#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทุกภพชาติในอดีตกาลที่ผ่านมา
พวกคุณประพฤติตนกันเป็นดั่งคนที่มี #มิติเดียว
นั่นคือ “มิติโลกทางกายภาพ” หรือมิติแห่งเนื้อหนัง
ที่กล่าวเป็นภาษาชาวบ้านหยาบๆว่า “กิน
ขี้ ปี้ นอน”
โดยตื่นเช้าขึ้นมาก็ตั้งหน้าตั้งตาในการทำมาหากิน
อยากก้าวหน้าทั้งรายได้ลาภยศตำแหน่งชื่อเสียงมาก
ใครคนนั้นก็จะต้องทนทุกข์ยากลำบากกายมากหน่อย
ถ้ามักน้อยไม่ค่อยทะยานอยากก็จะเกิดทุกข์น้อยกว่า
มนุษย์จำพวกคนมิติเดียว
จะฝักใฝ่สนใจกันแต่เรื่องการอุปโภคบริโภค
จะอด จะอิ่ม จะอึด จะเอา จะออก จะแอบ จะอ้วน
โดยมีความกลัวเป็นตัวชี้นำพฤติกรรมแทบทั้งสิ้น
เป็นต้นว่า
กลัวจะอด กลัวจะไม่อิ่ม
กลัวว่าจะอืดอาดอุ้ยอ้ายไม่สมาร์ทไม่ทันเพื่อน
กลัวว่าจะเอาไม่ได้หรือกลัวว่าจะไม่ได้เอา
กลัวว่าจะถูกออก กลัวถูกคัดออกหรือว่ากลัวถูกให้ออก
กลัวว่าจะแอบซ่อนไว้ไม่มิดชิด กลัวว่าจะถูกซ่อนแอบ
กลัวว่าจะอ้วนจนเกินไปหรือกลัวว่าตนจะไม่อวบอ้วน
ความกลัวเหล่านี้เป็นอาทิที่จะพบเห็นอยู่เป็นประจำ
ซึ่งเป็นเรื่องของฝ่ายเนื้อหนังในทางโลกทั้งสิ้น
คนที่ยังคนตนเองในสองมิติให้เป็นมนุษย์ไม่สำเร็จ
ส่วนใหญ่จะสนใจกันก็แต่เปลือกนอกของตนกันเท่านั้น
เช่นคำสอนที่ว่า “ดูคนให้ดูหน้าตา
ซื้อเสื้อผ้าให้ดูที่เนื้อ”
ซึ่งเป็นคำสอนที่ฟังดูดีแต่ยังเป็นคำสอนให้ดูแค่เปลือก
ยังไม่มีตรงไหนที่จะชี้ให้พิจารณาลึกซึ้งถึงแก่นแท้เลย
มนุษย์จึงผิดพลาดผิดหวังในการคบคนผิดวางใจคนผิด
จนมีคดีพิพาทบาดหมางกันตั้งแต่เรื่องเล็กถึงคดีใหญ่
เกิดขึ้นอยู่ในสังคมจนวุ่นวายว้าวุ่นไม่เว้นกันในแต่ละวัน
เพราะ #เห็นหน้าไม่รู้ใจ #เห็นแต่เปลือกไม่เห็นเนื้อใน
เพราะมนุษย์ถูกหลอกให้เสพติดกิเลสจนเมามาย
จึงยังผลให้จิตหยาบถูกกิเลสครอบงำเหมือนคนเมา
ที่ใช้ชีวิตแบบโซซัดโซเซตุปัดตุเป๋ไม่ตรงทางที่จะไป
เพราะแอลกอฮอล์ในเหล้าที่ดื่มกินเข้าไปจนทำลายสติ
จนออกอาการของคนเสียสมดุลให้เห็นได้อย่างชัดเจน
จะพูดจาอ้อแอ้แบบคนลิ้นไก่แข็งไม่ชัดถ้อยไม่ชัดคำ
จะมีกลิ่นเหล้าหรือกลิ่นแอลกอฮอล์แบบกลิ่นละมุดเน่า
ลอยฟุ้งออกมาจากลมหายใจให้คนใกล้ตัวได้รับรู้ด้วย
เมื่อคุณสัมผัสรู้ดูเห็นคนเมาเพราะดื่มเหล้ามีอาการเช่นนี้
คุณก็จะรู้ได้ทันทีว่า “หมอนี่เมา” จะเมาหนักน้อยก็พอดูรู้
แต่เป็นที่น่าแปลกใจเหลือเกินว่า
เมื่อคุณเห็นคนส่วนใหญ่ที่กำลังเมามายกิเลสมารกันอยู่
จนเกิดอาการไม่ได้สติเพราะพิษของกิเลสที่เสพเข้าไป
พวกคุณกลับสังเกตไม่พบและแลไม่เห็นความเป็นพิรุธ
ทั้งๆที่ “เมาเหล้า” กับ “เมากิเลส” มันก็เสียสมดุลเช่นกัน
อาการของคนที่เมามายกิเลสมารนั้น
คุณจะสังเกตได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมได้เหมือนกัน
