#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกคนนำทางตาบอดที่ทำตนเป็น “กรรมกรของมอด”
ได้ออกมาสอนสวนทางกับพระโอวาทของพระเจ้า
ความว่า “เรื่องของกิเลสมิใช่ปัญหา
ถ้าอยากหลุดพ้น”
ขณะที่พระองค์ทรงสื่อถ่ายทอดพระวจนะมาทางเราว่า
#กิเลสมารในจิตหยาบของพวกคุณเป็นปัญหาใหญ่ยิ่ง
โดยกูรูที่แสดงตนว่ากูเป็นผู้รู้กูเป็นผู้ฉลาดด้านธรรมะ
ได้ให้อรรถาธิบายขยายความว่าเรื่องกิเลสมิใช่ปัญหา
โดยยกเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าอนิจจังไม่เที่ยง
มาตีความแบบเหมาเอาเองกันดื้อๆตามที่ตนเข้าใจ
ซึ่งเป็นการหลงผิดตามที่ถูกบิดเบือนโดยพวกมารชั่ว
คนนำทางตาบอดที่อวดตนเป็นคนสอนธรรมะ
ไม่เคยสำนึกรู้ว่าการสอนธรรมะให้พี่น้องรู้ผิดเข้าใจผิด
ไม่ว่าจะด้วยความโง่ง่ายเพราะเชื่อตามความบิดเบือน
ในสัจธรรมเทียมเท็จที่เกิดจากมีสติปัญญาแต่ไม่รู้จักใช้
แล้วจดจำความรู้เทียมเท็จที่ผิดนั้นมาสอนคนอื่นต่อ
หรือจะเป็นเพราะความอวดรู้แต่รู้ผิดเดาผิดก็ตามแต่
ผลกรรมที่กูรูผู้อวดรู้แล้วทำให้คนอื่นหลงเชื่อตามผิดๆ
จิตวิญญาณผู้นั้นจะถูกส่งไป “ทำทุกข์” ในนรกขุมที่ 13.
ซึ่งเป็นขุมสุดท้ายที่ลึกลงไปกว่านั้นก็จะไม่ได้ผุดเกิดอีก
เราจึงใคร่ติงเตือนพี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลายว่า
การเป็น “ครูสอนธรรม” นั้นพระเจ้าจะทรงเจิมแต่งให้
หรือไม่ก็ต้องเป็นพระศาสดาของศาสนานั้นๆเจิมแต่ง
เพราะพระเจ้าและพระศาสดาทรงหยั่งรู้ว่าผู้ใดเหมาะสม
จงอย่าริอ่านแต่งตั้งตัวเองเพื่อแสดงบทของพ่อครูแม่ครู
หรือริอ่านทำตนอุตริอวดเป็นเจ้าลัทธิแต่งตั้งใครเด็ดขาด
เพราะเบื้องบนจะมิทรงยินยอมให้แกะตัวใดก็ตามหลงฝูง
จากการหลงเชื่อตามสัจธรรมคำสอนที่ไม่ถูกตรงเด็ดขาด
ยิ่งเป็นคาบสุดท้ายปลายยุคพลังงานเก่าในช่วงเวลานี้
จะทรงยิ่งจริงจังกับหลักเกณฑ์นี้กันเป็นกรณีพิเศษเลย
เนื่องจากทรงยอมให้ผีโสโครกหลอกใช้คนให้หลอกคน
เป็นเวลาผ่านมายาวนานนับพันปีเศษซึ่งนานมากแล้ว
พวกกูรูผู้เป็นกรรมกรของมารคือจิตวิญญาณผีโสโครก
ยกเอาคำว่า “อนิจจังไม่เที่ยง” ของพระพุทธองค์มาอ้าง
เพื่อสนับสนุนเรื่อง “กิเลสไม่ใช่ปัญหาถ้าอยากหลุดพ้น”
โดยกล่าวว่าใดๆในโลกล้วนนั้นเป็นอนิจจังด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะทุกสิ่งล้วนมีเกิดขึ้นมีตั้งอยู่แล้วก็มีดับไปทั้งนั้น
ดังนั้น
“กิเลส” ก็เป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในกฎแห่งอนิจจังนี้ด้วย
เมื่อมันเกิดขึ้นมาได้เดี๋ยวมันก็จะดับของมันไปเอง
จะไปห่วงใยในเรื่องกิเลสให้มันวุ่นวายกันอยู่ทำไม
