18 พฤศจิกายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 18/11/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทำไมคนสมัยโบราณจึงกล่าวถึงพระเยซูเจ้าว่า
พระองค์ท่านทรงเป็น
 #คนดูแลฝูงแกะของพระเจ้า
 
คำถามที่ว่า “คนดูแล” หมายถึงเป็นผู้ทำหน้าที่อะไร
ในบทที่ผ่านมาเราได้กล่าวไปแล้ว 4 ประการก็คือ
1.เป็นผู้เข้ามากล่าวพระโอวาทในพระนามของพระเจ้า
2.เป็นผู้มากล่าวอนุตรธรรมให้มนุษย์โลกได้เรียนรู้
3.เป็นผู้ทำหน้าที่เปิดปิดประตูนิพพานคือด่านนภาลัย
 
4.เป็นผู้แจกขนมปังของพระบิดาให้ฝูงแกะกิน
โดยในประการที่สี่นี้เรายังกล่าวไม่จบถ้อยกระทงความ
จึงขอนำมากล่าวให้พวกคุณเรียนรู้กันในบทนี้ต่อไปอีก
ซึ่งเราได้กล่าวไว้จนถึงข้อย่อยข้อที่ 5 แล้ว
 
5.คุณจึงต้อง #มีสมาธิในการคิด
โดยนึกคิดเรื่องนั้นเรื่องเดียวจนกว่าจะคิดได้หรือคิดออก
คำว่า
 #สมาธิ จึงมิได้หมายถึงนั่งหลับตาภาวนาอยู่เงียบๆ
ไม่ฟังใครไม่พูดกับใครไม่คบใครหรือปลีกตัวไม่ให้ใครคบ
นิ่งสงบข้างนอกแต่ว้าวุ่นอยู่ข้างในคนเดียวนานเป็นวันคืน
 
เมื่อนิยามแท้จริงของคำว่า “สมาธิ” นั้น
หมายถึงการนึกคิดหรือกระทำสิ่งใดเรื่องใดเรื่องเดียวนั้น
โดยมุ่งที่ผลสัมฤทธิ์คือได้ผลสำเร็จแล้วไม่ต้องแก้ไขซ้ำอีก
แม้ต้องใช้เวลายาวนานเท่าใดก็จะมุ่งมั่นคิดทำต่อไป
จนกว่าจะประสบผลสำเร็จแล้วจึงค่อยเลิกคิดเลิกทำมัน
การมีสมาธินั้นไม่ว่าชาวบ้านหรือนักพรตนักบวชก็มีได้ทำได้
 
ไม่ต้องเข้าป่าเข้าถ้ำเข้าสำนักเข้าตำหนักหรือเข้าวัด
ไม่ต้องนั่งขัดสมาธิ ไม่ต้องมีพิธีการ ไม่ต้องมีรูปแบบพิเศษ
ถ้าคุณมีจิตกับสมองและมีกายสังขารที่สมบูรณ์เพียบพร้อม
มีประเด็นปัญหาชัดเจนให้ต้องขบคิดพิจารณาหรือให้เรียนรู้
มีภารกิจให้ต้องใช้อวัยวะและมีพื้นที่ให้คุณปฏิบัติพร้อมอยู่
คุณจะมีสมาธิหรือจะใช้สมาธิเพื่อคิดเพื่อทำมันได้เสมอ
จะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินอีท่าไหนก็เอาตามแต่ใจสะดวกเถิด
เพราะคุณเป็นฆราวาสมิใช่นักบวชที่เขามีรูปแบบมีพิธีกรรม
 
สำหรับฆราวาสหรือชาวบ้านแบบเราและคุณ
พระบิดาทรงประทาน
 #มหาสติ หรือ “ธรรมชาติสมาธิ”
ให้พวกคุณใช้แทน #เท็คนิกสมาธิ ของนักพรตนักบวชไว้แล้ว
โดยมหาสติซึ่งเป็นธรรมชาติสมาธินั้นคุณครองได้ตลอดเวลา
เพราะมหาสติคือ รู้สติ มีสติ และ ใช้สติ แบบรู้ตัวทั่วพร้อมจริง
คุณสามารถปฏิบัติกับตนเองได้ทุกเวลาในยามตื่น
ขณะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมกับคนทั่วไปไม่ต้องหลบไปอยู่ในที่ลับ
เพราะกลัว
 #อายตนะภายนอกจะรั่ว จนมีสิ่งยั่วยุจิตหลงเข้าไป
 
6.จิตหยาบต้องว่างไปจากกิเลสให้ได้ตลอดเวลา
เพราะว่ากิเลสในจิตหยาบนั้นมันเปรียบเสมือนแว่นตานี่แหละ
ถ้าคุณสวมแว่นที่มีกระจกสีอะไรอยู่สิ่งที่ดูเห็นก็จะเป็นสีนั้น
 
ตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณรู้สึกชอบหรือพอใจในสิ่งที่กำลังรู้เห็นอยู่นั้น
สิ่งที่คุณรู้เห็นนั้นมันก็จะเพริศแพร้วสวยงามไปทุกมุมมอง
แต่ถ้ารู้สึกไม่ชอบหรือไม่พึงพอใจในสิ่งที่กำลังรู้เห็นนั้น
คุณก็จะเกิดความรู้สึกขัดหูขัดตาหรือขุ่นเคืองใจขึ้นมาได้
 
ดังนั้น
ความรู้สึกของคุณนี่แหละมันเป็นอุปสรรคที่สำคัญยิ่งนัก
เพราะจะทำให้
 #มองโลกไม่เห็นความจริง ให้ชัดเจนได้
กิเลสทำให้คุณมองเห็นสิ่งเทียมเท็จหรือสิ่งไม่จริงเสมอ
จนเป็นที่มาของสิ่งที่เรียกว่า
 #นานาจิตตัง นั่นแหละคุณ
ซึ่งพวกคุณคงคุ้นเคยกับคำว่า
 #ลางเนื้อชอบลางยา กันดี
ประเภทที่เรียกว่า
 “ชอบใครชอบมัน” คือชอบต่างกันไป
 
