พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เรื่องของนิพพานเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
แต่คนนำทางตาบอดถูกมอดหลอกให้สับสน
จึงสอนให้นิพพานแบบ “ตาลยอดด้วน” แทน
โดยหลอกให้นำพาจิตวิญญาณของตนเอง
หลุดลอยขึ้นไปติดค้างอยู่บน “สวรรค์มายา”
เหมือนว่าวสายป่านขาดไปค้างอยู่บนกิ่งไม้
ทำให้ว่าวตัวนั้นลอยไปลอยมาอยู่กับที่
จะลอยสูงขึ้นไปอีกก็ไม่ได้เพราะมีเชือกรั้งอยู่
ครั้นจะลอยกลับลงมาสู่พื้นดินก็ลงมาไม่ได้อีก
เพราะติดลมบนที่พัดแรงกว่าลมเบื้องล่างแล้ว
จิตวิญญาณที่หลุดลอยขึ้นไปติดค้างอยู่บนนั้น
จะมีอาการไม่ต่างจาก “ว่าว” ที่หลุดลอยนี้
โดยจะลอยอยู่บนนั้นไม่มีวันกำหนดหมดอายุ
เพราะจิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ซึ่งเป็นกล่องพลังงานที่สมดุลอยู่ในตนเอง
เป็นสรรพสิ่งที่มีอัตตาแต่คุณสมบัติเป็นอนัตตา
จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานะไปเป็นอื่นได้
ทำให้ต้องล่องลอยติดค้างอยู่ตรงนั้นตลอดไป
ยิ่งจิตวิญญาณพวกนี้หลงมิติ
จะยิ่งพึงพอใจในสถานะที่ตนเองเป็นอยู่มีอยู่
พึงพอใจรูปรสกลิ่นเสียงตามรหัสในสัญญาขันธ์
จิตวิญญาณพวกนี้จึงหลงตัวตนมายารูปลักษณ์
ประเภทหน้าตาเครื่องทรงมงกุฎเสื้อผ้าอาภรณ์
พึงพอใจในวิมานทิพย์ที่จิตวิญญาณเนรมิตขึ้น
ตามแบบพิมพ์เขียวที่มอดจัดแสดงไว้ในอาราม
ความพึงพอใจนี่แหละคือกิเลสที่คนชอบทำไม่รู้
ซึ่งเป็นที่มาของทุกสิ่งในสวรรค์มายาโดยแท้
เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุของความอยากไม่อยาก
ความอยากไม่อยากคือ “ตัณหา” ที่มาจากกิเลส
พวกเทพเทวดานามสมมติที่ผุดขึ้นไปโผล่บนนั้น
จนไปติดค้างอยู่อย่างยาวนานโดยไม่รู้เบื่อหน่าย
เพราะความ “ลุ่มหลงงมงาย” ในสิ่งที่ตนเป็นตนมี
ความลุ่มหลงงมงายที่ว่านี้
เป็นอาการเดียวกันกับความโกรธและความโลภ
ซึ่งเป็นอารมณ์ขยะรายวันของจิตหยาบมนุษย์
ทั้งตัณหาราคะอารมณ์ขยะก็คือบริวารของกิเลส
มนุษย์ตั้งแต่อายุครบสามขวบจะสามารถเข้าถึง
ความรักของจิตวิญญาณกับสติปัญญาของสมอง
เพื่อหมุนธรรมจักรในตนเองและหมุนร่วมกับผู้อื่น
ได้ไม่ได้อยู่ที่ว่าจิตหยาบมีกิเลสรกรุงรังหรือเปล่า
เนื่องจากพระเจ้าทรงออกแบบให้
จิตหยาบของมนุษย์สามารถทำหน้าที่ได้ทีละเรื่อง
ตัวอย่างเช่น
เมื่อต้องการจะนึกจิตมนุษย์ก็จะนึกได้ทีละเรื่อง
เมื่อคิดจิตก็จะสั่งการให้สมองคิดไปตามที่นึก
โดยมนุษย์จะคิดไปตามที่นึกนั้นได้ทีละเรื่อง
ถ้าคุณนึกพร้อมกันเพื่อจะคิดพร้อมกันหลายเรื่อง
คุณก็จะเกิดอาการเครียดทางประสาทเสมอ
ที่สำคัญคือความคิดของคุณนั้นจะเลอะเทอะ
จนไม่อาจหาคำตอบที่รอบครอบตามต้องการได้
ภาษาจิตจักรวาลเรียกว่า #ขาดสมาธิในการคิด
ดังนั้น
