#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดทุกรูปธรรมที่ดำรงตนอยู่ในระบบโลก
ล้วนมาเกิดเพื่อทำหน้าที่เป็น #เพื่อนร่วมงานกับโลก
ทุกสิ่งทุกรูปธรรมจะต้องดำรงอยู่ประจำบนโลกนี้ตลอด
จะละทิ้งโลกละทิ้งหน้าที่ออกไปจากระบบโลกนี้ไม่ได้
#สัตว์ทุกตัวจะต้องเป็นสัตว์ประจำโลก
#ต้นไม้น้อยใหญ่ทุกต้นจะต้องเป็นต้นไม้ประจำโลก
#มนุษย์ทุกคนจะต้องเป็นมนุษย์ประจำโลก
สัตว์ทุกตัวต้นไม้ทุกต้นและคนทุกคน
จะละทิ้งหน้าที่ของตนย้ายออกไปจากระบบโลก
ไม่ว่าจะย้ายไปชั่วคราวหรือย้ายไปถาวรก็ไม่ได้
จะถือเป็นละทิ้งหน้าที่ “เพื่อนร่วมงาน” กับโลกทั้งสิ้น
คำว่า “เพื่อนร่วมงาน” คือผู้ที่ทำงานอยู่ในระบบเดียวกัน
ทำงานอย่างใกลชิดสนิทกันทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กัน
จะต้องมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันไว้ตลอดเวลา
งานการที่ต้องทำร่วมกันนั้นใครจะทำตามลำพังไม่ได้
เพราะเป็นงานใหญ่และยากต้องใช้ #พลังร่วม เท่านั้น
จึงจะทำงานใหญ่นั้นให้บรรลุผลสำเร็จได้ดังประสงค์
ต้นไม้ทุกต้นสัตว์ทุกตัวและคนทุกคน
จึงต้องมีเครื่องมือที่จะผลิตพลังร่วมในหมู่เหล่าเผ่าตน
เพื่อนำมาใช้ในการทำงานใหญ่ที่ว่านี้ร่วมกัน
พลังงานร่วมนี้จะอยู่ในรูปของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่เป็นพลังงานชนิดเดียวกันกับคลื่นแม่เหล็กโลก
โดยพลังงานร่วมที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ในมิติทางพลังงาน
เพียงแค่ทุกรูปธรรมที่อยู่ร่วมกันเป็นเผ่าเป็นสังคมนั้น
สั่นสะเทือนตนเองเพื่อหยิบยื่นความรักให้แก่กันเท่านั้น
ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเป็นพลังงานร่วมได้โดยอัตโนมัติ
ตามที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระผู้สร้างกำหนดไว้
เงื่อนไขสำคัญคือรูปธรรมนั้นยังต้องมีชีวิตอยู่ในระบบโลก
ต้องดำรงอยู่บนพื้นที่ขนาด 33.33 ตร.กิโลเมตรเดียวกัน
การสร้างสรรค์พลังงานร่วมจึงจะเกิดขึ้นมาได้
ต้นไม้และสัตว์ประจำโลกทุกรูปธรรม
มีเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าได้
ต้นไม้จะมีกลไกในระดับเซลล์ของลำต้นก้านกิ่งและใบ
ผลิตพลังงานไฟฟ้าแล้วปลดปล่อยออกมาทางปลายราก
เพื่อให้พลังงานไฟฟ้าที่ปล่อยออกมานั้นปฏิสัมพันธ์กัน
ต้นไม้แต่ละต้นในป่านั้นจึงเป็นดั่งแบ็ตเตอรี่แต่ละตัว
ที่ถูกต่อเชื่อมโยงเป็นระบบอนุกรมร่วมกันเอาไว้ตลอด
จึงทำให้เกิดพลังงานร่วมอยู่ทุกวินาที
ส่วนสัตว์ประจำโลกหรือที่เรียกสั้นๆว่า #สัตว์โลก
เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมภายนอก
คล้ายคลึงกันกับมนุษย์มากกว่าต้นไม้น้อยใหญ่ที่ในป่า