เช่น จะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างอดอยากไม่ได้
จะใช้ความรู้สึกของตนชี้วัดตัดสินใจเลือกว่าเอาไม่เอา
จะใช้อารมณ์นำหน้าการใช้สติปัญญาคิดพิจารณาเสมอ
จะใช้ชีวิตแบบเป็นทาสของความโลภโกรธและลุ่มหลง
ถ้าเมามายกิเลสมารอย่างหนักจนเสียสมดุลมาก
อาการที่พบเห็นดังกล่าวนั้นก็จะรุนแรงเข้มข้นชัดเจน
พฤติกรรมการดำเนินชีวิตก็จะแลดูตุปัดตุเป๋ไม่ตรงทาง
มีความผิดพลาดในชีวิตครอบครัวที่ทำงานและสังคม
จากการคิดพูดทำไปตามพิษของกิเลสที่เมามายอยู่
จนเกิดเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจกับคนใกล้ตัวอยู่เนืองๆ
อาการของคนเมากิเลสมารซึ่งชัดเจนออกอย่างนี้
น่าแปลกใจที่พวกคุณกลับมองไม่เห็นสังเกตไม่ได้ว่า
นายหรือนางคนนี้มันกำลังเมากิเลสมารอย่างหนักอยู่
ซึ่งมีอาการด้านพฤติกรรมที่น่ารังเกียจน่าสะอิดสะเอียน
ชอบพูดเท็จหรือพูดไม่ตรงจริงเพราะกิเลสนำพาให้พูด
เหมือนกับตอนที่คุณสังเกตรู้ดูเห็นคนเมาเหล้าเมายา
ซึ่งคุณจะบอกได้เลยทันทีว่า “หมอนี่เมาเหล้า” แน่นอน
หมอนี่น่ารังเกียจน่าสะอิดสะเอียนเหมือนได้กลิ่นบูดเน่า
คุณลองคิดพิจารณากันเอาเองก็ได้ว่า
สาเหตุที่คุณเมื่อได้พบสัมผัสกับคนเมากิเลสเข้าแล้ว
ทำไมจึงไม่เกิดอาการเหมือนพบคนขี้เหล้าเมายาบ้าง
คำตอบเดียวเท่านั้นก็คือ #คุณก็เมากิเลสกับเขาด้วย
ไม่ต่างจากคนขี้เหล้าที่ร่วมก๊งเหล้าเมามายอยู่ด้วยกันนั้น
พวกเขาจะครื้นเครงสนุกสนานเฮฮาประสาคนเมากันได้
โดยไม่มีใครรังเกียจอาการเมาของใครให้คุณได้เห็น
ยกเว้นเมื่อถึงตอนเมาจนไม่ได้สติเขาก็จะทะเลาะกันตีกัน
เพราะคำพูดคำจาไม่เข้าหูไม่เข้าตาซึ่งกันและกันนั่นเอง
ขณะที่คนส่วนใหญ่ซึ่งเมามายกิเลสกันอยู่นั้น
จะขัดแย้งกันก็เพราะชอบในสิ่งที่แตกต่างกัน
จะขัดขวางขัดขากันก็เพราะว่าชอบในสิ่งเดียวกัน
จะทะเลาะกันก็เพราะผลประโยชน์ขัดกันจึงต้องบรรลัย
จะขัดข้องหมองใจกันก็เพราะขัดหูขัดตาขัดใจกัน
ปัญหาการอยู่ร่วมกันของมนุษย์นั้นมาจากกิเลสล้วน ๆ
ในชีวิตจริงของพวกคุณซึ่งมีปัญหาจนเกิดทุกข์นั้น
สาเหตุหลักเกิดจากมีกิเลสตัณหาจนไม่รู้จักคำว่า #พอ
คำว่า “พอ” หมายถึง “พอเพียง” คือพอมี พอดี พอควร
ซึ่งเป็นเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณคือ “จิตหยาบ” โดยตรง
เหตุนี้เองพระศาสดาจึงสอนเรื่อง #มัชฌิมาปฏิปทา
ให้มนุษย์ดำเนินชีวิตแบบ “ทางสายกลาง”
โดยไม่ให้เน้นหนักไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียจนเอนเอียง
ระหว่างฝ่ายเนื้อหนังกับฝ่ายจิตวิญญาณในด้านแก่นแท้
ที่ประดาคนนำทางตาบอดซึ่งเป็นกรรมกรของมาร
บิดคำสอนโดยหลอกว่า#ความพอดีคือความไม่พอดี
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
9/11/2566