พระเจ้าจึงทรงเมตตาให้เรากล่าวต่อพวกคุณว่า
เรื่องขันธ์ห้าเรื่องธรรมจักรและเรื่องนิพพาน
เป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าเรื่อง “อัตตาอนัตตา”
สำหรับผู้ปรารถนาจะหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตา
แต่พวกคนนำทางตาบอดกลับพามนุษย์หลงทาง
โดยให้หลงปฏิบัติทำในสิ่งที่ตนชอบซึ่งมันไม่ใช่
ให้หลงเรียนรู้เรื่องอัตตาอนัตตาที่ตนไม่เข้าใจ
หรือแม้ว่าจะเข้าใจแต่ก็เป็นสิ่งที่มีสาระน้อยมาก
หากเปรียบเทียบกับเรื่องของการหลุดพ้นนิพพาน
ซึ่งจิตวิญญาณพวกคุณปรารถนาจะรู้กันมากกว่า
พระเจ้าทรงตรัสว่า
#มรรคผลสูงสุดของจิตวิญญาณคือการหลุดพ้น
เพื่อนำจิตวิญญาณของตนกลับบ้านแดนสุญตา
โดยจิตหยาบต้องเป็นผู้นำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
ซึ่งจิตหยาบจะพาจิตวิญญาณกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อ
จิตหยาบจะต้องยกระดับจนเข้าถึงมิติที่ 6D ให้ได้
อันหมายถึงจิตหยาบจะต้องเปลี่ยนจากสภาวะเดิม
ที่เป็นกลุ่มพลังงาน 189 กลุ่มซึ่งอยู่ในมิติที่ “ศูนย์”
ให้เป็น “กล่องพลังงาน” ที่มีความสมดุลในตนเอง
เป็นกล่องพลังงานรูปทรงเรขาคณิต 6 เหลี่ยมมุม
แบบเดียวกับที่จิตวิญญาณแก่นแท้เป็นอยู่ให้จงได้
เพื่อผนึกพลังร่วมกันยกระดับขึ้นสู่มิติที่ 7D-11D
เหมือนนกตัวเดียวที่มีปีกสองข้างบินกลับรังต่อไป
บนเส้นทางสายนี้
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้และต้องทำก็คือ
ต้องหมั่นหมุนธรรมจักรด้วยความรักเพื่อให้
กับคนรอบข้างทุกคนให้จงได้
โดยไม่มีเงื่อนไขว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร
เป็นพ่อแม่ผัวเมียลูกญาติพี่น้องของตนหรือไม่
ไม่มีเงื่อนไขว่าเขาคนนั้นจะทำดีหรือชั่วต่อตัวคุณ
คุณจะต้องใช้ปัญญามองเห็นคุณค่าของเขาให้ได้
ด้วยการอดทน อดกลั้นและให้อภัยได้เสมอ
อันหมายถึง #รักอย่างไม่มีเงื่อนไข นั่นเอง
คุณอย่าไปสับสนกับคำสอนอุตริของมอด
ในเรื่องสิ่งไหนเป็นอัตตาหรือสิ่งไหนเป็นอนัตตา
จงสนใจแต่เพียงว่า
1.อนัตตาเป็นผู้สร้างอัตตา
โดยพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งในเอกภพ
พระองค์ทรงเป็นอนัตตาแต่ทรงมีอัตตาของตนเอง
คือมีรูปธรรมเป็นรูปทรงเรขาคณิต 12 เหลี่ยมมุม
2.สรรพสิ่งในเอกภพล้วนมีอัตตาตัวตนทั้งสิ้น
อัตตาตัวตนของสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมานั้น
มีทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง ขนาดและคุณสมบัติเฉพาะ
3.รูปลักษณ์ รส กลิ่น เสียง ขนาดและคุณสมบัติ
เป็น #มายาของแก่นแท้ ที่เร้นตนเองอยู่ข้างใน
โดยเปลือกนอกที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นกันได้นั้น
จะมี “อัตตา” แต่ก็มิใช่ตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด
อัตตาที่คุณสัมผัสได้จึงเป็นแค่ตัวแทนของแก่นแท้
ซึ่งเป็น “อัตตาตัวตนที่แท้จริง” ที่อยู่ข้างในเท่านั้น
4.ตัวตนแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง
จะเป็นรูปธรรมที่อยู่ในมิติทางพลังงานเท่านั้น
อายตนะทั้งห้าของมนุษย์ไม่อาจสัมผัสโดยตรงได้
จึงต้องสัมผัสผ่านเปลือกนอกที่เป็น “มายา”
เพื่ออ่านด้วยจิตปัญญาว่าแก่นแท้นั้นเป็นเช่นไร
คำว่า “อ่าน” ในที่นี้หมายถึงการเรียนรู้นั่นเอง
5.เมื่อทุกสรรพสิ่งมีมายาเปลือกนอกคือมีอัตตา
โดยแก่นแท้คือพลังงานที่เร้นอยู่ข้างในเป็นอนัตตา
ถ้าคุณหลงมายาของสิ่งนั้นโดยคิดว่าเป็นแก่นแท้
ทั้งๆที่มันเป็นเพียงแค่เงามายาของแก่นแท้เท่านั้น
แสดงว่าจิตคุณได้สร้างอัตตาของสิ่งนั้นขึ้นเองแล้ว
คุณก็จะเกิดอาการโลภ โกรธ หลง งมงายเสมอ
โดยมีสารตั้งต้นคือกิเลสทีทำให้เกิดบริวารมากมาย
ทั้ง 5 ประการที่เรากล่าวมานี้แสดงให้คุณเห็นว่า
ตัวแสบที่สร้างปัญหาให้คุณต้องหมุนกรรมจักร
จิตวิญญาณต้องวนลูปต้องมีภพชาติต้องมีสังสารวัฏ
จนไม่อาจหมุนธรรมจักรได้ตลอดชีวิตมาทุกภพชาติ
เพราะ #กิเลสมาร มิใช่เรื่องอัตตาอนัตตาใช่หรือไม่
แถมถูกมอดหลอกขึ้นไปทำตนเป็นแผงโซล่าเซลล์
อยู่บนสวรรค์มายาที่พระเจ้ามิได้สร้างไว้ชั่วกาลนาน
เพื่อเป็นกรรมแสงผลิตพลังจิตให้มอดดักดูดอีกด้วย
ซึ่งเป็น #นิพพานเทียมเท็จ ดีๆนี่เอง
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
4/05/2566
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เรื่องของนิพพานเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
แต่คนนำทางตาบอดถูกมอดหลอกให้สับสน
จึงสอนให้นิพพานแบบ “ตาลยอดด้วน” แทน
โดยหลอกให้นำพาจิตวิญญาณของตนเอง
หลุดลอยขึ้นไปติดค้างอยู่บน “สวรรค์มายา”
เหมือนว่าวสายป่านขาดไปค้างอยู่บนกิ่งไม้
ทำให้ว่าวตัวนั้นลอยไปลอยมาอยู่กับที่
จะลอยสูงขึ้นไปอีกก็ไม่ได้เพราะมีเชือกรั้งอยู่
ครั้นจะลอยกลับลงมาสู่พื้นดินก็ลงมาไม่ได้อีก
เพราะติดลมบนที่พัดแรงกว่าลมเบื้องล่างแล้ว
จิตวิญญาณที่หลุดลอยขึ้นไปติดค้างอยู่บนนั้น
จะมีอาการไม่ต่างจาก “ว่าว” ที่หลุดลอยนี้
โดยจะลอยอยู่บนนั้นไม่มีวันกำหนดหมดอายุ
เพราะจิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ซึ่งเป็นกล่องพลังงานที่สมดุลอยู่ในตนเอง
เป็นสรรพสิ่งที่มีอัตตาแต่คุณสมบัติเป็นอนัตตา
จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานะไปเป็นอื่นได้
ทำให้ต้องล่องลอยติดค้างอยู่ตรงนั้นตลอดไป
ยิ่งจิตวิญญาณพวกนี้หลงมิติ
จะยิ่งพึงพอใจในสถานะที่ตนเองเป็นอยู่มีอยู่
พึงพอใจรูปรสกลิ่นเสียงตามรหัสในสัญญาขันธ์
จิตวิญญาณพวกนี้จึงหลงตัวตนมายารูปลักษณ์
ประเภทหน้าตาเครื่องทรงมงกุฎเสื้อผ้าอาภรณ์