โดยสัตว์ที่มีตัวตนรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ที่สุดก็คือลิง
คล้ายจนผู้อุตริบางคนชี้ว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ไป
ส่วนโครงสร้างภายในตับไตไส้พุงของสัตว์ทั้งหลาย
จำพวกสัตว์ใหญ่ก็จะมีความละม้ายคล้ายคลึงกับมนุษย์
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันแต่ต่างจากสัตว์ก็ตรงที่
สัตว์มีแต่จิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ที่อาสาพระบิดามาเกิด
เพื่อทำหน้าที่เดียวกันกับมนุษย์คือเพื่อนร่วมงานกับโลก
ต้องทำงานอยู่ประจำโลกในบทบาทของสัตว์ประจำโลก
ตลอดกาลและตลอดไปตราบชั่วนิรันดรกันเลยทีเดียว
ซึ่งสัตว์จะเกิดแก่เจ็บตายไปตามอายุขัยที่ถูกกำหนดไว้
ตายเมื่อไหร่จิตวิญญาณก็จะกลับมาเกิดใหม่ได้ในเร็ววัน
เพราะไม่มีกฎแห่งกรรมจึงไม่เสียเวลาลงนรกตกสู่สวรรค์
ไม่มีการสร้างสมบุญบารมีไม่ต้องพัฒนาจิตตปัญญาอะไร
เพราะพระผู้สร้างทรงประทานสัญชาตญาณไว้ให้แล้ว
แต่สำหรับมนุษย์โลกทุกรูปธรรมนั้น
มี “จิตหยาบ” หรือจิตมนุษย์ทำหน้าที่เป็น #จิตปัจจุบัน
เพื่อทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณผู้มาเกิดอีกรูปธรรมหนึ่ง
โดยที่ในสัตว์ทั้งหลายทุกสายพันธุ์จะไม่มีจิตหยาบ
คงมีแต่จิตวิญญาณซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานอยู่เท่านั้น
สาเหตุที่มนุษย์ต้องมีจิตหยาบเป็นตัวแทนจิตวิญญาณ
เพราะจิตวิญญาณของมนุษย์มีหน้าที่จะต้องกลับบ้าน
ขณะที่จิตวิญญาณของสัตว์ประจำโลกไม่ต้องกลับบ้าน
ดังนั้น
มนุษย์จึงถูกสร้างขึ้นให้มีจิตหยาบคอยทำหน้าที่แทน
เพื่อป้องกันความเสี่ยงของจิตวิญญาณมิให้หลงมิติ
จนไม่อาจคืนกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่จากมากันได้
เพราะทรงทราบว่าการเป็นคนสองมิติมีความเสี่ยงสูง
ซึ่งเรื่องนี้พระองค์ทรงมีพระปรีชาที่เล็งเห็นไว้ตรงจริง
นั่นคือจิตหยาบถูกผีโสโครกหลอกลวงให้เสพติดกิเลส
จนเป็นเหตุให้จิตวิญญาณต้องหลงมิติตามไปด้วย
พระองค์จึงทรงต้องสร้าง #แดนนรก เอาไว้ในระบบโลก
เพื่อส่งจิตวิญญาณทั้งหลายที่ป่วยตามจิตหยาบของตน
ไปทำการบำบัดเยียวยาอาการป่วยด้วยหลงมิติที่ในนั้น
เมื่อหายป่วยดีแล้วจึงค่อยส่งกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
ขณะที่จิตวิญญาณมีกาลเวลาระหว่างภพชาติ
เพราะต้องไปบำบัดอาการป่วยด้วยหลงมิติในนรก
ซึ่งพระเยซูทรงเรียกว่า #พลัดตกลงไปในบึงไฟชำระ
เมื่อจิตวิญญาณได้รับการชำระเรียบร้อยจนสมดุลดีแล้ว
จึงค่อยคืนกลับสู่การเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
จนเมื่อจิตหยาบทำให้จิตวิญญาณป่วยหนักอีกครั้ง
ก็ต้องตายเพื่อส่งจิตวิญญาณลงไปสู่ไฟชำระในนรกอีก
เมื่อชำระจนสมดุลดังเดิมดีแล้วจึงให้กลับมาเกิดใหม่
