13 พฤศจิกายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 13/11/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทำไมคนสมัยโบราณจึงกล่าวถึงพระเยซูเจ้าว่า
พระองค์ท่านทรงเป็น #คนดูแลฝูงแกะของพระเจ้า
 
เราได้กล่าวแยกออกเป็น 3 ส่วนคือ
 
1.พระเจ้าหมายถึงใคร?
2.ฝูงแกะหมายถึงอะไร?
3.คนดูแลหมายถึงเป็นผู้ทำหน้าที่อะไร?
 
เรื่องพระเจ้าหมายถึงใคร
ฝูงแกะหมายถึงอะไร
ทั้งสองประการนี้เราได้กล่าวให้รู้ไปบ้างแล้ว
บทต่อไปนี้จะเป็นส่วนที่สามก็คือ
 
#คนดูแลหมายถึงเป็นผู้ทำหน้าที่อะไร?
 
ในที่นี้คำว่า “คนดูแล” เราหมายถึง
1.พระผู้ช่วยให้รอด
ถ้าในอดีตกาลก็คือ #พระเยซู
กับพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของศาสดาทุกพระองค์
ที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
และเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาล
 
โดยพระศาสดาของมนุษย์
ที่พระเจ้าทรงเจิมแต่งจะมีอยู่ 2 ประเภท เท่านั้น คือ
 
1.ศาสดาที่เกิดจากโลกเอง
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้รอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม
เป็นผู้ที่มีสติปัญญาฉลาดปราดเปรื่องกว่าคนอื่นๆ
เป็นผู้ที่ฉลาดในการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคม
เป็นผู้ที่มีเหตุผลและใช้เหตุผลเป็น
เป็นผู้ที่มีสติตื่นรู้โดยรู้ตัวรู้ตนรู้รอบอยู่ตลอดเวลา
เป็นผู้ที่รู้ควรรู้ไม่ควรรู้ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
เป็นผู้รู้จักบาปบุญคุณโทษรู้จักเวรรู้จักกรรมรู้ละวาง
เป็นผู้รู้จักรักรู้จักให้รู้จักเสียสละและรู้จักการแบ่งปัน
 
เป็นผู้รักสงบและปรารถนาการมีสันติสุขในชีวิต
เป็นผู้ที่มีภาวะผู้นำโดยพร้อมจะทำตนดังที่กล่าวมา
ให้เป็นแบบอย่างของผู้อื่นอย่างเป็นรูปธรรมได้
 
มนุษย์ผู้มีคุณสมบัติข้างต้นนี้
เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐเพราะเป็นคนชอบธรรมแท้จริง
พระเจ้าจะทรงเจิมแต่งให้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
ถือบทบาทของพระศาสดาที่ประชาชนล้วนนบนอบ
โดยยอมรับนับถือและปฏิบัติตามสัจธรรมคำสอน
ในรูปของศีลที่เป็นข้อละเว้นและธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติ
เพราะพระเจ้าทรงทราบว่ามนุษย์บุตรของพระองค์นั้น
จะมีคุณลักษณะไม่ต่างจากฝูงแกะของพระองค์
ที่พวกมันจะต้องหาอยู่หากินด้วยกันเป็นหมู่เป็นฝูง
โดยแกะทั้งหลายจะมีตัวหัวหน้าที่เป็น “จ่าฝูง”
ซึ่งแกะทุกตัวต่างยอมรับและพร้อมจะก้าวเดินตาม
 
ไม่ว่าแกะตัวที่เป็นจ่าฝูงจะนำพาย่างเดินไปทางไหน
แกะตัวอื่นๆก็จะพากันก้าวเดินตามกันไปอย่างว่าง่าย
เพราะพวกแกะของพระองค์นั้นมีสายตาไม่ยาวไกล
มองเห็นได้แต่ที่ใกล้ๆถ้ามองไกลๆก็จะเห็นไม่ชัดเจน
พวกแกะจึงต้องมีจ่าฝูงตัวที่มีภาวะผู้นำเพียบพร้อม
นั่นคือจะมีสองตาที่มองอะไรได้ไกลกว่าแกะตัวอื่นๆ
แปลว่าผู้นำต้องมี #วิสัยทัศน์ มองอนาคตได้ชัดไกล
คิดเห็นอะไรได้อย่างมีมิติมากกว่าผู้ตามคนอื่นๆ
 
