21 พฤศจิกายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 21/11/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทำไมคนสมัยโบราณจึงกล่าวถึงพระเยซูเจ้าว่า
พระองค์ท่านทรงเป็น
 #คนดูแลฝูงแกะของพระเจ้า
 
คำถามที่ว่า “คนดูแล” หมายถึงเป็นผู้ทำหน้าที่อะไร
ในบทที่ผ่านมาเราได้กล่าวไปแล้ว
 5 ประการก็คือ
 
1.เป็นผู้เข้ามากล่าวพระโอวาทในพระนามของพระเจ้า
2.เป็นผู้มากล่าวอนุตรธรรมให้มนุษย์โลกได้เรียนรู้
3.เป็นผู้ทำหน้าที่เปิดปิดประตูนิพพานคือด่านนภาลัย
4.เป็นผู้แจกขนมปังของพระบิดาให้ฝูงแกะกิน
5.เป็นผู้มากล่าวความจริงที่มนุษย์ไม่รู้ว่าตนไม่รู้
และไม่รู้ว่าตนนั้นรู้ผิดเพราะธรรมะถูกบิดเบือน
โดยในประการที่
 5 นี้ เราได้กล่าวถึงข้อย่อยที่ 4 แล้ว
ซึ่งเรากล่าวไว้จนถึงตอนที่ว่า...
 
พวกกรรมกรแสงรุ่นล่าสุดชุดใหม่ที่ถูกเลือก
จึงถูกกำกับบทในการเผยแพร่การสั่งจิตใต้สามนึกมากขึ้น
เพราะมารสามารถทำความเสื่อมทางจิตวิญญาณให้คุณได้
 
#ความเสื่อมแรก
เกิดจากการที่พระเจ้าจะดูด “พลังจิตใต้สามนึก” นั้นกลับ
เพราะคุณละเมิดต่อจิตวิญญาณตัวเองจนถึงพื้นที่เฉพาะ
เหวี่ยงพลังจิตใต้สามนึกออกมาเท่าใดจะถูกดูดคืนเท่านั้น
เว้นกรณีที่
 “พลังจิตใต้สามนึก” ที่เหวี่ยงออกมาภายนอก
ได้จากการสั่นสะเทือนผ่าน
 “จิตสามนึก” ของคุณเท่านั้น
พระองค์จึงจะไม่ทรงดูดซับเพื่อริบเอากลับคืน
 
การที่พลังงานทางจิตวิญญาณหรือพลังจิตใต้สามนึก
ถูกริบคืนก็ไม่ต่างจากการที่คุณเผาหญ้าเผาใบไม้เผาทุกสิ่ง
ที่พระบิดาเป็นผู้สร้างเอาไว้ให้ทำหน้าที่อยู่ในระบบโลก
เมื่อมวลหยาบๆถูกเผาไหม้จนกลายเป็นพลังงานเมื่อใด
มันก็จะลอยขึ้นไปข้างบนในทิศทางที่พระองค์ประทับอยู่
แต่เนื่องจากพลังงานที่ลอยขึ้นไปนั้นตาคุณมองไม่เห็น
พระองค์จึงทรงออกแบบให้ปรากฏกลุ่มควันเป็นมายา
ให้พวกคุณแลเห็นแทนพลังงานที่ลอยกลับคืนสู่พระองค์
อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมนั่นเอง
 
พลังงานที่เกิดจากการเผาสิ่งต่างๆบนโลก
เป็นพลังงานที่เหลือใช้หรือพลังงานที่พวกคุณไม่ใช้แล้ว
เป็นพลังงานที่พวกคุณมองไม่เห็นค่าของมันอีกต่อไปแล้ว
พระองค์จึงทรง
 “ริบรับกลับคืน” เพราะมันถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มต้นหรือเป็นพระผู้สร้างสิ่งนั้น
เมื่อสิ่งนั้นสิ้นสุดแล้วจักต้องคืนกลับไปยังพระองค์เสมอ
แปลว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั้นผู้ก่อจักต้องรับผิดชอบเอง
จะให้ผู้ใดใครอื่นมารับผิดชอบในผลกรรมนั้นแทนกันไม่ได้
 