พึงพอใจในวิมานทิพย์ที่จิตวิญญาณเนรมิตขึ้น
ตามแบบพิมพ์เขียวที่มอดจัดแสดงไว้ในอาราม
ความพึงพอใจนี่แหละคือกิเลสที่คนชอบทำไม่รู้
ซึ่งเป็นที่มาของทุกสิ่งในสวรรค์มายาโดยแท้
เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุของความอยากไม่อยาก
ความอยากไม่อยากคือ “ตัณหา” ที่มาจากกิเลส
พวกเทพเทวดานามสมมติที่ผุดขึ้นไปโผล่บนนั้น
จนไปติดค้างอยู่อย่างยาวนานโดยไม่รู้เบื่อหน่าย
เพราะความ “ลุ่มหลงงมงาย” ในสิ่งที่ตนเป็นตนมี
ความลุ่มหลงงมงายที่ว่านี้
เป็นอาการเดียวกันกับความโกรธและความโลภ
ซึ่งเป็นอารมณ์ขยะรายวันของจิตหยาบมนุษย์
ทั้งตัณหาราคะอารมณ์ขยะก็คือบริวารของกิเลส
มนุษย์ตั้งแต่อายุครบสามขวบจะสามารถเข้าถึง
ความรักของจิตวิญญาณกับสติปัญญาของสมอง
เพื่อหมุนธรรมจักรในตนเองและหมุนร่วมกับผู้อื่น
ได้ไม่ได้อยู่ที่ว่าจิตหยาบมีกิเลสรกรุงรังหรือเปล่า
เนื่องจากพระเจ้าทรงออกแบบให้
จิตหยาบของมนุษย์สามารถทำหน้าที่ได้ทีละเรื่อง
ตัวอย่างเช่น
เมื่อต้องการจะนึกจิตมนุษย์ก็จะนึกได้ทีละเรื่อง
เมื่อคิดจิตก็จะสั่งการให้สมองคิดไปตามที่นึก
โดยมนุษย์จะคิดไปตามที่นึกนั้นได้ทีละเรื่อง
ถ้าคุณนึกพร้อมกันเพื่อจะคิดพร้อมกันหลายเรื่อง
คุณก็จะเกิดอาการเครียดทางประสาทเสมอ
ที่สำคัญคือความคิดของคุณนั้นจะเลอะเทอะ
จนไม่อาจหาคำตอบที่รอบครอบตามต้องการได้
ภาษาจิตจักรวาลเรียกว่า #ขาดสมาธิในการคิด
ดังนั้น
พระเจ้าจึงทรงเมตตาให้เรากล่าวต่อพวกคุณว่า
เรื่องขันธ์ห้าเรื่องธรรมจักรและเรื่องนิพพาน
เป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าเรื่อง “อัตตาอนัตตา”
สำหรับผู้ปรารถนาจะหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตา
แต่พวกคนนำทางตาบอดกลับพามนุษย์หลงทาง
โดยให้หลงปฏิบัติทำในสิ่งที่ตนชอบซึ่งมันไม่ใช่
ให้หลงเรียนรู้เรื่องอัตตาอนัตตาที่ตนไม่เข้าใจ
หรือแม้ว่าจะเข้าใจแต่ก็เป็นสิ่งที่มีสาระน้อยมาก
หากเปรียบเทียบกับเรื่องของการหลุดพ้นนิพพาน
ซึ่งจิตวิญญาณพวกคุณปรารถนาจะรู้กันมากกว่า
พระเจ้าทรงตรัสว่า
#มรรคผลสูงสุดของจิตวิญญาณคือการหลุดพ้น
เพื่อนำจิตวิญญาณของตนกลับบ้านแดนสุญตา
โดยจิตหยาบต้องเป็นผู้นำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
ซึ่งจิตหยาบจะพาจิตวิญญาณกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อ
จิตหยาบจะต้องยกระดับจนเข้าถึงมิติที่ 6D ให้ได้
ที่เป็นกลุ่มพลังงาน 189 กลุ่มซึ่งอยู่ในมิติที่ “ศูนย์”
ให้เป็น “กล่องพลังงาน” ที่มีความสมดุลในตนเอง
เป็นกล่องพลังงานรูปทรงเรขาคณิต 6 เหลี่ยมมุม
แบบเดียวกับที่จิตวิญญาณแก่นแท้เป็นอยู่ให้จงได้
เพื่อผนึกพลังร่วมกันยกระดับขึ้นสู่มิติที่ 7D-11D
บนเส้นทางสายนี้