ด้วยเหตุนี้เองทั้งมนุษย์และสัตว์จึงต้องเป็นสัตว์สังคม
ต้องหาอยู่หากินกันเป็นหมู่คณะหรืออยู่ด้วยกันเป็นฝูง
จะได้พึ่งพาอาศัยกันช่วยเหลือกันและกันในยามยาก
ได้อาศัยพลังหมู่หรือพลังร่วมทั้งทางโลกและแก่นแท้
ในการคนสองมิติให้เข้ากันจนสมดุลเป็นหนึ่งเดียว
เพื่อที่จะเป็นสัตว์ประเสริฐเพราะเข้าถึงจิตตปัญญาได้
ซึ่งสัตว์ประเสริฐนี้เรามิได้หมายถึงเฉพาะแต่พวกคุณ
ที่ต้องคนสองมิติให้เข้ากันเพื่อเป็นมนุษย์เท่านั้น
เราหมายถึงสัตว์ประจำโลกทุกชนิดทั้งตัวน้อยตัวใหญ่
ที่มีแต่จิตวิญญาณเป็นตัวตนแก่นแท้ผู้มาจากพระบิดา
พระองค์เดียวกันกับผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณพวกคุณมา
แม้สัตว์จะมิได้มีจิตหยาบเป็นผู้ทำการแทนจิตวิญญาณ
ขณะมีชีวิตเป็นสัตว์ 2 มิติดำรงอยู่ในระบบโลกนี้ก็ตาม
แต่สัตว์ทุกชนิดก็ต้องคนสองมิติให้เข้ากันด้วย
 
คุณสังเกตเห็นหรือไม่ว่า
สัตว์ทุกชนิดมันจะรักพวกพ้องของมันเสมอ
สัตว์ทุกตัวจะรู้จักรักลูกเลี้ยงดูลูกของตัวเองเท่าชีวิต
พวกเขาจะคอยดูแลลูกของตนจนกว่าลูกจะโต
เมื่อโตจนดูแลตัวเองได้พ่อแม่ของมันจึงจะสิ้นภาระ
แม้สัตว์ทั้งหลายจะมีความฉลาดของสมองก้อนเดียว
แต่ก็สามารถเข้าถึงคำว่า “รักบริสุทธิ์” กันได้ไม่ยากเย็น
ผิดกับมนุษย์ที่บอกตนเองว่าพวกตนนั้นเป็นสัตว์ชั้นสูง
ซึ่งรักด้วยสัญชาตญาณของจิตวิญญาณแบบสัตว์ก็ได้
จะรักด้วยความฉลาดทางปัญญาของสมองสองซีกก็ได้
แต่มนุษย์โลกกลับสู้สัตว์โลกกันไม่ได้มากยิ่งขึ้นทุกวัน
 
พ่อฆ่าแม่ แม่ฆ่าพ่อ ลูกฆ่าพ่อแม่ พ่อแม่ฆ่าลูก
พ่อแม่ของบ้านนี้ไปฆ่าลูกรักของคนบ้านโน้น
ลูกรักของคนบ้านโน้นมาฆ่าพ่อแม่ของลูกบ้านนี้
 
เรื่องจริงประเภทที่ว่านี้มีให้รู้เห็นกันอยู่เป็นประจำ
ซึ่งเกิดจากจิตมนุษย์ถูกกิเลสมารครอบงำเอาไว้ทั้งสิ้น
ทำให้เข้าถึงความรักความเมตตากับสติปัญญาไม่ได้
โลกจึงมีแต่คนใจร้ายกับคนโง่ง่ายที่ไม่ฉลาดใช้ปัญญา
ดำเนินชีวิตกันอยู่อย่างมากมายและเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
 
