14 พฤษภาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 14/05/2023

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
จิตวิญญาณมนุษย์มีคุณสมบัติเป็น “อนัตตา”
โดยมีคลื่นพลังงานในทุกๆย่านความถี่
ที่มีอยู่จริงในสากลจักรวาลอันไพศาลนี้
สั่นสะเทือนร่วมกันและลดเลี้ยวเกี่ยวพันกัน
อยู่ภายในวงกลมวงเดียวกันนั่นเอง
โดยเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
เพื่อรักษารูปธรรมให้สมดุลไว้ตลอดเวลา
 
ถ้าหยุดหมุนรอบตัวเองเมื่อไหร่
จิตวิญญาณของคุณก็จะมีรูปทรงเรขาคณิต
เป็นหกเหลี่ยมมุมหมายถึง มี 6 มิตินั่นเอง
 
คำว่า “6 มิติ” ก็คือ 6D นี้
เกิดจากสามเหลี่ยมด้านเท่าจำนวน 2 รูป
ที่วางซ้อนทับกันอยู่ภายในวงกลมวงเดียวกัน
โดยทั้ง 3 มุมของสามเหลี่ยมสองรูปไม่ทับกัน
ถ้าไม่หยุดหมุนพวกคุณจะเห็นเป็นรูปทรงกลม
 
ดังนั้น
รูปธรรมของจิตวิญญาณก็คือ “กล่องพลังงาน”
ที่ภายในรูปธรรมนั้นจะมีสภาวะเป็น #อนัตตา
เนื่องจากมีการสั่นสะเทือนเคลื่อนหมุนต่อเนื่อง
ของอนุภาคพลังงานทุกย่านความถี่ที่อยู่ข้างใน
จนเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าที่ไม่หยุดนิ่ง
ซึ่งจำนวนเหลี่ยมมุมคือตัวชี้วัดคลื่นความถี่ว่า
รูปธรรมนั้นสั่นสะเทือนเคลื่อนหมุนรอบตัวเอง
ด้วยคลื่นความถี่ที่สูงต่ำกว่ากันอย่างไร
 
ถ้ามีจำนวนเหลี่ยมมุมน้อย
แสดงว่ารูปธรรมนั้นมีค่าการสั่นสะเทือนต่ำ
แต่ถ้ารูปธรรมนั้นมีจำนวนเหลี่ยมมุมมาก
แสดงว่ารูปธรรมนั้นมีค่าการสั่นสะเทือนสูง
 
ตัวอย่างเช่น
จิตวิญญาณมนุษย์หรือ “พระจิต” มี 6 เหลี่ยมมุม
เมื่อเปรียบกับของพระเจ้าคือ #องค์จิตจักรวาล
ที่มี 12 เหลี่ยมมุม คือ สามเหลี่ยมด้านเท่าสี่รูป
แสดงว่า “พระเจ้า” ทรงมีอำนาจมากกว่าพระจิต
 
ด้วยเหตุนี้เอง
จิตวิญญาณที่เดิมมีคุณสมบัติเป็น “อนัตตา”
ซึ่งเป็นกลุ่มพลังงานทั้งหมดที่เร้นกันอยู่ข้างใน
จึงเป็นผู้สร้างให้จิตวิญญาณที่เป็นอนัตตานั้น
มีเงามายาซึ่งปรากฏเป็นอัตตาตัวตนขึ้นมาได้
เพราะอัตตาตัวตนที่แท้จริงของจิตวิญญาณนั้น
จะเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่มีเพียง 6 เหลี่ยมมุม
แต่เมื่อมีการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองแบบต่อเนื่อง
ผู้ที่มีตาทิพย์จึงมองเห็นเป็นรูป “ทรงกลม”
 
ถ้าถามว่าจิตวิญญาณมีอัตตาตัวตนอย่างไร
คนทั่วไปจะตอบว่ามีอัตตาเป็นรูปทรงกลมทันที
เพราะตาเนื้อหรือว่าตาทิพย์เห็นอย่างไร
ก็จะตอบไปตามที่ตามองเห็นว่าเป็นเช่นนั้น
ซึ่งตอนนี้พวกคุณก็ได้รู้ความจริงกันแล้วว่า
ตัวตนแท้จริงของจิตวิญญาณเป็นหกเหลี่ยมมุม
มิได้เป็นรูป “ทรงกลม” อย่างที่สัมผัสรู้ดูเห็นกัน
 
ดังนั้น
ทุกสรรพสิ่งที่แลเห็นมันได้คือ “เปลือกนอก”
ซึ่งห่อหุ้มตัวตนแท้จริงคือพลังงานเอาไว้ข้างใน
ที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นได้เป็นเพียงแค่ “เงามายา”
ของตัวตนจริงที่มีคุณสมบัติเป็นอนัตตาเท่านั้น
 
เพราะแก่นแท้ของทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น
ล้วนเป็น “คลื่นพลังงาน” ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
เพื่อให้คลื่นพลังงานที่เป็นแก่นแท้นั้นดำรงอยู่ได้
จึงทรงจำเป็นต้องสร้างให้มีเปลือกนอกห่อหุ้มไว้
ให้กลุ่มพลังงานที่เร้นอยู่ข้างในใช้ในการยึดเกาะ
 
เมื่อความจริงมันเป็นแบบนี้แล้ว
จึงต้องรู้ว่าสิ่งที่อายตนะคุณสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้นั้น
มันมิใช่อัตตาตัวตนที่แท้จริงของสิ่งนั้นเลย
มันเป็นเพียงเงาหรือเปลือกนอกของสรรพสิ่ง
ที่คุณจะใช้สังเกตคุณสมบัติของแก่นแท้นั้นว่า
เป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง
เพราะว่าตัวตนแก่นแท้นั้นอยู่ในมิติทางพลังงาน
ที่สองตาเปล่าของคุณมองไม่เห็นมันหรอก
 
คุณจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอีกเลย
หากคุณรู้ความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลายที่ว่านี้
โดยที่คุณไม่ต้องแกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอด
เพื่อให้มองไม่เห็นมันไม่ได้ยินเสียงมัน
จิตจะได้ไม่ต้องรับรู้ไม่ต้องรับเอามาปรุงแต่ง
จนทำให้จิตตกเพราะเกิดกิเลสครอบงำ
เหมือนคนค่อนโลกเขานิยม “ปฏิบัติทำ” กันก็ได้
นอกจากไม่ต้องปิดอายตนะให้ปัญญาถูกปิดแล้ว
ยังเป็นการ “เปิดปัญญา” ของสมองไว้ตลอดเวลา
เพื่อให้ตัวคุณพร้อมที่จะเรียนรู้โลกอยู่เสมอ
ตามสมรรถนะสูงสุดของมนุษย์ที่ไม่ใช่คนพิการ
 
คุณจะไม่เป็นคนหลงทำ หลงทาง
ไม่ก้าวย่างตกลงไปในบ่อย่ำองุ่นหรือบึงไฟ
เพราะมัวแต่ปิดอายตนะที่ดีๆเอาไว้จนไม่เห็นทาง
แลไม่เห็นโลกไม่เห็นพระเจ้าและไม่เห็นแม้ตนเอง
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
14/05/2566