การเวียนตายเวียนเกิดของจิตวิญญาณในลักษณะนี้
พระเยซูทรงเรียกว่า #พลัดตกลงไปในบ่อย่ำองุ่น
อันหมายถึงการวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนั่นเอง
ดังนั้น
การที่มนุษย์ต้องมีจิตหยาบกันทุกคนขณะที่สัตว์ไม่มีใช้
จึงการันตีได้ว่าจิตหยาบมีประโยชน์ต่อจิตวิญญาณจริงๆ
ทั้งยังยืนยันได้ว่าพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
ทรงรักลูกแกะที่ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
แต่ทรงรู้ดีว่าการเป็นคนสองมิติและยังมีจิตสองจิตอีก
อันมีจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้กับจิตหยาบด้วยนั้น
ทำให้การเป็นมนุษย์มีความซับซ้อนมากกว่าพืชและสัตว์
คุณจะเห็นได้ว่าต้นไม้ต้นไร่ทรงไม่มีก้อนสมองไว้ให้ใช้
แต่สัตว์ประจำโลกทั้งหลายจะมีสมองก้อนเดียวไว้ให้ใช้
โดยให้จิตวิญญาณของสัตว์นั้นใช้สมองได้โดยตรง
ทรงออกแบบให้สัตว์ใช้สมองได้ด้วย “สัญชาติญาณ”
สัตว์มีสมองให้ใช้เพราะภารกิจของสัตว์มีมากกว่าต้นไม้
จะใช้สัญชาตญาณตามที่ทรงกำหนดให้ใช้ในพืชไม่ได้
สัตว์จึงต้องใช้สมองสั่งการเองได้ตามแต่ใจตนต้องการ
มิต้องอาศัยสัญชาตญาณตามธรรมชาติแบบพืชเท่านั้น
นี่คือที่มาของคำว่า #โลกเสรี เป็นเบื้องต้นนั่นแหละ
มีคำถามต่อมาว่า
ทั้งพืชทั้งสัตว์และทั้งคนต้องสร้างพลังงานร่วมกันทำไม
สร้างพลังร่วมกันในสังคมเดียวกันในหมู่เดียวกันทำไม
ซึ่งคำตอบนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ชอบแล้วดีแล้ว
นั่นคือ #เราคือโลกโลกคือเรา
แปลความว่า
ทุกสรรพสิ่งทุกรูปธรรมที่ดำรงอยู่ในระบบโลกเสรีนี้
ต่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับ “โลก” ทั้งสิ้น
ทั้งต้นหญ้าป่าไม้ก้อนหินดินทรายสายน้ำทะเลสัตว์มนุษย์
คุณจะเรียกรวมกันว่า #โลก ด้วยคำๆเดียวนี้ก็ได้
เพราะโลกหมายถึงทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในระบบโลก
เนื่องจากดาวโลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา
พวกคุณและทุกสรรพสิ่งจะถูกโลกพาให้หมุนไปด้วยกัน
เมื่อคุณบินออกไปอยู่นอกระบบโลกก็จะเห็นแค่ดาวโลก
ไม่อาจเห็นตัวตนแบบแยกย่อยได้ว่าอะไรเป็นอะไร
คุณจะแลเห็นได้ในแบบ “ภาพรวม” ของดาวโลกเท่านั้น
การที่โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้ต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วของการหมุนรอบตัวเองคงที่เท่าเดิมได้
พลังงานที่ช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนนี่แหละคือพลังร่วม
โดยพลังร่วมที่เป็นธรรมชาติก็คือ #พลังงานสะอาด
ที่ต้นไม้ในป่าและสัตว์ประจำโลกทุกตัวทุกทุกสายพันธุ์
รวมทั้งมนุษย์ทุกคนในทุกครอบครัวทั่วแผ่นดินโลก