พระศาสดาที่เกิดจากโลกเองทั้งหลายนั้น
พระองค์ทรงเจิมแต่งให้ขึ้นมาทำหน้าที่เยี่ยง “จ่าฝูง”
ให้รับบทบาทเป็นผู้นำทางและผู้นำทำของชาวโลก
ซึ่งในแต่ละยุคจะมีพระศาสดาขึ้นมาหนึ่งพระองค์
เนื่องจากธรรมชาติของสัตว์ประจำโลกทั้งหลายนั้น
ในหนึ่งฝูงจะมีจ่าฝูงหรือผู้นำแค่เพียงตัวเดียว
พวกคุณจะพบว่าโลกในอดีตนั้นในแต่ละยุคสมัย
จะมีศาสดาบังเกิดขึ้นแค่เพียงรูปธรรมเดียวเท่านั้น
เพราะธรรมชาติของสัตว์และมนุษย์ต้องเป็นเช่นนี้เอง
 
แต่เนื่องจากพระเจ้าทรงชำระโลกในยุคโนอาห์
เพื่อชำระขยะพวก “คนยักษ์” ที่ตัวเป็นคนแต่มิใช่คน
เพราะจิตวิญญาณของคนยักษ์มาจากดาวดวงอื่น
พวกนี้มิได้ทำหน้าที่อยู่ในระบบโลกแต่อย่างใด
แต่เป็นพวกที่อยู่ในฐานะของ “ผู้บุกรุก” หรือรุกราน
อาศัยที่พวกตนเกิดก่อนมนุษย์มานานนับพันปี
จึงเหมือนจะฉลาดกว่ามนุษย์แม้สมองมีก้อนเดียว
จึงมีประสบการณ์ชีวิตที่สั่งสมไว้มากกว่ามนุษย์
จึงมีอภิญญาฤทธิ์ทางจิตสูงส่งกว่ามนุษย์โลกมาก
เพราะพวกนี้ไม่มีจิตหยาบแต่ใช้จิตวิญญาณที่มี 6D
เป็นตัวขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมที่มีปีกดั่งนก
 
การชำระโลกในครั้งนั้นใช้น้ำท่วมเป็นเครื่องมือหลัก
จนคนยักษ์ที่เป็นขยะพากันจมน้ำตายไปทั้งหมด
จิตวิญญาณพวกนี้เมื่อตายแล้วจึงไม่รู้จะไปอยู่ไหน
จะกลับบ้านแดนสุญตาที่จากมาก็จำบ้านเกิดไม่ได้
กลับไปกราบพระบิดาแห่งจิตวิญญาณก็กลับไม่ได้
เพราะมิได้ถือพันธะสัญญา 6 ติดตัวมาเกิดด้วย
จิตวิญญาณพวกเขาจึงต้องเป็นดั่ง #วัตถุล่องลอย
ที่เป็นส่วนเกินของระบบโลกมาตราบกระทั่งทุกวันนี้
 
เนื่องจากก่อนตายพวกเขาเป็นจิตวิญญาณหลงมิติ
จึงยังหิวโหยยังกระหายยังมีกิเลสหนาตัณหาเยอะอยู่
เมื่อไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมคือไม่มีกายสังขารแล้ว
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณที่ใช้ไปจึงลดน้อยถอยลง
ทำให้เดิมจิตวิญญาณอยู่ในมิติที่ 6D เท่ากันกับมนุษย์
ลดลงมาเหลือแค่มิติที่ 5D จนใกล้เคียงกับมนุษย์แล้ว
ขณะที่มนุษย์มีจิตหยาบที่กำลังยกระดับจาก 4D สู่ 5D
เพื่อให้ไปถึง 6D จนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณได้
 
