#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พลังอำนาจของจิตวิญญาณคือ “พลังจิตใต้สามนึก”
ซึ่งเป็นพลังงานชั้นนอกสุดของรูปธรรมจิตวิญญาณ
ที่เป็นตัวตนแก่นแท้พวกคุณที่อาสามาเกิดเป็นมนุษย์
ถ้าเป็นจิตวิญญาณอิสระที่ยังมิได้มีภพชาติเป็นมนุษย์
พลังงานชั้นนอกสุดของจิตวิญญาณคือ “เมอร์คขะบาห์”
โดยเมอร์คขะบาห์จะทำหน้าที่หลายอย่างด้วยกันคือ
1.คอยหุ้มห่อรูปธรรมจิตวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ข้างใน
ถ้าไม่มีเปลือกชั้นนอกสุดจิตวิญญาณจะดำรงอยู่ไม่ได้
2.เมอร์คขะบาห์ทำหน้าที่เป็นพาหนะของจิตวิญญาณ
โดยจะเคลื่อนที่ด้วยวิธีการ “เหวี่ยง” หรือดีดตัวเองไป
ในทิศทางและเป้าหมายตามที่จิตวิญญาณต้องการ
ด้วยอัตราเร็วเท่ากับความเร็วของแสง
ที่เปลี่ยนค่าเป็นสองเท่าในทุกๆวินาที
ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่ในแบบอัตราเร่งนั่นเอง
นั่นคือวินาทีที่ 1 จะเคลื่อนที่เท่ากับความเร็วแสง
(C)
วินาทีที่ 2 จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 2 เท่าของ C=2C
วินาทีที่ 3 เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 2 เท่าของ 2C=4C
วินาทีที่ 4 เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 2 เท่าของ 4C=8C
วินาทีที่ 5 เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว 2 เท่าของ 8C=16C
คุณจะเห็นได้ว่า
ยิ่งระยะทางห่างไกลจากกันมากเท่าไหร่
เมอร์คขะบาห์ก็จะเหวี่ยงเอาจิตวิญญาณทั้งรูปธรรม
ให้เคลื่อนที่เดินทางไปยังจุดหมายนั้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
แม้ในขณะที่จิตวิญญาณคุณมีภพชาติเป็นมนุษย์อยู่
เพียงแค่ “จิตหยาบ” สั่นสะเทือนเป็นความคิดถึงใคร
ที่เขาคนนั้นแม้จะอยู่ห่างไกลจากคุณคนละซีกโลก
คลื่นพลังงานความคิดถึงนั้นมันก็จะเดินทางไปหาเขา
ด้วยความเร็วแบบอัตราเร่งตามตัวอย่างข้างต้นทันที
ชั่วเสี้ยววินาทีคลื่นจิตที่เหวี่ยงไปโดยเมอร์คขะบาห์
ก็จะเดินทางย้อนกลับคืนมาหาคุณอย่างรวดเร็วเสมอ
ถนนของคลื่นพลังงานจิตที่ใช้ในการเดินทางไปกลับ
เพื่อการสื่อสารกันคือเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกนี่เอง
ดังนั้น
ถ้าในเอกภพหรือในระบบโลก
ไม่มีสนามแม่เหล็กสอดประสานยึดโยงเป็นโครงข่ายอยู่
รูปธรรมจิตวิญญาณจะไม่สามารถเดินทางไปไหนๆได้
รวมทั้งการสื่อสารทางจิตเพื่อติดต่อระหว่างกันและกัน
จะเกิดขึ้นไม่ได้อีกด้วยถ้าไม่มีโครงข่ายสนามแม่เหล็ก
สอดประสานกันไว้อย่างแข็งแกร่งและสมดุลกัน
แม้แต่ยานบินหรือ UFO ของสิ่งมีชีวิตเผ่าดาวอื่น
ที่เขาสามารถท่องจักรวาลและเอกภพอันไพศาลได้
ก็ต้องใช้เส้นแรงสนามแม่เหล็กเส้นใดเส้นหนึ่งเป็นถนน
จานบินหรือ “ยูเอฟโอ” ที่เคยตกลงมาจากฟ้าสู่พื้นโลก
ล้วนแต่ตกลงมาจากถนนคือเส้นแรงแม่เหล็กโลกทั้งสิ้น
ที่พวกเขาต้องตกลงมาให้ปรากฏก็เพราะโชคไม่ดีแท้ๆ
ขณะที่ยานบินลำนั้นแล่นไปตามเส้นแรงแม่เหล็กโลก
ปรากฏว่าสนามแม่เหล็กโลกเสียสมดุลในฉับพลันทันที
โดยจู่ๆเส้นแรงที่ยานกำลังแล่นไปมันขาดหายไปเฉยๆ
เนื่องจากมนุษย์ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกไว้ไม่ได้
เพราะถูกหลอกให้เสพติดกิเลสจนหมุนกันแต่กรรมจักร
3.พลังงานที่อยู่ชั้นนอกสุดของจิตวิญญาณนี้
จะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงและหมุนรอบแกนเร็วจี๋
ซึ่งพลังงานชั้นนอกสุดนี้จะคอยรับคำสั่งจากจิตวิญญาณ
ที่เป็นนิวเคลียสเหมือนเป็นไข่แดงที่อยู่ภายในใจกลาง
เพียงแค่จิตวิญญาณต้องการจะไปที่ไหนก็จะพาไปทันที
โดยไม่มีอิดออดโอ้เอ้ไม่มีลังเลโลเลไม่มีแข็งขืนฝืนทำ