นี่จึงเป็นการสอนเรื่องกิเลสที่บิดเบือนอยู่ 2 กระทอก
กระทอกแรกตรงที่บิดเบือนว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้
กระทอกที่สองบิดเบือนด้วยคำสอนที่วิปริตแบบอุตริ
ทั้งสองกระทอกล้วนเป็นพูดเองเออเองมิใช่สัจธรรมแท้
ซึ่งสัจธรรมแท้จริงที่มิใช่เทียมเท็จก็คือ
เรื่อง “กิเลส” นี้เป็นจริตของจิตหยาบที่เป็นนามรูป
จะนำเอาอนิจจังซึ่งเป็นหนึ่งในไตรลักษณ์มาอ้างมิได้
ถ้าเอาอนิจจังมาอ้างสิ่งนั้นต้องเป็นรูปธรรมชัดเจน
โดยสิ่งนั้นต้องมีอัตตารูปลักษณ์ในมิติทางกายภาพ
มันจึงจะมีความเสื่อมเกิดขึ้นไปตามธรรมชาติของมัน
นั่นคือเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นมันก็จะดำรงอยู่แล้วก็เสื่อมไป
โดยมีหนึ่งในเงื่อนไขของความเสื่อมก็คือ “กาลเวลา”
อันหมายถึง “อนิจจังไม่เที่ยงแท้” นั่นแหละคุณ
พระพุทธองค์สอน #กฎแห่งไตรลักษณ์
อันประกอบด้วย 3 องค์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เพื่อสอนมนุษย์ให้รู้จัก #การปล่อยวาง มิให้ยึดสิ่งใด
ถ้าคุณไปหลงยึดติดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มันไม่มีอัตตาเข้า
สิ่งนั้นก็จะเกิดมีอัตตาตัวตนขึ้นมาได้ในทันทีทันใด
โดยสิ่งที่คุณไปยึดติดนั้นก็ยังเป็นมายาของมันดังเดิม
แต่อัตตาตัวตนของสิ่งนั้นมันจะเกิดขึ้นมาในจิตคุณ
เพราะจิตคุณ “ปรุงแต่ง” อัตตานั้นขึ้นมาเอง
เพื่อให้จิตเองมีอัตตาตัวตนให้ยึดติดมันได้ง่ายขึ้น
อัตตาปลอมๆของสิ่งนั้นที่จิตคุณสร้างขึ้นมาเองนี้
มันมิได้คงอยู่อย่างยั่งยืนถาวรเพราะมันไม่มีอยู่จริง
แต่มันเป็นตัวตนที่ถูกกิเลสคุณนั่นแหละสร้างขึ้นมา
โดยสร้างจากความโง่เพราะมีปัญญาแต่ไม่รู้จักใช้
ด้วยการยอมให้ “กิเลสมาร” มีอำนาจเหนือนำปัญญา
นี่จึงเป็นที่มาของเรื่อง #อนิจจังไม่เที่ยง ทั้งสิ้น
ขณะที่จิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นกิเลสเพราะสิ่งนั้นอยู่
ความทุกข์ทางจิตมันก็จะเกิดขึ้นและดำรงอยู่เช่นกัน
ทุกข์เพราะจิตจะเกิดความอยากด้วยสารพัดอยาก
ทุกข์เพราะจิตจะเกิดความไม่อยากสารพัดไม่อยาก
ทุกข์เพราะถูกขัดขวางหรือมีอุปสรรคในการตอบสนอง
นี่จึงเป็นที่มาของเรื่อง #ทุกขัง อันเกิดจากการยึดติด
อัตตามายารูปลักษณ์ของสรรพสิ่งที่คุณสัมผัสนั่นเอง
การกลัวความทุกข์และอยากมีความสุขมากมาย
ทั้งที่อัตตาตัวตนของทุกข์กับสุขไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร
ซึ่งพวกคุณไม่เคยมีใครแลเห็นรูปธรรมของมันได้
เพราะทุกข์หรือสุขมันเป็นแค่จริตที่เป็นอาการของจิต
แต่การกลัวและการอยากนี่แหละคือการยึดติดที่เราว่า
