#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อพวกคุณได้รู้ความจริงกันแล้วว่า
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดของพระองค์ที่ทรงสร้างไว้บนโลก
ต่างล้วนเป็น #เพื่อนร่วมงานกับโลก ด้วยกันทั้งสิ้น
ต้นไม้ทั้งหลายจึงมีการ “เติบโตมากกว่าเติบตาย”
คำว่า “เติบตาย” หมายถึง ต้นไม้ที่เติบโตแล้วตาย
จะมีจำนวนน้อยกว่าต้นไม้ในป่าจำพวกที่โตวันโตคืน
ซึ่งพระองค์ทรงออกแบบไว้ให้พวกเขาขยายพันธุ์ได้
ด้วยกิ่งด้วยใบด้วยผลด้วยเมล็ดและด้วยหน่อ เป็นต้น
เพื่อดำรงไว้ซึ่งต้นไม้ชนิดดังกล่าวนั้นให้คงอยู่ต่อไป
ที่สำคัญคือจำนวนต้นไม้ที่ตายไปจะมีต้นใหม่ทดแทน
ทำให้น้ำหนักมวลของต้นไม้บนโลกไม่ลดหายไปมาก
จากที่ทรงกำหนดเอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว
สำหรับสัตว์ประจำโลกต่างๆก็เช่นกัน
พระองค์ทรงออกแบบเอาไว้ให้พวกเขาสืบพันธุ์ได้
ทั้งออกลูกเป็นตัวออกลูกเป็นไข่แล้วค่อยฟักเป็นตัว
ออกลูกครอกละจำนวนมากออกไข่ได้ทุกวันๆละฟอง
เพื่อรักษาสมดุลของจำนวนรูปธรรมกับน้ำหนักมวลรวม
ของสัตว์ประจำโลกที่ดำรงอยู่บนพื้นผิวโลกเอาไว้
จำนวนรูปธรรมมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
จิตวิญญาณของคนที่ตายไปเพราะสิ้นอายุขัย
กับจิตวิญญาณของผู้ที่กลับมาเกิดใหม่ในระบบโลก
มันจะต้องมีความสมดุลกันตลอดคือมีค่าคงที่เสมอ
จะมีแต่ตายไปเรื่อยๆอยู่อย่างเดียวก็ไม่ได้
หรือจะมีแต่เกิดใหม่อย่างเดียวก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
การเกิดใหม่กับการตายจักต้องสัมพันธ์กัน
นั่นคือด้านหนึ่งลดลงอีกด้านหนึ่งจะต้องเพิ่มขึ้นทันที
มันคือกฎแห่งการสมดุลกันของจักรวาลนั่นเอง
ดังนั้น
มนุษย์อย่างพวกคุณจึงต้องรู้ว่า
#เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ก็เพราะเหตุนี้
ซึ่งความจริงของสัจธรรมที่กล่าวไว้นั้นอธิบายได้ว่า
เนื่องจากทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าที่ทรงสร้างไว้
ต่างล้วนมีความเป็นหนึ่งเดียวกันและสมดุลกันตลอด
ถ้าที่ใดที่หนึ่งในห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระองค์
ซึ่งเรียกรวมกันว่า #เอกภพ หรือ “อนันตจักรวาล”
มีน้ำหนักมวลลดน้อยลงไปจากเดิมด้วยเหตุใดก็ตาม
ที่ใดที่หนึ่งในเอกภพจะมีน้ำหนักมวลเพิ่มขึ้นมาเสมอ
แสดงว่าทุกสรรพสิ่งในเอกภพล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
ทุกสรรพสิ่งจึงสามารถสั่นสะเทือนถึงกันได้ตลอด
ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
ชาวพุทธเรียกว่า #กฎแห่งอนิจจัง หรืออนิจจังไม่เที่ยง
ที่เป็นสับเซ็ทของกฎแห่งการสมดุลกันของสรรพสิ่ง
กฎนี้ยังเป็นสับเซ็ทของกฎการเป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย
อันหมายถึงทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ใน #เอกภพ นั่นเอง
ดังนั้น
เอกภพซึ่งเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระเจ้า
ที่ถูกสร้างขึ้นด้วย #อนุภาคพลังงาน ร้อยเปอร์เซ็นต์
ซึ่งมันสามารถฟุ้งกระจายขยายตัวหรือหดตัวได้ด้วย
แต่พระองค์สามารถทำให้มันกลายเป็นห้องทดลอง
ที่มีรูปลักษณ์เป็นแบบจานสองใบคว่ำประกบกันไว้ได้
โดยมีกาแล็กซี่ 12,500 ล้านระบบกับ 7 ระบบสุริยะ
ถูกสร้างเอาไว้ให้ดำรงอยู่ร่วมกันภายในห้องทดลองนั้น
จึงเป็นสิ่งที่มีแต่พระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทำได้
เพราะเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะคิดทำเช่นนั้น
พวกคุณจะต้องรู้ว่า
เอกภพที่มีรูปลักษณ์แบบจานสองใบคว่ำประกบกัน
ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยอนุภาคของมวลที่เป็นพลังงาน
แต่สามารถดำรงอยู่ได้ตั้งแต่แรกสร้างจนกระทั่งทุกวันนี้
นับได้นานกว่า 8 ล้าน 1 แสนล้านปีผ่านมาแล้วนั้น
มันเป็นอะไรที่ช่างมหัศจรรย์งานสร้างอย่างแท้จริง