ช่วยกันผลิตสร้างพลังงานร่วมด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรม
ซึ่งพระเจ้าหรือพระผู้สร้างทรงออกแบบเอาไว้ให้ใช้
เพื่อผลิตสร้างกันออกมาในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
ในมิติทางพลังงานที่สองตาเปล่าของคุณมองไม่เห็น
พลังงานร่วมด้านบวกจากจิตหยาบของมนุษย์
ที่สอบผ่านบททดสอบจิตสามนึกรายวันที่ยื่นให้กันนั้น
จะเป็นไปตามสมการ ∑βₓ = 3X²(β1 + β2 + β3 +...+βₓ)
โดยตัว “เอ็กซ์”
ต้องมีค่าเป็นจำนวน 3 คนขึ้นไปเท่านั้น
ความหมายของสมการดังกล่าวนี้ก็คือ
พลังงานร่วมจากจิตสามนึกมนุษย์จำนวน “เอ็กซ์” คน
บนพื้นที่ 33.33 ตารางกิโลเมตรที่อยู่ด้วยกันในขณะนั้น
จะมีค่า 3
เท่าของเอ็กซ์คนที่รักได้อภัยเป็นยกกำลังสอง
คูณด้วยผลรวมทางพลังงานด้านบวกของแต่ละคน
ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดให้เป็นค่าคงที่ไม่เกิน 20 หน่วย
พลังงานร่วม (∑βₓ) จะมีค่าแปรตามจำนวนคนที่รักกันได้
บนพื้นที่เดียวกันในวินาทีเดียวกันโดยไม่มีเงื่อนไขอื่น
เป็นสมการง่ายๆที่สร้างขึ้นก็ง่ายไม่สลับซับซ้อนอะไรเลย
พลังงานที่อยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกนี้
จำนวน 1% ของทั้งหมดที่พวกคุณร่วมกันผลิตสร้างได้
จะถูกเหนี่ยวรั้งลงไปยังก้อนธาตุออกซิเจนในแกนโลก
ซึ่งมีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเมเพราะบริสุทธิ์ 100%
พลังงานนี้จะลงไปทำให้อะตอมธาตุออกซิเจนระเบิด
แบบปฏิกิริยาลูกโซ่ เรียกว่า Chain Reaction ขึ้นมาได้
ระเบิดอะตอมที่เกิดขึ้นนี้จะเรียกว่า
Nuclear
Fission
เพราะเมื่อเกิดแล้วก้อนธาตุนั้นจะคายก๊าซออกซิเจน
และปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กออกมาอย่างต่อเนื่อง
ก้อนธาตุออกซิเจนในแกนโลก
ที่เกิดการระเบิดแบบนิวเคลียร์ที่รุนแรงและต่อเนื่อง
จะมีการบิดตัวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
ผลสุดท้ายก็คือมันจะทำให้โลกของพวกคุณบิดตัวตาม
เมื่อระเบิดต่อเนื่องการบิดตัวจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือดาวโลกจะหมุนรอบตัวเองได้
อีกทั้งภายในแกนโลกจึงร้อนอยู่อย่างไม่มีวันเย็น
ล้วนเกิดจากกระบวนการอันแยบยลนี้ทั้งสิ้น
มิใช่แกนโลกร้อนอยู่ตั้งแต่เกิดบิกแบงมานานนับล้านปี
ถึงทุกวันนี้ก็ยังร้อนอยู่จากการ “เดาเอา” ของพวกอุตริรู้
ทำนองเดียวกันกับคำถามที่ว่า
โลกหมุนรอบตัวเองได้อย่างไรก็ตอบว่า “บิกแบง”
โลกหมุนรอบตัวเองอัตราเร็วคงที่ได้ไงก็ตอบว่าบิกแบง
โลกจะหยุดหมุนรอบตัวเองเมื่อไหร่ก็ตอบว่า “ไม่รู้”
โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ได้อย่างไรคำตอบคือไม่รู้
ความรู้ทั้งหมดจะเป็นการเดาหรือตั้งสมมติฐานเอา
