15 มิถุนายน 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 15/06/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ถ้ามนุษย์แต่ละคนไม่หมุนธรรมจักรในตนเอง
แถมไม่หมุนธรรมจักรร่วมกับคนรอบข้างแล้ว
จิตหยาบที่อยู่ในมิติ 4D ตั้งแต่คลอดออกมา
จะยกระดับความก้าวหน้าสู่มิติที่สูงกว่าไม่ได้
 
แปลว่าพวกคุณทุกคนได้ทอดทิ้งจิตวิญญาณ
ให้ถูกกักขังเอาไว้ภายในหัวของคุณดั่งขังลืม
จนกระทั่งถึงวันทิ้งกายสังขารหมดสิ้นอายุขัย
ซึ่งแม้จิตวิญญาณจะละทิ้งกายหยาบนี้ไปแล้ว
ก็จะยังคงถูกขังอยู่ในระบบโลกให้ไร้อิสรภาพ
เพราะไม่มีพลังอำนาจสูงสุดที่จะดีดตนเอง
หนีแรงดึงดูดของโลกและเอกภพระบบใหญ่
ให้หลุดพ้นออกไปข้างนอกเพื่อกลับบ้านได้
 
เพราะการหมุนธรรมจักรนั้น
นอกจากจะเป็นการผลิตพลังงานความรัก
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกให้โลก
ใช้เพื่อจุดระเบิดอะตอมของธาตุออกซิเจน
ที่พระเจ้าทรงติดตั้งเอาไว้ภายในแกนโลก
เพื่อให้เกิดพลังระเบิดแบบ Nuclear Fission
ในลักษณะปฏิกิริยาลูกโซ่ (Chain Reaction)
ซึ่งเป็นการระเบิดอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
เฉพาะซีกโลกด้านกลางวันที่มนุษย์กำลังตื่น
แต่ซีกโลกด้านมืดค่ำในฝั่งตรงข้ามกำลังหลับ
ก้อนธาตุที่เหนียวหนืดคล้ายตังเมในแกนโลก
จึงเกิดการบิดตัวต่อเนื่องตามพระประสงค์
จนทำให้โลกหมุนรอบตัวเองต่อเนื่องได้แล้ว
 
การหมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกับคนอื่นๆนั้น
ยังจะช่วยยกระดับ #จิตหยาบ หรือ จิตมนุษย์
ให้สูงขึ้นจากมิติที่ 4D สู่ 5D และ 6D ได้ด้วย
โดยต้องใช้พลังงานรวมจากจิตสามนึกด้านบวก
ของตนเองและคนรอบข้างตั้งแต่สามคนขึ้นไป
ที่อยู่ในพื้นที่ 33.33 ตารางกิโลเมตรด้วยกันนั้น
ช่วยกันทำให้สมการของพระเจ้านี้ศักดิ์สิทธิ์ได้
สมการพลังงานรวมจากจิตสามนึกด้านบวกคือ
βx = 3X² (β1+β2+β3+…+βx)
 
สมการนี้หมายถึง
พลังงานรวมจากจิตสามนึกด้านบวก ∑βx
ได้จากคนจำนวน “เอ็กซ์คน” คือสามคนขึ้นไป
ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันคือ 33.33 ตร.กิโลเมตร
โดยอาจจะเป็นภายในครอบครัวเดียวกัน
หรือภายในทีมงานหรือในชุมชนเดียวกันนั้น
ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนจิตสามนึกร่วมกันได้
ด้วย “ความรักที่ไร้เงื่อนไข” หรือรักบริสุทธิ์
เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย ใจดีมีเมตตากัน
ไม่ว่าคนรอบข้างนั้นเป็นใครทำดีทำชั่วอย่างไร
ทุกคนที่รับรู้เงื่อนไขดังกล่าวนั้นร่วมกันอยู่
ก็สามารถหยิบยื่นความรักตอบสนองกันได้
 
พลังงานที่เกิดขึ้นจากทุกคนในกลุ่มนั้น
จะเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กที่บริสุทธิ์มาก
ที่จะถูกคนทั้ง “เอ็กซ์” คนเหวี่ยงมันออกมา
พลังงานทั้งหมดนั้นจะเกิดการปฏิสัมพันธ์กัน
ในมิติที่สองตาเปล่าของมนุษย์มองไม่เห็น
โดยจำนวน 1% ของทั้งหมดที่ร่วมกันผลิตได้
จะถูกเหนี่ยวรั้งลงไปใช้ประโยชน์ในแกนโลก
 
พลังงานส่วนที่เหลือทั้งหมดพวกคุณทั้ง X คน
จะนำไปใช้สั่นสะเทือนจิตหยาบของแต่ละคน
เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนให้สูงขึ้นจากเดิม
ทำให้จิตหยาบของทุกคนมีมิติสูงกว่าที่เป็นอยู่
เช่นใครอยู่ที่มิติที่ 4D ก็จะค่อยๆก้าวสู่ 5D ได้
ใครอยู่ในมิติที่ 3D เพราะว่าพัฒนาการช้ากว่า
ก็จะยกระดับความก้าวหน้าสู่มิติที่ 4D ได้ต่อไป
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอัตโนมัติ
ตามที่องค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้าออกแบบไว้
 
คุณต้องจำเอาไว้เสมอว่า
การพยายามรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้
ให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยให้เป็นนั้น
คุณกำลังทำเพื่อตัวของคุณเองด้วย
ซึ่งเป็นการกระทำผ่านบุคคลรอบข้างทุกคน
เพื่อทำให้พวกเขาทั้งหลายรักคุณให้ได้
แต่มีเงื่อนไขว่า #คุณต้องรักพวกเขาก่อน
 