พระองค์ทรงสร้างได้จนเป็นผลสำเร็จแล้ว
คำว่า “พระผู้สร้าง” จึงมิใช่แค่สมญานามของพระองค์
แต่เป็นพระนามพระองค์ผู้ทรงพระปรีชาญาณล้ำเลิศ
โดยคำว่าพระผู้สร้างมาจากคำว่า #พระผู้กำหนดสร้าง
เพราะว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างล้วนเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
โดยมีมายาของสรรพสิ่งและที่มาที่ไปปรากฏให้เห็น
จนสามารถอธิบายได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
พระเยซูจึงมิถวายพระนามพระเจ้าว่า #พระผู้เนรมิต
เพราะคำว่า “เนรมิต” นั้นจะไม่อาจรู้เห็นที่มาที่ไป
ของประดาสรรพสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นนั้นได้
หาต้นสายก็ไม่ได้หาปลายเหตุก็ไม่เจอมีแต่ผลเท่านั้น
โดยผลของการเนรมิตนั้นจะเป็นลักษณะอุบัติขึ้นมาเอง
ไม่ต่างจากการเล่นมายากลให้คนดูตื่นตลึงงุนงงสงสัย
ว่ามันเป็นจริงตามที่ตนประจักษ์อยู่นั้นได้อย่างไร
แต่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดสร้างนั้นมีคำอธิบาย
ที่ใครๆก็เข้าถึงความจริงของพระองค์ได้ด้วยสติปัญญา
เพียงแต่ว่า “คิดตามพระองค์” เป็นหรือเปล่า
คุณลองคิดตามเราก็ได้ว่า
กว่าจะเป็นเอกภพรูปทรงหนำเลี้ยบคือจานคว่ำประกบกัน
ที่วัสดุในการสร้างก็คืออนุภาคของมวลพลังงานได้นั้น
ทรงต้องใช้กาแล็กซี่รูปแบบต่างๆหมื่นกว่าล้านกาแล็กซี่
กาแล็กซี่ที่ใหญ่ที่สุดคือ #ธารสายน้ำนม (Milky Way)
ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนเส้นผ่านศูนย์กลางของเอกภพ
กาแล็กซี่น้อยใหญ่นอกจากนั้นทรงจัดเรียงไว้ทั้งบนล่าง
เพื่อให้ทุกระบบเหวี่ยงหมุนรอบจุดศูนย์กลางของตนเอง
ให้ช่วยพัดกระพืออนุภาคของมวลพลังงานให้ฟุ้งกระจาย
จนกลายเป็นรูปธรรมของเอกภพดังกล่าวนั้นได้
นอกจากนั้น
ความสมดุลกันและเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกระบบ
ที่จะช่วยให้เอกภพดำรงอยู่อย่างสมดุลและยั่งยืนได้
ก็เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดไม่แพ้กันกับการสร้างเอกภพเลย
คุณลองคิดเองก็ได้ว่า
เอกภพทรงหนำเลี้ยบหรือทรงรีนี้จะดำรงรูปธรรม
อย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดกาลได้นั้น
เส้นผ่านศูนย์กลางคือกาแล็กซี่ธารสายน้ำนม
จะต้องหมุนรอบแกนกลางอย่างต่อเนื่องและคงที่ด้วย
แปลว่ากาแล็กซี่ใหญ่สุดที่ว่านี้จะต้องสมดุลนั่นเอง
พระองค์จึงต้องทรงสร้างระบบสุริยะขึ้นไว้ 2 ระบบ
ให้ดำรงอยู่บนปลายปีกสองข้างของกาแล็กซี่เดียวกันนี้
โดยปลายปีกข้างหนึ่งมีโลกเป็น 1 ใน 9 ดวงอยู่ในระบบ
ปลายปีกอีกข้างหนึ่งเป็นระบบที่มีดาวเคราะห์ 5 ดวง
สิ่งพิเศษที่ช่วยให้กาแล็กซี่ธารสายน้ำนม
สามารถหมุนกวาดไปในแนวระนาบอย่างต่อเนื่องได้
เพื่อทำให้อนุภาคของมวลพลังงานฟุ้งกระจาย
จนตนเองกลายเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางของเอกภพนั้น
ทรงกำหนดให้ดาวพลูโตเป็นเศษส่วนของเมอริเดี้ยน
ให้เป็นดาวเคราะห์วงจรโคจรนอกสุดของทั้งสองระบบ
ด้วยการโคจรย้ายไปย้ายมาระหว่างสองระบบสุริยะ
ในลักษณะคล้ายกระดานหกหรือ “กระดานกระดก”
ยังผลให้กาแล็กซี่ขนาดใหญ่นี้เหวี่ยงหมุนรอบแกนได้
คุณลองพิจารณาและจินตนาตามดูบ้างสิว่า
พระองค์ทรงสุดยอดแห่งพระปรีชาญาณหรือไม่
คุณภูมิใจหรือไม่ที่พระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดคุณ
ยินดีหรือเปล่าที่จิตวิญญาณคุณเป็นลูกแกะของพระองค์
ดีใจกันบ้างไหมที่คุณเริ่มจำพระองค์ได้บ้างแล้ว
อบอุ่นกันหรือเปล่าที่สำนึกแล้วว่าพวกคุณมิใช่ลูกกำพร้า
เสียใจบ้างหรือไม่ที่คุณเคยลืมพระองค์ไปนานแสนนาน
เศร้าใจบ้างหรือไม่ที่คุณเคยปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า
เพราะเข้าใจผิดจากการที่ผีโสโครกหลอกให้เชื่อว่า
พระเจ้าไม่มีจริง! พวกมันต่างหากคือพระเจ้า!
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
4/11/2566