ถ้าเดาไม่ได้ตั้งสมมติฐานไม่ถูกก็จะบอกว่าไม่รู้
หรือบางเรื่องแม้จะรู้ก็ไม่ยอมบอกไม่ยอมแพร่งพราย
เพราะประดาผู้อุตริรู้ทั้งหลายนั้นมีหลายพวกหลายฝ่าย
จึงต้องอมพะนำไว้เนื่องจากไม่อยากเห็นใครเด่นเกิน
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
3/11/2566
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดทุกรูปธรรมที่ดำรงตนอยู่ในระบบโลก
ล้วนมาเกิดเพื่อทำหน้าที่เป็น #เพื่อนร่วมงานกับโลก
ทุกสิ่งทุกรูปธรรมจะต้องดำรงอยู่ประจำบนโลกนี้ตลอด
จะละทิ้งโลกละทิ้งหน้าที่ออกไปจากระบบโลกนี้ไม่ได้
#สัตว์ทุกตัวจะต้องเป็นสัตว์ประจำโลก
#ต้นไม้น้อยใหญ่ทุกต้นจะต้องเป็นต้นไม้ประจำโลก
#มนุษย์ทุกคนจะต้องเป็นมนุษย์ประจำโลก
สัตว์ทุกตัวต้นไม้ทุกต้นและคนทุกคน
จะละทิ้งหน้าที่ของตนย้ายออกไปจากระบบโลก
ไม่ว่าจะย้ายไปชั่วคราวหรือย้ายไปถาวรก็ไม่ได้
จะถือเป็นละทิ้งหน้าที่ “เพื่อนร่วมงาน” กับโลกทั้งสิ้น
คำว่า “เพื่อนร่วมงาน” คือผู้ที่ทำงานอยู่ในระบบเดียวกัน
ทำงานอย่างใกลชิดสนิทกันทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กัน
จะต้องมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันไว้ตลอดเวลา
งานการที่ต้องทำร่วมกันนั้นใครจะทำตามลำพังไม่ได้
เพราะเป็นงานใหญ่และยากต้องใช้ #พลังร่วม เท่านั้น
จึงจะทำงานใหญ่นั้นให้บรรลุผลสำเร็จได้ดังประสงค์
ต้นไม้ทุกต้นสัตว์ทุกตัวและคนทุกคน
จึงต้องมีเครื่องมือที่จะผลิตพลังร่วมในหมู่เหล่าเผ่าตน
เพื่อนำมาใช้ในการทำงานใหญ่ที่ว่านี้ร่วมกัน
พลังงานร่วมนี้จะอยู่ในรูปของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่เป็นพลังงานชนิดเดียวกันกับคลื่นแม่เหล็กโลก
โดยพลังงานร่วมที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ในมิติทางพลังงาน
เพียงแค่ทุกรูปธรรมที่อยู่ร่วมกันเป็นเผ่าเป็นสังคมนั้น
สั่นสะเทือนตนเองเพื่อหยิบยื่นความรักให้แก่กันเท่านั้น
ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเป็นพลังงานร่วมได้โดยอัตโนมัติ
ตามที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระผู้สร้างกำหนดไว้
เงื่อนไขสำคัญคือรูปธรรมนั้นยังต้องมีชีวิตอยู่ในระบบโลก
ต้องดำรงอยู่บนพื้นที่ขนาด 33.33 ตร.กิโลเมตรเดียวกัน
ต้นไม้และสัตว์ประจำโลกทุกรูปธรรม
มีเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าได้
ต้นไม้จะมีกลไกในระดับเซลล์ของลำต้นก้านกิ่งและใบ
ผลิตพลังงานไฟฟ้าแล้วปลดปล่อยออกมาทางปลายราก
เพื่อให้พลังงานไฟฟ้าที่ปล่อยออกมานั้นปฏิสัมพันธ์กัน
ต้นไม้แต่ละต้นในป่านั้นจึงเป็นดั่งแบ็ตเตอรี่แต่ละตัว
ที่ถูกต่อเชื่อมโยงเป็นระบบอนุกรมร่วมกันเอาไว้ตลอด