คนที่ชอบแย่งผลงานผู้อื่นเพื่อเอาหน้าแสวงหาประโยชน์
คนที่ชอบลักขโมยหรือก็อปปี้ผลงานผู้อื่นมาเป็นของตัว
ทางโลกประณามว่า
 #หน้าด้าน คือไม่มียางอายไร้ศักดิ์ศรี
ทางจิตวิญญาณถือว่า
 “ก้าวล่วง” ซึ่งผิดบาปร้ายแรงยิ่งนัก
เพราะเป็นการละเมิดต่อกฎจักรวาลของพระเจ้าโดยตรง
ซึ่งมนุษย์โลกมักจะมองว่าเป็นเรื่องผิดบาปเล็กน้อยเท่านั้น
จึงประพฤติตนหน้าด้านขโมยทรัพย์สินทางปัญญากันเกร่อ
ไม่แคร์นรกไม่แคร์ว่าตนจะหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตามิได้
ถ้าเสื่อมพลังทางจิตวิญญาณ
 
พวกคุณต้องรู้ว่า
พลังอำนาจของจิตวิญญาณก็คือ
 “พลังจิตใต้สามนึก”
ซึ่งเป็นพลังงานชั้นนอกสุดของรูปธรรมจิตวิญญาณ
ที่เป็นตัวตนแก่นแท้ของพวกคุณที่อาสามาเกิดเป็นมนุษย์
ถ้าเป็นจิตวิญญาณอิสระที่ยังมิได้มีภพชาติเป็นมนุษย์
พลังงานชั้นนอกสุดของจิตวิญญาณก็คือ
 #เมอร์คขะบาห์
โดยเมอร์คขะบาห์จะทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างด้วยกันคือ
 
1.หุ้มห่อรูปธรรมจิตวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ข้างใน
ถ้าไม่มีเปลือกชั้นนอกสุดนี้จิตวิญญาณจะดำรงอยู่ไม่ได้
 
2.เป็นยานพาหนะของจิตวิญญาณ
โดยจะเคลื่อนที่ด้วยการ
 “เหวี่ยง” หรือดีดตัวเองไป
ในทิศทางและเป้าหมายตามที่จิตวิญญาณต้องการ
ซึ่งต้องใช้พลังงานหรือเปลืองพลังอำนาจที่สูงมาก
จึงจะเคลื่อนที่หรือเดินทางไกลได้ด้วยเวลาเท่ากับหนึ่ง
โดยระยะทางหรือระยะห่างจะเป็น
 “จินตภาพ” เสมอ
หนทางใกล้ไกลแค่ไหนก็ใช้เวลาเปลืองไปเท่ากับหนึ่ง
ซึ่งมันคือการเดินทางของคลื่นจิตของคุณนั่นเอง
 
คลื่นจิตหรือคลื่นการคิดในการสื่อสารระบบจิตสู่จิต
ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์มนุษย์กับสัตว์และกับทุกดวงจิต
ซึ่งเมอร์คขะบาห์จะทำหน้าที่เป็นยานพาหนะพาไปนั้น
มันจะเคลื่อนที่เดินทางไปบนสนามพลังงานจักรวาล
#เท่ากับความเร็วแสงที่เปลี่ยนค่าเป็นสองเท่าทุกวินาที
แปลว่าระยะทางยิ่งห่างไกลก็จะยิ่งเดินทางได้เร็วยิ่งขึ้น
การเดินทางจะเป็นแบบ
 “เขย่ง ก้าว กระโดด” นั่นแหละ
 
ทั้งนี้คลื่นการสื่อสารทางจิตขณะเป็นมนุษย์
กับความเร็วในการเดินทางของจิตวิญญาณที่อิสระอยู่
จะมีอัตราเคลื่อนที่เดินทางเฉลี่ยเท่ากันในแต่ละคน
ยกเว้นคนที่ผ่านการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วหลายภพชาติ
ที่ทำให้จิตใต้สามนึกของจิตวิญญาณเกิดการเสื่อมถอย
โดยใช้การสั่งจิตใต้สามนึกให้ทำงานแทนจิตสามนึก
ซึ่งเป็นการกระทำอุตริมนุษยธรรมเพราะอยากมีอำนาจ
เนื่องจากจิตถูกกิเลสครอบงำจนอยากรวยอยากสำเร็จ
แต่ไม่ยอมออกแรงไม่ยอมสั่นสะเทือนจิตตปัญญาที่มีอยู่
 