เพราะเมอร์คขะบาห์คิดเองไม่เป็นแต่ทำตามเป็นเท่านั้น
ไม่ต่างจากจิตใต้สามนึกจะคอยทำตามจิตสามนึกนั่นเอง
ประดาพวกอุตริคือเจ้าลัทธิที่เป็นกรรมกรของผีโสโครก
ถูกลวงให้เผยแพร่มหัศจรรย์ต่างๆของ #จิตใต้สามนึก
ซึ่งพระเยซูเปรียบให้เป็น “ของเน่าเหม็น” อันน่ารังเกียจ
พวกคนโง่ง่ายและงมงายจึงทำตัวเป็นดั่งนกแร้งรุมทึ้ง
จึงตรัสว่า “มีสัตว์เน่าตายที่ไหนจะมีนกแร้งรุมทึ้งที่นั่น”
เพราะพระองค์ทรงกล่าวเป็นนัยว่าอย่าไปสนใจเรื่องนี้
พวกคุณเป็นมนุษย์ต้องฝึกใช้ #จิตสามนึก อย่างเดียว
เนื่องจากคุณมี “จิตหยาบ” ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
อันเป็นรูปแบบของ #คนสองมิติ ตามที่พระเจ้ากำหนด
หมายความว่า
เมื่อคุณสั่นสะเทือนจิตหยาบเป็น “จิตสามนึก” เมื่อไหร่
จิตวิญญาณคุณโดยจิตใต้สามนึกจะสั่นสะเทือนตามเอง
คุณมิพักจะต้องบงการบัญชาหรือว่าออกคำสั่งให้เขาทำ
ถ้าทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องจิตวิญญาณจะไม่เสื่อมพลัง
เพราะพระเจ้าจะไม่ทรงริบรับกลับคืน
จงอย่าได้เอาเยี่ยงอย่างพวกมารหรือผีโสโครก
พวกนี้ตอนที่ยังมีชีวิตในขณะมีเครื่องยนต์แห่งกรรมอยู่
พวกเขาไม่เคยมีจิตหยาบช่วยทำหน้าที่แทนแก่นแท้
พวกเขาคงมีแต่จิตวิญญาณปฏิบัติการทั้งสองมิติเท่านั้น
เมื่อจะแสดงออกหรือกระทำสิ่งใดจึงต้องใช้จิตวิญญาณ
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมทุกอย่างตามต้องการ
คำว่า “พฤติกรรมทุกอย่าง” หมายถึงพฤติกรรมดีๆชั่วๆ
ซึ่งพฤติกรรมชั่วๆก็คือการกระทำใดๆที่ผิดกฎจักรวาล
เมื่อทำผิดกฎบ่อยๆพลังอำนาจทางจิตวิญญาณจึงเสื่อม
เดิมจิตวิญญาณพวกนี้จะอยู่ในมิติที่ 6D เท่ากับพวกคุณ
นานวันเข้าความเสื่อมก็มากขึ้นจึงเหลือแค่ 5D เท่านั้น
ขณะที่จิตวิญญาณของพวกคุณยังคงมี 6D เท่าเดิม
เพราะพระเจ้าทรงเก็บจิตวิญญาณคุณไว้ในเซฟเฮ้าส์
แล้วให้จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ทำการแทนขณะมีภพชาติ
โดยทรงออกแบบให้พวกคุณยกระดับจิตหยาบ
จากมิติที่ศูนย์ตั้งแต่แรกปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดาแล้ว
พอยกระดับจนถึงมิติที่ 4D จึงให้คลอดออกมาเป็นทารก
ต่อจากนั้นต้องทำการยกระดับจิตหยาบให้ถึง 6D ให้ได้
เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณที่มี 6D อยู่แล้ว
เมื่อครบกำหนดถึงกาลสิ้นยุคจิตหยาบและจิตวิญญาณ
ต้องรวมตัวกันสั่นสะเทือนร่วมกันเพื่อเดินทางกลับบ้าน
ในสภาวะหลุดพ้นออกไปจากเอกภพกลับคืนสู่บ้านเกิด
ตามที่ได้ให้สัจจะกับพระเจ้าไว้ในพันธะสัญญา 6 แล้ว
ตั้งแต่ก่อนมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติแรกกันนั่นแหละ
นี่คือความแตกต่างระหว่างมนุษย์แห่งดาวโลก
กับสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นๆที่มีอยู่จริงในอนันตจักรวาล
ที่คุณไม่รู้ว่าตนไม่รู้และคิดเข้าใจว่าเหมือนกันกับตน
โดยจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นไม่มีหน้าที่ตาย
พวกเขาไม่มีอายุขัยว่าจะสิ้นสุดเมื่อใดจึงอยู่ได้ค้ำฟ้า
เพราะพวกเขาไม่มีพันธะสัญญา 6 เหมือนกับพวกคุณ
เพราะพวกเขาไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
เพราะพวกเขาไม่มีหน้าที่จะต้องกลับบ้านแดนสุญตา
ขณะที่จิตวิญญาณพวกคุณไม่ต้องตายในหกหมื่นปีโลก
นั่นคือพวกคุณเมื่อถึงกาลสิ้นยุคค่อยหลุดพ้นกลับบ้าน
เพราะจิตวิญญาณพวกคุณมิใช่จิตวิญญาณพเนจร
เพราะจิตวิญญาณพวกคุณมิได้เป็นลูกกำพร้าพ่อแม่
เมื่อสิ้นยุคตามสัญญาหมดภาระตามกำหนดจึงค่อยตาย
นี่เป็นความจริงยิ่งกว่าจริงที่พวกคุณต้องรู้
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
23/11/2566