จึงทำให้เกิดพลังงานร่วมอยู่ทุกวินาที
ส่วนสัตว์ประจำโลกหรือที่เรียกสั้นๆว่า #สัตว์โลก
เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมภายนอก
คล้ายคลึงกันกับมนุษย์มากกว่าต้นไม้น้อยใหญ่ที่ในป่า
โดยสัตว์ที่มีตัวตนรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ที่สุดก็คือลิง
คล้ายจนผู้อุตริบางคนชี้ว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ไป
ส่วนโครงสร้างภายในตับไตไส้พุงของสัตว์ทั้งหลาย
จำพวกสัตว์ใหญ่ก็จะมีความละม้ายคล้ายคลึงกับมนุษย์
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันแต่ต่างจากสัตว์ก็ตรงที่
สัตว์มีแต่จิตวิญญาณเป็นแก่นแท้ที่อาสาพระบิดามาเกิด
เพื่อทำหน้าที่เดียวกันกับมนุษย์คือเพื่อนร่วมงานกับโลก
ต้องทำงานอยู่ประจำโลกในบทบาทของสัตว์ประจำโลก
ตลอดกาลและตลอดไปตราบชั่วนิรันดรกันเลยทีเดียว
ซึ่งสัตว์จะเกิดแก่เจ็บตายไปตามอายุขัยที่ถูกกำหนดไว้
ตายเมื่อไหร่จิตวิญญาณก็จะกลับมาเกิดใหม่ได้ในเร็ววัน
เพราะไม่มีกฎแห่งกรรมจึงไม่เสียเวลาลงนรกตกสู่สวรรค์
ไม่มีการสร้างสมบุญบารมีไม่ต้องพัฒนาจิตตปัญญาอะไร
เพราะพระผู้สร้างทรงประทานสัญชาตญาณไว้ให้แล้ว
แต่สำหรับมนุษย์โลกทุกรูปธรรมนั้น
มี “จิตหยาบ” หรือจิตมนุษย์ทำหน้าที่เป็น #จิตปัจจุบัน
เพื่อทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณผู้มาเกิดอีกรูปธรรมหนึ่ง
โดยที่ในสัตว์ทั้งหลายทุกสายพันธุ์จะไม่มีจิตหยาบ
คงมีแต่จิตวิญญาณซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานอยู่เท่านั้น
สาเหตุที่มนุษย์ต้องมีจิตหยาบเป็นตัวแทนจิตวิญญาณ
เพราะจิตวิญญาณของมนุษย์มีหน้าที่จะต้องกลับบ้าน
ขณะที่จิตวิญญาณของสัตว์ประจำโลกไม่ต้องกลับบ้าน
ดังนั้น
มนุษย์จึงถูกสร้างขึ้นให้มีจิตหยาบคอยทำหน้าที่แทน
เพื่อป้องกันความเสี่ยงของจิตวิญญาณมิให้หลงมิติ
จนไม่อาจคืนกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่จากมากันได้
เพราะทรงทราบว่าการเป็นคนสองมิติมีความเสี่ยงสูง
ซึ่งเรื่องนี้พระองค์ทรงมีพระปรีชาที่เล็งเห็นไว้ตรงจริง
นั่นคือจิตหยาบถูกผีโสโครกหลอกลวงให้เสพติดกิเลส
จนเป็นเหตุให้จิตวิญญาณต้องหลงมิติตามไปด้วย
พระองค์จึงทรงต้องสร้าง #แดนนรก เอาไว้ในระบบโลก
เพื่อส่งจิตวิญญาณทั้งหลายที่ป่วยตามจิตหยาบของตน
ไปทำการบำบัดเยียวยาอาการป่วยด้วยหลงมิติที่ในนั้น
เมื่อหายป่วยดีแล้วจึงค่อยส่งกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
ขณะที่จิตวิญญาณมีกาลเวลาระหว่างภพชาติ
เพราะต้องไปบำบัดอาการป่วยด้วยหลงมิติในนรก
ซึ่งพระเยซูทรงเรียกว่า #พลัดตกลงไปในบึงไฟชำระ
เมื่อจิตวิญญาณได้รับการชำระเรียบร้อยจนสมดุลดีแล้ว