พลังอำนาจของจิตใต้สามนึกที่เหวี่ยงออกมาผิดวิธี
พระเจ้าทรงเรียกว่า
 “ทำจิตวิญญาณรั่ว” เหมือนยางรถรั่ว
ถ้ารถยนต์ของคุณไม่มีลมยางเพราะมันรั่วหมดทั้งสี่ล้อ
รถยนต์ของคุณก็แล่นไปไหนมาไหนตามที่ต้องการไม่ได้
เพราะยางแบนติดพื้นถนนถ้าขืนวิ่งต่อกระทะล้อก็จะพัง
ถ้าฝืนวิ่งฝืนใช้งานรถคันนั้นก็จะบังคับให้ตรงทางลำบาก
 
มนุษย์อย่างคุณก็เช่นกัน
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณคือพลังจิตใต้สามนึก
ถ้าถูกใช้ผิดวิธีมันก็จะกลายเป็นพลังงาน
 “ขยะ”
เมื่อเหวี่ยงออกมาพระบิดาจะทรงริบรับกลับคืนในทันที
เหวี่ยงออกมามากเท่าไหร่จะถูกริบรับกลับคืนมากเท่านั้น
ยิ่งเหวี่ยงออกมาเป็นประจำจิตวิญญาณคุณก็จะยิ่งลำบาก
 
ตัวคุณเองขณะดำเนินชีวิตโดยมีภพชาติเป็นมนุษย์
ถ้าเมื่อใดที่ใช้พลังจิตใต้สามนึกเสียจนร่อยหรอแล้ว
สิ่งที่คุณจะพบเผชิญได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมก็คือ
 
#ครอบครัวผัวเมียพ่อแม่ลูกจะเริ่มระหองระแหง
#
ลูกน้องจะไม่รักคุณไม่รักงานไม่รักองค์กร
#
คุณจะมีอาการนอนไม่หลับไม่สดชื่นซึมเศร้า
#
คุณจะตื่นตกใจง่าย ฝันร้าย ชีวิตจะมีเรื่องร้ายๆมากขึ้น
#
คุณจะทำอะไรสักสิ่งหนึ่งให้สำเร็จยากกว่าเดิม
#
คุณจะเป็นคนอาภัพบริวารที่ซื่อสัตย์ขาดบริวารที่ดี
#
คุณจะเป็นโรคขี้ลืมจนผิดปกติ
#
คุณจะมีสิ่งไม่ดีทะยอยเข้ามาในชีวิตมากกว่าสิ่งดี
ฯลฯ
 
#ความเสื่อมประการที่สอง
 
ถ้าพลังจิตใต้สามนึกถดถอยเหมือนพวกผีโสโครก
จิตหยาบคุณจะไม่สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ให้มีค่าความถี่สูงขึ้นทางด้านบวกได้ง่ายๆ
ต่อมไร้ท่อต่างๆที่พระเจ้าทรงติดตั้งเอาไว้ให้
ใช้ทำงานร่วมกันกับจิตวิญญาณของคุณเองนั้น
จะขาดพลังอำนาจที่จะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการได้
การยกระดับจากมิติปัจจุบันคือ
 4D สู่ 5D จึงยากยิ่ง
 
ประดาจิตวิญญาณของมารจำพวกผีโสโครก
ซึ่งจิตวิญญาณตกชั้นจาก
 6D เหลือ 5D ในปัจจุบัน
เพราะเหตุผลเดียวกันคือการทำให้จิตวิญญาณเสื่อม
ด้วยการสนุกสนานเพลิดเพลินกับการใช้อภิญญฤทธิ์
จนต้องหากรรมกรแสงเอาจากมนุษย์ที่โง่ง่าย
ให้ช่วยเติมเต็มพลังในส่วนที่หายไปให้พวกตนแทน
เพราะพวกนี้ไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมเหมือนคุณแล้ว
จึงชวนคุณทำเท็คนิกสมาธิแล้วจะคอยดักดูดเอา
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย
 #ปัญญาวิสุทธิ์
21/11/2566