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้และต้องทำก็คือ
ต้องหมั่นหมุนธรรมจักรด้วยความรักเพื่อให้
กับคนรอบข้างทุกคนให้จงได้
โดยไม่มีเงื่อนไขว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร
เป็นพ่อแม่ผัวเมียลูกญาติพี่น้องของตนหรือไม่
ไม่มีเงื่อนไขว่าเขาคนนั้นจะทำดีหรือชั่วต่อตัวคุณ
คุณจะต้องใช้ปัญญามองเห็นคุณค่าของเขาให้ได้
ด้วยการอดทน อดกลั้นและให้อภัยได้เสมอ
อันหมายถึง #รักอย่างไม่มีเงื่อนไข นั่นเอง
คุณอย่าไปสับสนกับคำสอนอุตริของมอด
ในเรื่องสิ่งไหนเป็นอัตตาหรือสิ่งไหนเป็นอนัตตา
จงสนใจแต่เพียงว่า
1.อนัตตาเป็นผู้สร้างอัตตา
โดยพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งในเอกภพ
พระองค์ทรงเป็นอนัตตาแต่ทรงมีอัตตาของตนเอง
คือมีรูปธรรมเป็นรูปทรงเรขาคณิต 12 เหลี่ยมมุม
2.สรรพสิ่งในเอกภพล้วนมีอัตตาตัวตนทั้งสิ้น
อัตตาตัวตนของสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมานั้น
มีทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง ขนาดและคุณสมบัติเฉพาะ
3.รูปลักษณ์ รส กลิ่น เสียง ขนาดและคุณสมบัติ
เป็น #มายาของแก่นแท้ ที่เร้นตนเองอยู่ข้างใน
จะมี “อัตตา” แต่ก็มิใช่ตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด
อัตตาที่คุณสัมผัสได้จึงเป็นแค่ตัวแทนของแก่นแท้
ซึ่งเป็น “อัตตาตัวตนที่แท้จริง” ที่อยู่ข้างในเท่านั้น
4.ตัวตนแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง
จะเป็นรูปธรรมที่อยู่ในมิติทางพลังงานเท่านั้น
อายตนะทั้งห้าของมนุษย์ไม่อาจสัมผัสโดยตรงได้
จึงต้องสัมผัสผ่านเปลือกนอกที่เป็น “มายา”
เพื่ออ่านด้วยจิตปัญญาว่าแก่นแท้นั้นเป็นเช่นไร
คำว่า “อ่าน” ในที่นี้หมายถึงการเรียนรู้นั่นเอง
5.เมื่อทุกสรรพสิ่งมีมายาเปลือกนอกคือมีอัตตา
โดยแก่นแท้คือพลังงานที่เร้นอยู่ข้างในเป็นอนัตตา
ถ้าคุณหลงมายาของสิ่งนั้นโดยคิดว่าเป็นแก่นแท้
ทั้งๆที่มันเป็นเพียงแค่เงามายาของแก่นแท้เท่านั้น
แสดงว่าจิตคุณได้สร้างอัตตาของสิ่งนั้นขึ้นเองแล้ว
คุณก็จะเกิดอาการโลภ โกรธ หลง งมงายเสมอ
โดยมีสารตั้งต้นคือกิเลสทีทำให้เกิดบริวารมากมาย
ทั้ง 5 ประการที่เรากล่าวมานี้แสดงให้คุณเห็นว่า
ตัวแสบที่สร้างปัญหาให้คุณต้องหมุนกรรมจักร
จิตวิญญาณต้องวนลูปต้องมีภพชาติต้องมีสังสารวัฏ
จนไม่อาจหมุนธรรมจักรได้ตลอดชีวิตมาทุกภพชาติ
เพราะ #กิเลสมาร มิใช่เรื่องอัตตาอนัตตาใช่หรือไม่
แถมถูกมอดหลอกขึ้นไปทำตนเป็นแผงโซล่าเซลล์
อยู่บนสวรรค์มายาที่พระเจ้ามิได้สร้างไว้ชั่วกาลนาน
เพื่อเป็นกรรมแสงผลิตพลังจิตให้มอดดักดูดอีกด้วย
ซึ่งเป็น #นิพพานเทียมเท็จ ดีๆนี่เอง
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
4/05/2566