จึงค่อยคืนกลับสู่การเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
จนเมื่อจิตหยาบทำให้จิตวิญญาณป่วยหนักอีกครั้ง
ก็ต้องตายเพื่อส่งจิตวิญญาณลงไปสู่ไฟชำระในนรกอีก
เมื่อชำระจนสมดุลดังเดิมดีแล้วจึงให้กลับมาเกิดใหม่
การเวียนตายเวียนเกิดของจิตวิญญาณในลักษณะนี้
พระเยซูทรงเรียกว่า #พลัดตกลงไปในบ่อย่ำองุ่น
อันหมายถึงการวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนั่นเอง
ดังนั้น
การที่มนุษย์ต้องมีจิตหยาบกันทุกคนขณะที่สัตว์ไม่มีใช้
จึงการันตีได้ว่าจิตหยาบมีประโยชน์ต่อจิตวิญญาณจริงๆ
ทั้งยังยืนยันได้ว่าพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
ทรงรักลูกแกะที่ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
แต่ทรงรู้ดีว่าการเป็นคนสองมิติและยังมีจิตสองจิตอีก
อันมีจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้กับจิตหยาบด้วยนั้น
ทำให้การเป็นมนุษย์มีความซับซ้อนมากกว่าพืชและสัตว์
คุณจะเห็นได้ว่าต้นไม้ต้นไร่ทรงไม่มีก้อนสมองไว้ให้ใช้
แต่สัตว์ประจำโลกทั้งหลายจะมีสมองก้อนเดียวไว้ให้ใช้
โดยให้จิตวิญญาณของสัตว์นั้นใช้สมองได้โดยตรง
ทรงออกแบบให้สัตว์ใช้สมองได้ด้วย “สัญชาติญาณ”
สัตว์มีสมองให้ใช้เพราะภารกิจของสัตว์มีมากกว่าต้นไม้
จะใช้สัญชาตญาณตามที่ทรงกำหนดให้ใช้ในพืชไม่ได้
สัตว์จึงต้องใช้สมองสั่งการเองได้ตามแต่ใจตนต้องการ
มิต้องอาศัยสัญชาตญาณตามธรรมชาติแบบพืชเท่านั้น
นี่คือที่มาของคำว่า #โลกเสรี เป็นเบื้องต้นนั่นแหละ
มีคำถามต่อมาว่า
ทั้งพืชทั้งสัตว์และทั้งคนต้องสร้างพลังงานร่วมกันทำไม
สร้างพลังร่วมกันในสังคมเดียวกันในหมู่เดียวกันทำไม
ซึ่งคำตอบนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ชอบแล้วดีแล้ว
นั่นคือ #เราคือโลกโลกคือเรา
แปลความว่า
ทุกสรรพสิ่งทุกรูปธรรมที่ดำรงอยู่ในระบบโลกเสรีนี้
ต่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับ “โลก” ทั้งสิ้น
ทั้งต้นหญ้าป่าไม้ก้อนหินดินทรายสายน้ำทะเลสัตว์มนุษย์
คุณจะเรียกรวมกันว่า #โลก ด้วยคำๆเดียวนี้ก็ได้
เพราะโลกหมายถึงทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในระบบโลก
เนื่องจากดาวโลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา
พวกคุณและทุกสรรพสิ่งจะถูกโลกพาให้หมุนไปด้วยกัน
เมื่อคุณบินออกไปอยู่นอกระบบโลกก็จะเห็นแค่ดาวโลก
ไม่อาจเห็นตัวตนแบบแยกย่อยได้ว่าอะไรเป็นอะไร
คุณจะแลเห็นได้ในแบบ “ภาพรวม” ของดาวโลกเท่านั้น
การที่โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้ต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วของการหมุนรอบตัวเองคงที่เท่าเดิมได้