นี่จึงเป็นที่มาของคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า
ถ้าจะบรรลุผลสำเร็จในทางธรรมของคนชอบธรรมทุกราย
ต้องเข้าถึง
 #นิพพาน ให้ประสบผลสำเร็จให้ได้เสียก่อน
พระองค์ทรงหมายถึง
 #นิพพานกิเลส นี่แหละคุณ
แต่คนนำทางตาบอดถูกผีโสโครกหลอกไปเป็นอย่างอื่นว่า
#นิพพานคือตายแล้วจิตวิญญาณไปอยู่บนสวรรค์มายา
#
ไม่ย้อนกลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์กันอีกตลอดกาลนิรันดร์
ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ทิ้งภารกิจของจิตวิญญาณที่ถือมา
มิให้ใช้ความรักความเมตตาค้ำจุนสมดุลโลกเอาไว้ให้มั่นคง
ด้วยการนำเอาเรื่องของ
 #ความทุกข์ มาเป็นตัวประกัน
จนพวกคุณเกิดอาการหลงมิติ
 #ติดทุกข์ติดสุข กันยกใหญ่
ยังผลให้จิตไม่ใสใจไม่สวยยิ่งชำระกิเลสก็ยิ่งหนามากขึ้น
 
7.ขณะที่เราสื่อพระโอวาทในทุกครั้งทุกช่องทาง
เรามีการฝึกให้คุณใช้จิตทำงานร่วมกับสมองสองซีก
เป็นการจงใจที่จะช่วยเหลือพวกคุณอย่างแท้จริง
ให้คุณสามารถพึ่งพาจิตกับสมองสองซีกที่ตนมีอยู่ให้ได้
 
เพราะพบว่าในยุคของพระเยซูนั้น
เมื่อกล่าวพระโอวาทอันเป็นภูมิรู้และภูมิธรรมออกมา
พี่ๆน้องๆหลายคนในยุคนั้นเข้าใจง่ายก็มีเข้าใจยากก็มาก
พระโอวาทที่เข้าใจง่ายๆทรงเปรียบว่าเป็นขนมปังพระบิดา
แต่พระโอวาทที่เข้าใจยากจนต้องคิดใคร่ครวญมาก
เนื่องจากมนุษย์ยุคนั้นยังใช้สมองสองซีกไม่ชำนาญ
พระโอวาทบางเรื่องบางตอนจะต้องคิดด้วยสมองสองซีก
ซึ่งต้องใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายทำการคิดนำก่อน
เมื่อคิดจนได้คำตอบแล้วค่อยนำคำตอบนั้นมาคิดต่อ
โดยต้องใช้สมองซีกขวามาสังเคราะห์ในขั้นสุดยอดให้ได้
เพราะไม่เคยมีใครเป็นครูสอนให้รู้จักใช้สมองสองซีก
พระพุทธองค์ก็ทรงเน้นให้คิดด้วยสติปัญญาสมองซีกซ้าย
หลักคิดก็คือ
 #อิทัปปัจยตา หลักแห่งเหตุและผล
ที่ทำให้พระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมเรื่อง อริยสัจสี่ นั่นเอง
 
ดังนั้น
มนุษย์ในยุคของพระเยซู
ผู้คนส่วนใหญ่ยังใช้จิตปัญญาของสมองสองซีกไม่ชำนาญ
บางคนที่ฟังพระโอวาทแล้วคิดตามจึงเกิดอาการมึนศีรษะ
คล้ายกับอาการเมาของของคนที่ดื่มไวน์หรือดื่มเหล้าองุ่น
งานสื่อพระโอวาทของพระเยซูจึงถูกสมมติว่าเป็นงานเลี้ยง
ที่แจกไวน์แจกเหล้าองุ่นให้ทุกคนได้ดื่มบางคนดื่มแล้วเมา
ขณะที่บางคนดื่มแล้วชมว่า
 “หอมอร่อย” เป็นไวน์ชั้นดีเยี่ยม
ทำไมพระเยซูจึงแจกไวน์ให้ดื่มในตอนท้ายๆของงานเลี้ยง
ผิดกับเจ้าของงานเลี้ยงคนอื่นๆที่จะเอาไวน์ดีๆมาแจกก่อน
ซึ่งเป็นคำถามจากความคิดคำนึงของผู้คนในยุคนั้น
 
เราจะขอกล่าวความจริงให้รู้ว่า
กาลครั้งนั้นพระองค์มิได้แจกไวน์ให้ดื่มกันในงานเลี้ยง
เพราะว่างานเลี้ยงหมายถึงงานสื่อพระโอวาทจากพระเจ้า
พระโอวาทบทที่เข้าใจยากจึงต้องนำมาสอนไว้ตอนท้ายๆ
จึงทรงนำบทที่เข้าใจง่ายๆมาปูพื้นให้เรียนรู้กันก่อน
ที่เข้าใจง่ายและได้ประโยชน์เมื่อนำไปปฏิบัติคือ
 #ขนมปัง
ที่เข้าใจยากต้องใช้ปัญญามากต้องคิดมากกว่าก็คือ #ไวน์
นี่จึงเป็นที่มาของขนมปังกับไวน์
ซึ่งพระเยซูทรงกล่าวเปรียบเทียบเอาไว้ในอดีตนั้น
(ยังมีตอนต่อไป)
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย
 #ปัญญาวิสุทธิ์
18/11/2566