม่ได้
จะสั่งการได้ด้วยจิตวิญญาณของคุณเองเท่านั้น
พวกมอดจึงสามารถ “สอดแทรก” หรือเสือกได้
โดยใช้คลื่นเสียงจากกสิณลมในย่านความถี่ต่ำ
เป็นกระบวนการที่พวกทาสมอดไม่เคยรู้มาก่อน
จึงไม่อาจรู้ว่าเสียงในหัวเกิดได้ยังไงมาจากไหน
เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับข้อมูลจนลืมฉุกคิดสงสัย
 
เหตุที่มอดใช้กสิณลมเพราะไม่ต้องการทำร้าย
เหมือนกับการเพ่งกสิณน้ำหรือกสิณไฟใส่ศัตรู
จึงใช้แค่คลื่นลมนำพาข้อมูลจากจิตมอดสู่ผู้รับ
ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง ”ลี้ลับ” ที่ตื่นเต้นชวนติดตาม
เพราะถูกจริตผู้ถูกคัดเลือกให้เป็นกรรมกรแล้ว
 
พวกนี้ตำราธรรมคัมภีร์พระศาสดาปกสีอะไรก็ไม่รู้
เพราะไม่เคยอ่านไม่เคยศึกษายังไม่เคยเรียนรู้เลย
ได้แต่พูดตามที่ได้ยินจากมอดถ่ายทอดให้เท่านั้น
ก็หลอกเด็กรุ่นใหม่ด้วยกันว่าตนเป็นคุรุกันได้แล้ว
การ “จับแพะชนแกะ” จนมั่วซั่วจึงปรากฏให้คุณเห็น
ตามที่เราได้อธิบายขยายความไว้ในตอนที่ผ่านมา
 
ซาตานทาสมอดที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ในยุคนี้
จะมีความคิดโน้มเอียงในการเชื่อตามเสียงมอด
โดยไม่รู้ว่าตนกำลังเล่นอยู่กับหางงูพิษดั่งหางหนู
ขณะมอดตัวพ่อคือหัวงูกำลังอ้าปากชูคอแผ่แม่เบี้ย
พร้อมจะฉกจะกัดจะพ่นพิษทำร้ายตนอย่างน่ากลัว
เพราะมัวเล่นกับหางอสรพิษแต่มองไม่เห็นหัว
เนื่องจากพวกมันแฝงตัวแอบซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง
ซึ่งเป็นบทบาทของศัตรูที่ไม่กล้าสู้หน้าโดยแท้
 
ซาตานรุ่นใหม่ชอบแย้งว่า
ถ้าพระเจ้ามีจริงทำไมปล่อยให้มอดมารทำร้ายตน
แสดงว่า “พระเจ้า” ไม่รักตนหรือพระเจ้าไม่มีอยู่จริง
เพราะเด็กพวกนี้ไม่รู้ว่าพระองค์ให้สติปัญญาไว้แล้ว
ที่ทรงไม่ทำร้ายเพราะมอดมารเป็นบุตรของพระองค์
เช่นเดียวกันกับพวกคุณที่เป็นลูกแกะของพระองค์
 
ใยไม่ถามตนเองบ้างว่า
ทำไมฉลาดกันแต่เรื่องโง่ๆไม่ฉลาดในเรื่องอื่นบ้าง
พระเจ้าทรงติดตั้งอวัยวะและอายตนะไว้ให้ใช้แล้ว
พระเจ้าทรงประทานอำนาจในตนเองไว้ให้แล้วด้วย
เมื่อตกเป็นทาสมอดมารเพราะงอมืองอเท้ากันเอง
จะเพ่งโทษพระเจ้าได้อย่างไร
 
นอกจากนั้น
คุณจะอ้างว่าเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวของตน
ใครจะไปรู้ได้ว่าเป็นเสียงมอดมารหรือพระเจ้านั้น
เราก็ขอบอกว่ามันคือตัวชี้วัดความโง่หรือฉลาด
วัดสภาวะจิตคุณว่ามีสนิมกิเลสอยู่มากหรือน้อย
ซึ่งเป็นบททดสอบและบทเรียนของคุณเอง
ที่พระเจ้าทรงเมตตาออกแบบไว้ให้มนุษย์ทุกคน
ได้เผชิญกันอย่างทั่วหน้าและทั่วถึงกัน
เพราะโลกนี้เป็นโลกเสรีทุกคนเป็นมนุษย์โลกเสรี
โลกจึงเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีโดยปริยาย
 
คุณจะอ้างว่าเป็นมอดมารสื่อหรือพระเจ้าสื่อ
ก็ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อจึงไม่อาจรู้ได้นั้น
คุณยังมีตาที่สามคือดวงตาแห่งปัญญามิใช่หรือ
ทำไมไม่หยิบมันขึ้นมาใช้ส่องมองกันด้วยเล่า
กลัวว่าจะฉลาดรู้ทันพวกมอดมารหรืออย่างไรกัน
 
เราจะบอกความจริงให้รู้ว่า
ถ้าจิตวิญญาณคุณไม่มีหน้าที่เป็นศาสดา
ที่พระองค์ทรงส่งเข้ามาจุติในระบบโลก
เพื่อกล่าวพระโอวาทแทนพระองค์แล้ว
พระเจ้าจะไม่ทรงสื่อสารกับพวกคุณแน่นอน
และวิธีการติดต่อสื่อสารกับพระเจ้านั้น
จะเป็น “คลื่นความคิด” จากจิตสู่จิตเท่านั้น
มิใช่ “คลื่นเสียง” ที่ดังอยู่ในหัวแบบมอด
ซึ่งเป็นการสื่อเสียงทางเดียวจะสนทนาไม่ได้
 
ดังนั้น
ที่บอกว่า “สนทนากับพระเจ้า” จึงเป็นเรื่องลวง
มันคือการฟัง “มอด” กล่าวจากในหัวของตน
ด้วยวิธีอวดอุตริอวิชชาโดยแท้
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
7/05/2566