พลังงานที่ช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนนี่แหละคือพลังร่วม
โดยพลังร่วมที่เป็นธรรมชาติก็คือ #พลังงานสะอาด
ที่ต้นไม้ในป่าและสัตว์ประจำโลกทุกตัวทุกทุกสายพันธุ์
รวมทั้งมนุษย์ทุกคนในทุกครอบครัวทั่วแผ่นดินโลก
ช่วยกันผลิตสร้างพลังงานร่วมด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรม
ซึ่งพระเจ้าหรือพระผู้สร้างทรงออกแบบเอาไว้ให้ใช้
เพื่อผลิตสร้างกันออกมาในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
ในมิติทางพลังงานที่สองตาเปล่าของคุณมองไม่เห็น
พลังงานร่วมด้านบวกจากจิตหยาบของมนุษย์
ที่สอบผ่านบททดสอบจิตสามนึกรายวันที่ยื่นให้กันนั้น
จะเป็นไปตามสมการ ∑βₓ = 3X²(β1 + β2 + β3 +...+βₓ)
พลังงานร่วมจากจิตสามนึกมนุษย์จำนวน “เอ็กซ์” คน
บนพื้นที่ 33.33 ตารางกิโลเมตรที่อยู่ด้วยกันในขณะนั้น
ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดให้เป็นค่าคงที่ไม่เกิน 20 หน่วย
เป็นสมการง่ายๆที่สร้างขึ้นก็ง่ายไม่สลับซับซ้อนอะไรเลย
พลังงานที่อยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกนี้
จำนวน 1% ของทั้งหมดที่พวกคุณร่วมกันผลิตสร้างได้
ซึ่งมีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเมเพราะบริสุทธิ์ 100%
แบบปฏิกิริยาลูกโซ่ เรียกว่า Chain Reaction ขึ้นมาได้
และปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กออกมาอย่างต่อเนื่อง
ก้อนธาตุออกซิเจนในแกนโลก
ที่เกิดการระเบิดแบบนิวเคลียร์ที่รุนแรงและต่อเนื่อง
จะมีการบิดตัวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
ผลสุดท้ายก็คือมันจะทำให้โลกของพวกคุณบิดตัวตาม
เมื่อระเบิดต่อเนื่องการบิดตัวจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือดาวโลกจะหมุนรอบตัวเองได้
อีกทั้งภายในแกนโลกจึงร้อนอยู่อย่างไม่มีวันเย็น
ล้วนเกิดจากกระบวนการอันแยบยลนี้ทั้งสิ้น
มิใช่แกนโลกร้อนอยู่ตั้งแต่เกิดบิกแบงมานานนับล้านปี
ถึงทุกวันนี้ก็ยังร้อนอยู่จากการ “เดาเอา” ของพวกอุตริรู้
ทำนองเดียวกันกับคำถามที่ว่า
โลกหมุนรอบตัวเองได้อย่างไรก็ตอบว่า “บิกแบง”
โลกหมุนรอบตัวเองอัตราเร็วคงที่ได้ไงก็ตอบว่าบิกแบง
โลกจะหยุดหมุนรอบตัวเองเมื่อไหร่ก็ตอบว่า “ไม่รู้”
โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ได้อย่างไรคำตอบคือไม่รู้
ความรู้ทั้งหมดจะเป็นการเดาหรือตั้งสมมติฐานเอา
ถ้าเดาไม่ได้ตั้งสมมติฐานไม่ถูกก็จะบอกว่าไม่รู้
หรือบางเรื่องแม้จะรู้ก็ไม่ยอมบอกไม่ยอมแพร่งพราย
เพราะประดาผู้อุตริรู้ทั้งหลายนั้นมีหลายพวกหลายฝ่าย
จึงต้องอมพะนำไว้เนื่องจากไม่อยากเห็นใครเด่นเกิน
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
3/11/2566