พลังทางจิตวิญญาณพวกเขาจึงลดลงหรือเสื่อมลง
เหตุแรกเพราะไม่มี “จิตหยาบ” ให้ใช้เหมือนกับมนุษย์
ต้องทำทุกสิ่งด้วยจิตวิญญาณเพื่อดำเนินชีวิตตลอดมา
เหตุที่สองเพราะใช้อภิญญา 6 สำแดงฤทธิปาฏิหาริย์
เพื่อการบิดเบือนสัจธรรมและหลอกลวงมนุษย์ให้งมงาย
กับสิ่งที่เป็นอุตริมนุษยธรรมน่าทึ่งซึ่งมนุษย์เองทำไม่ได้
เพื่อให้มนุษย์โลกที่โง่ง่ายเป็นเครื่องมือหรือเป็นกรรมกร
ทำการผลิตพลังงานให้ตนด้วยขันธ์ห้าที่มนุษย์มีอยู่
ด้วยวิธีปฏิบัติกรรมฐานสมาธิแล้วตนก็จะคอยดักดูดเอา
ทั้ง ๆที่มนุษย์มาเกิดเพื่อเป็น #เพื่อนร่วมงานกับโลก
มิใช่มาเป็น #กรรมกรของผีโสโครก แต่อย่างใดทั้งสิ้น
 
2.ศาสดาที่มาจากพระเจ้า
จะเป็นพระศาสดาที่เป็น “พระบุตรเอก” ของพระองค์
ทรงมีพระบัญชาให้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงเจิมแต่ง
เดินทางข้ามมิติเสด็จเข้ามาจุติในเอกภพของพระองค์
เพื่อทำหน้าที่เป็น “ผู้เลี้ยงดู” ฝูงแกะของพระเจ้า
อันหมายถึงจิตวิญญาณที่อาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลก
 
คุณจะสังเกตได้ว่าศาสดาพระองค์ใดที่มาจากพระเจ้า
เมื่อกล่าวพระวจนะเป็นสัจธรรมคำสอนทุกเรื่องราว
จะทรงอ้างว่า “พระเจ้า” หรือ “พระบิดา” ตรัสว่าเสมอ
เพราะบุตรเอกมีหน้าที่กล่าวพระโอวาทตามพระบิดา
มิได้เป็นผู้เข้ามานึกเองคิดเองตามจิตตปัญญาส่วนตน
แต่ทุกพระวจนธรรมพระคำที่กล่าวต่อพี่น้องชาวโลก
ได้จากการสื่อสารทางจิตในระบบจิตสู่จิตที่เป็นแนวดิ่ง
โดยวิธีที่เรียกว่า Vertical Telepathy กับพระเจ้า
ที่ประทับอยู่นอกเอกภพคือ #พระนิเวศน์ของพระองค์
เป็นการสื่อสารช่องทางพิเศษที่มนุษย์โลกทั่วไปไม่มี
แต่ทรงถือติดตัวมาจุติเป็นมนุษย์ในระบบโลกด้วย
เพื่อใช้กล่าวพระโอวาทในพระนามของพระเจ้านั่นเอง
 
กับคำถามที่ว่า “คนดูแล”
หมายถึงเป็นผู้ทำหน้าที่อะไร
 
คำตอบที่สำคัญก็คือ
 
1.มากล่าวพระโอวาทในพระนามของพระเจ้า
ในยุคนี้เราน้อมเกล้าถวายพระนามว่า “จิตจักรวาล”
ให้แก่ประดาฝูงแกะของพระองค์ก็คือมนุษย์โลกได้ฟัง
 
2.สัจธรรมที่ “คนดูแลฝูงแกะ” คือพระบุตรเอกกล่าว
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความจริงในระดับ “อนุตรธรรม”
ซึ่งเป็นความจริงทางด้านจิตวิญญาณที่ทุกคนต้องรู้
แต่เป็นความจริงที่มนุษย์โลกทั้งหลายไม่รู้ว่าตนไม่รู้
เพราะเป็นความจริงที่เข้าถึงด้วยสมองสองซีกไม่ได้
มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้และจะทรงกล่าวให้รู้ได้
โดยสื่อผ่านทางพระบุตรเอกที่ทรงเมตตาส่งเข้ามาจุติ
พระเยซูกับท่านนบีก็ทรงทำหน้าที่สื่อด้วยวิธีนี้เช่นกัน
 
(ยังมีตอนต่อไป)
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
13/11/2566