แปลว่าคุณต้องบริจาคสิ่งดีๆที่คุณเองก็ชอบ
เพื่อทำการมอบให้แก่บุคคลอื่นเท่านั้น
คุณต้องไม่บริจาคหรือหยิบยื่นสิ่งที่ไม่ชอบ
เพื่อมอบให้แก่บุคคลอื่นๆโดยเด็ดขาด
ของเหลือเดนของกากๆหรือของเน่าเหม็น
คุณจึงไม่ควรที่จะหยิบยื่นไปให้ใครทั้งนั้น
การประพฤติตนกับคนรอบข้างก็เช่นเดียวกัน
จงอย่าพูดอย่าทำพฤติกรรมที่คุณเองไม่ชอบ
เพราะคนเหล่านั้นจะมองว่าคุณ #ไม่น่ารัก
จนเป็นอุปสรรคต่อการหมุนธรรมจักรร่วมกัน
เนื่องจากการอดทนอดกลั้นให้อภัยต่อคุณนั้น
มันมิใช่เรื่องง่ายสำหรับใครที่ #ไม่ชอบธรรม
 
คุณจะต้องรู้ว่า
สรรพสัตว์ทั้งหลายและสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่น
เขาไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
เหมือนมนุษย์โลกเสรีอย่างพวกคุณ
ซึ่งเป็น “คนสองมิติ” ที่มีสองภาคในตัวเอง
บทบาทการดำเนินชีวิตเพื่อภารกิจในสองมิติ
คุณจะไปจำแบบอย่างพวกเขาเอามาทำไม่ได้
 
ตัวอย่างเช่น
พวกคุณที่เป็นมนุษย์สำนึกแห่งการมีอัตตา
ที่เป็น “ตัวกูของกู” นั้นมันยังจะต้องมีอยู่
เพราะคุณต้องมีไว้เพื่อแสดงละครชีวิตร่วมกัน
เพื่อให้มีสติระลึกรู้ว่าใครคือพ่อแม่ลูกผัวเมีย
จะได้แสดงบทบาทอันพึงมีต่อกันอย่างถูกต้อง
 
ข้อห้ามมีเพียงแค่ว่า
จง “อย่ายึดอัตตา” ตัวกูของกู ตัวกูของมึง
ตัวมึงของมึง ตัวมึงของกู ตัวมันของมึง
เช่น กูเป็นผัวมึง เป็นพ่อมึง เป็นแม่มึง เมียมึง
ตัวกูเป็นลูกมึง ตัวมึงเป็นพ่อกู ตัวมึงเป็นแม่กู
เพราะการยึดติดในอัตตาที่เป็นสิ่งสมมติเช่นนี้
มันคือ #ความหลงมายา ซึ่งเป็นสิ่งสมมติ
จนเกิดเป็นอัตตาที่มีตัวตนขึ้นมาในจิตหยาบ
 
อัตตาของสรรพสิ่งก็คือ “มายา” ของสิ่งนั้น
แต่อัตตาของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมาในจิตมนุษย์
มันเกิดจากการ #ยึดติดในมายานั้น อีกทีหนึ่ง
โดยทั้งตัวตนรูปลักษณ์
ที่เป็นสีสันรสชาตกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็ง
เป็นคุณสมบัติของสิ่งนั้นที่แสดงออกมาให้รู้เห็น
ให้สัมผัสได้ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
ซึ่งมันมิใช่ “อัตตาตัวตน” ที่แท้จริงของสิ่งนั้น
ที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นกันอยู่ก็คือเงามายาของมัน
คุณจะจิตตกจนเกิดเป็นความรู้สึกชอบไม่ชอบ
โดยนำรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมาปรุงแต่งไม่ได้
 
เพราะทุกสรรพสิ่งแวดล้อมตัวคุณ
คุณมิได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาแต่อย่างใด
พระเจ้าต่างหากที่ทรงสร้างพวกนั้นขึ้นมา
เมื่อพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างที่แท้จริง
ทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างจึงเป็นของพระองค์
มนุษย์อย่างคุณจะยึดเอามาเป็นสมบัติตนมิได้
 
การหลงมิติของจิตหยาบนี่แหละ
ที่ทำให้เกิด “กิเลส” ขึ้นมาในจิตหยาบ
พอเกิดกิเลสแล้วจิตหยาบก็จะเบรกไม่อยู่
มันจะลื่นไถลไปสู่ตัณหาราคะอารมณ์ขยะ
พาคุณหมุนกรรมจักรให้เป็นทาสกฎแห่งกรรม
สวนทางกันกับภารกิจทางจิตวิญญาณไป
 
คุณจะต้องจำไว้เสมอว่า
หน้าที่สำคัญของพวกคุณที่ต้องทำตลอดไป
คือรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักกับคุณให้ได้
ให้อภัยแก่คนที่ตัวไม่นาให้อภัยให้เป็น
มีจิตแจ่มใสมีใจเบิกบานให้ได้ตลอดเวลา
เพื่อช่วยกันหมุนธรรมจักรกับคนรอบข้างทุกคน
โดยไม่มีเงื่อนไขไม่มีข้อแม้อะไรทั้งนั้น
คุณต้องทำให้ได้โดยไม่ฝืนใจกระทำ
เพราะมันคือมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ที่จิตหยาบจะพาจิตวิญญาณกลับบ้านเกิดได้
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
15/06/2566