ยังผลให้ทุกข์กับสุขเกิดอัตตาตัวปลอมขึ้นมาที่ในจิต
แล้วพวกคุณก็ยึดติดมันเอาไว้ไม่ยอมปล่อยปละละวาง
เมื่อกาลเวลาผ่านไปจิตคุณก็จะเกิดความคุ้นชิน
ที่มีต่อสิ่งนั้นหรือปรากฏการณ์ที่จำเจซ้ำซากนั้น
ทำให้ความอยากหรือไม่อยากค่อยๆลดน้อยถอยลงไป
จนส่งผลถึงการยึดติดนั้นพลอยถูกปล่อยวางลงไปด้วย
ยังผลให้ความทุกข์ที่มีอยู่ในจิตลดลงไปได้เช่นกัน
ในท้ายที่สุดแล้วกระบวนการที่ผิดพลาดของจิตหยาบ
ที่เริ่มจากอนิจจังตามด้วยทุกขังก็จะกลายเป็นอนัตตา
คำว่า “อนัตตา” แปลว่าสิ่งที่มีตัวตนจนคุณยึดติดนั้น
มันก็จะไม่มีอัตตาหรือไม่มีตัวตนในจิตคุณอีกต่อไป
เพราะจิตว่างจากกิเลสปลอดตัณหากับอารมณ์ขยะ
อันเป็นที่มาแห่งทุกข์ของจิตหยาบของคุณไปแล้ว
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า #การเกิดดับ ของจิตหยาบ
ที่มีต่อทุกสิ่งที่คุณสัมผัสรู้ดูฟังด้วยอายตนะภายนอก
ซึ่งมีกิเลสมารเป็นอุปสรรคตัวสำคัญของพวกคุณ
ที่ทำให้คุณหมุนกรรมจักรแทนธรรมจักรกันอยู่ทุกวันนี้
โดยพวกกรรมกรสอนธรรมของผีโสโครกบิดเบือนว่า
“กิเลสไม่ใช่ปัญหา
ถ้าอยากหลุดพ้น”
เพราะเหตุนี้เอง
องค์จิตจักรวาลพระผู้เป็นเจ้าเหนือทุกสิ่งที่ทรงสร้าง
จึงทรงเน้นย้ำให้เรากล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ให้รีบ #ดับการเกิดดับของกิเลสมาร ในจิตหยาบให้สิ้น
เพื่อทำลายอุปสรรคในการหมุนธรรมจักรด้วยรักเพื่อให้
หมายถึง #การนิพพานกิเลส ที่เรากล่าวย้ำมาตลอด
ซึ่งการนิพพานกิเลสนั้นคุณต้องนิพพานก่อนที่จะตาย
มิใช่ตายแล้วนิพพานแบบตาลยอดด้วนคือหายไปเฉยๆ
โดยไม่สามารถกลับมาเกิดเป็นคนบนโลกเสรีนี้ได้อีก
เพราะลอยขึ้นไปติดค้างเสวยกิเลสอยู่บนสวรรค์มายา
จะกลับลงมาก็ไม่ได้จะลอยขึ้นไปให้สูงอีกก็ไม่ไหว
คุณจงจำไว้ว่า
นิพพานก่อนตายหมายถึงดับการเกิดดับของกิเลส
ตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง #ไตรลักษณ์ ไว้
แดนนิพพานก่อนตายก็คือ “ในจิตหยาบ” ของคุณเอง
ส่วนนิพพานหลังจากที่คุณตายแล้ว
คือการก้าวตามมรรควิถีของพระศาสดาทุกพระองค์
โดยจิตหยาบของคุณต้องเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ
เพื่อพากัน #กลับบ้านเกิด ในแดนสุญตานอกเอกภพ
ซึ่งพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้าทรงรอคุณอยู่
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาพอสังเขปในสองบทเรียนนี้
คือการ “ร้องเรียกแกะทุกตัว” ให้กลับเข้าคอกได้แล้ว
เพราะโลกกำลังจะมืดพร้อมกันทุกทิศนาน 8 ราตรี
ที่เมื่อถึงเวลานั้นจะต้อง #ตัวใครตัวมัน กันแล้ว!
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
30/11/2566